Skip to main content
sharethis

#คาร์ม็อบ16กรกฎา66 "Respect My Vote" เรียกร้อง ผบ. 4 เหล่าทัพ-ผบ.ตร. ลาออกจาก ส.ว. ระบุ "ถ้าอ้างว่าลากิจ ก็ลาออกไปซะดีกว่า"

16 ก.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีประชาชนเดินทางมารวมตัว ตามการนัดหมายโดยกลุ่มนักกิจกรรมการเมืองหลายกลุ่ม เพื่อร่วมกิจกรรมขบวนคาร์ม็อบ “Respect My Vote” เพื่อเรียกร้องให้ผู้บัญชาการ (ผบ.) เหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลาออกจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) หลังจากเมื่อ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ทั้งหมดไม่มาร่วมประชุมเพื่อโหวตรับรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกล ซึ่งชนะการเลือกตั้งปี’66

กรกช แสงเย็นพันธ์ จากกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (DRG) และเป็นหนึ่งในผู้จัดกิจกรรม กล่าวถึงที่มาที่ไปของการจัดงานคาร์ม็อบ “Respect my Vote” นั้น เนื่องจากเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ประชาชนยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับ ส.ว.แล้ว คือการโหวตรับรองมตินายกฯ ตามเสียงข้างมากของ ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ส.ว. ไม่ได้ทำตามเสียงประชาชน และอ้างเรื่องนโยบายแก้ไข มาตรา 112 หรือการล้มล้างการปกครอง ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรี

“ทางออกเดียวสำหรับ ส.ว.ที่มีอยู่ ตามความเห็นของประชาชนคือ ออกไปครับ เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะเริ่มจากการไปยื่นใบลาออก ผบ.เหล่าทัพต่างๆ ที่เป็น ส.ว.โดยตำแหน่ง คนเหล่านี้เป็นข้าราชการ โดยหลักการคนที่เป็นข้าราชการประจำไม่มีอำนาจเหนือข้าราชการการเมือง การมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีมันเป็นไปไม่ได้ มันมีแต่ข้าราชการการเมืองที่มีอำนาจแต่งตั้ง ผบ.เหล่าทัพเหล่านั้น เราเลยไปยื่นให้พวกนี้ลาออกก่อน และสิ่งที่ทำให้เห็นก็คือ ปี’62 คุณมาเลือกพลเอกประยุทธ์ แต่ปี66 คุณมาเลือกนายกฯ ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ได้ โดยอ้างว่าลากิจ ในเมื่อคุณไม่สะดวก คุณก็ออกไป”

กรกช กล่าวต่อว่า วันนี้เราเลยจะเดินทางด้วยรถไปที่กองทัพบก กองทัพเรือ และ สตช. เพื่อจะไปยื่นใบลาออกเพื่อจะไปยื่นใบลาออกให้ผู้นำเหล่าทัพ เหล่านั้น ว่าถ้าอ้างว่าลากิจ ก็ลาออกง่ายกว่า เพราะว่ามี ส.ว.บางคนที่ลาออก และทำให้ไม่อยู่ในสมการการเลือกนายกฯ การที่ ส.ว.เลือกลาออก มันคือการลดการสร้างเงื่อนไขให้กับประชาชน และทำให้ระบบรัฐสภาเดินต่อไปได้อย่างปกติ

สมาชิก DRG ระบุต่อว่า สำหรับกิจกรรมในวันนี้จะมีกิจกรรมในทุกที่ที่ไป อยากให้ ผบ.เหล่าทัพ ออกไปพิจารณาด้วยตัวเอง แต่ถ้าไม่มาจะมีกิจกรรม ณ จุดต่างๆ รองรับ แต่อยากให้รอเซอร์ไพร์สใน ณ จุดนั้น

ส่วนที่หน้าลานศูนย์ศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร หรือ BACC ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้าย จะมีการอ่านแถลงการณ์ มีการสรุปกิจกรรมว่าไปทำอะไรที่ไหนบ้าง และมีการแถลงเรื่องการจัดกิจกรรมในอนาคต และอยากเรียกร้องต่อประชาชนว่าให้ร่วมกันออกมาแสดงพลัง

“โดยส่วนตัวอยากจะฝากว่ามันถึงเวลาแล้วที่ ส.ว.ต้องหยุดสร้างเงื่อนไขทางการเมือง ต้องเคารพเสียงประชาชน 25 ล้านเสียง (เลือก 8 พรรคร่วมรัฐบาล) ที่เลือกเข้ามา ไม่อย่างงั้นเราจะเลือกตั้งไปทำไม ท้ายที่สุดแล้ว คน 250 คน ต้องมาตัดสินทิศทางทางการเมือง”

“เราอยากเรียกร้องให้ฝ่ายประชาธิปไตยสามัคคี จับมือกันให้มั่น เพราะว่าพวกคุณล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภา’35 ปี’53 และปี’63 คนเหล่านี้ต่างเรียกร้องประชาธิปไตย เราก็อยากให้ 8 พรรคจับมือให้แน่น อย่ายืนตามเงื่อนไข ส.ว.ที่มันไม่เป็นประชาธิปไตยแบบนี้ ถ้า 8 พรรคจับมือกัน ประชาชนพร้อมจะสู้เคียงข้างไปด้วยกัน”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ส.ว.จากเหล่าทัพ ประกอบด้วย พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.ร.อ. เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.อ.อ. อลงกรณ์ วัณณรถ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ไม่ได้มาร่วมประชุมสภาฯ เพื่อโหวตลงมติรับรองนายกฯ โดยอ้างว่า ติดภารกิจไม่สามารถมาได้ แต่ว่ากลับกัน เมื่อปี 2562 พวกเขามาโหวตสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ

‘อานนท์’ ปราศรัย ยันข่าวดี 8 พรรคร่วมจะเสนอ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ

เมื่อเวลาประมาณ 13.39 น. อานนท์ นำภา ทนายความ ขึ้นกล่าวปราศรัยบนรถเครื่องเสียง ระบุว่า ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบไล่ ส.ว.ในวันนี้ วันนี้มีข่าวดีเราได้รับการยืนยันจากแกนนำพรรคทั้ง 8 พรรคร่วมรัฐบาลว่า วันที่ 19 ก.ค.นี้ จะโหวตนายกฯ ให้กับพิธา แน่นอนไม่แตกแถว 

อานนท์ กล่าวต่อว่า หน้าที่ของเราที่อยู่นอกสภา คือเราต้องหาเสียง ส.ว.ไปเติม หรือไม่ก็ทำให้สัดส่วนที่จะไม่ลงเสียงออกไปจากสภา ถ้าลาออก 50 คน เสียงมันจะลดลง เพื่อที่จะตั้งรัฐบาลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ว.ที่เป็นข้าราชการประจำทั้ง 6 คนที่เราจะไปไล่ในวันนี้ก็คือ ส.ว.เหล่าทัพ ซึ่งในวันเลือกนายกฯวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา จงใจที่จะไม่เข้าไปสภาโดยอ้างว่าติดภารกิจ ผมถามว่า ภารกิจอะไรที่มันจะสำคัญไปกว่าการโหวตนายกฯ ใช่ไหม นี่คือการจงใจตบหน้าประชาชน ไม่เคารพเสียงของประชาชนที่เลือกตั้งเข้าไปและส่วนหนึ่งก็ยังมี ส.ว. ที่ยังกล้าๆกลัวๆ ไม่แน่ใจเข้าสภา แต่ก็ยังงดออกเสียง ถ้างดออกเสียงก็ลาออกไปซะ หรือถ้ายังไม่แน่ใจ ประชาชนที่อยู่ข้างนอกจะทำให้ท่านแน่ใจ เราต้องออกมาแสดงพลังกันให้มากที่สุดภายในสองวันนี้ การเลือกตั้งนายกฯ เราอุตส่าห์ลงแรงเลือกตั้งไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ไปหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงเพื่อหวังว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะการเลือกตั้งและก็จัดตั้งรัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาให้พวกเรา ในวันที่เราไปลงคะแนนเสียงวันที่ 14 เราก็ชนะการเลือกตั้ง แต่ชนชั้นนำไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ว.ไม่เคารพมติของมหาประชาชน เราอุตส่าห์ไปลงคะแนนเสียงถึง 25 ล้านเสียง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เขาก็ยังไม่ฟังเรา เสียงจากบัตรมันอาจจะเงียบไป 

“วันนี้เราจะใช้เสียงแตรรถยนต์ส่งเสียงไปถึงพวกเขาเหล่านั้น เสียงแตรรถยนต์จะไปเยือนพวกเขาถึงที่ทำงาน การจัดกิจกรรมวันนี้ขออนุญาตทำความเข้าใจอยู่ 2-3 เรื่อง คือ หนึ่ง ขบวนไม่หยุด เราจะเคลื่อนไปเรื่อยๆ และอำนวยความสะดวกให้กับเพื่อนร่วมทาง เมื่อผ่านไปยังโรงพยาบาล หรือวัด เราจะไม่ใช้เสียง เมื่อไปถึงกองบัญชาการกองทัพบก กองบัญชาการกองทัพเรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราจะใช้เสียงแตรบีบไล่ ส.ว.เหล่านั้นให้มันดัง อันนี้คือข้อตกลง และเราจะมีคลับเฮาส์ในการพูดถึงเส้นทาง... ” อานนท์ ทิ้งท้าย

เวลา 14.00 น. ขบวนคาร์ม็อบเริ่มเคลื่อนตัวจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปที่กองทัพบก 

คาร์ม็อบ เยือนกองทัพบก ทำแบบฟอร์มเอกสารเรียบร้อย เชิญ ผบ.เหล่าทัพ ไขก๊อก ส.ว.

ที่มาภาพ: Zee Faozee

เวลา 14.09 น. Mobdata รายงานว่าขบวนคาร์ม็อบมาถึงกองทัพบก ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวนประมาณ 30 นาย ตัวแทนนักกิจกรรมอ่านหนังสือลาออก และชวนผู้ชุมนุมช่วยกันเขียนเหตุผลในการลาออกของ ส.ว.เหล่าทัพ และให้พับใบลาออกเป็นจรวดปาเข้าไปในกองบัญชาการกองทัพบก  

ต่อมา เวลา 14.26 น. นักกิจกรรมได้รับการสื่อสารว่าจะมีตัวแทนออกมารับหนังสือ ระหว่างนี้ธัชพงศ์ แกดำ นักกิจกรรมการเมือง บอกว่าวันนี้ตำรวจมาทำหน้าที่อำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง และขอให้ผู้ชุมนุมให้ความร่วมมือกับตำรวจ และขอเสียงปรบมือให้ตำรวจด้วย ฉะนั้น ไม่ต้องไปกระทบกระทั่งกัน การเคลื่อนไหว “จะบุก จะลุย จะไปไหน” ให้ฟังรถเครื่องเสียงเพียงอย่างเดียว

เวลา 14.30 น. ตัวแทนจากกองบัญชาการกองทัพบกออกมารับหนังสือ โดยยืนยันว่าหนังสือฉบับนี้จะถึงมือผู้บัญชาการกองทัพบก ธัชพงศ์ ย้ำว่าการเคลื่อนไหววันนี้จะเป็นการเคลื่อนไหวอย่างสันติวิธี ไม่ว่าจะมีอะไรมาป่วนขบวน ขอให้อดทนไว้

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่าเมื่อเวลา 15.20 น. กลุ่มคาร์ม็อบ เดินทางถึงหน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ มี น.อ.พันณรงค์ ยุทธวงศ์ ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ เป็นตัวแทนมารอรับหนังสือ และยืนยันว่า หนังสือฉบับนี้ถึง ผู้บัญชาการทหารเรือ อย่างแน่นอน

ยื่นหนังสือถึง ผบ.ท.ร. (ถ่ายโดย แมวส้ม ประชาไท)

โดยแกนนำกลุ่มได้ยื่นหนังสือ และสอบถามเหตุผลที่ ผู้บัญชาการกองทัพเรือ ไม่ได้เข้าประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ซึ่ง น.อ.พันณรงค์ ชี้แจงว่า ตามที่ ผบ.ทร.ได้ชี้แจงกับสื่อมวลชนไปแล้วว่า วันนั้น ตรงกับวันรำลึกเหตุการณ์ รศ.112 ที่จะต้องเดินทางไปร่วมงาน ไม่อยากให้มองว่าเป็นการรับงานซ้อน เพราะเป็นงานโดยตำแหน่ง และได้ลาสภาและประธานรัฐสภาไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนอะไรสำคัญกว่ากันระหว่างไปเลือกนายกกับงานรำลึก ไม่ขอให้ความเห็น ทำให้ผู้ชุมนุมกล่าวโจมตีว่า ไม่ควรรับงานซ้อน เพราะจะทำให้ประชาชนลำบาก

นอกจากนี้แกนนำผู้ชุมนุม ยังสอบถามความคืบหน้าเรื่อง เรือดำน้ำ พร้อมทั้งมอบเรือของเล่น ที่สื่อถึงความเป็นสัญลักษณ์ของกองทัพเรือ และเป็นสัญลักษณ์ว่า ผู้ชุมนุมยังติดตามเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำด้วย

จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้โปรย กระดาษที่เป็นข้อความ และรูปภาพเรือดำน้ำ หน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ ก่อนจะเคลื่อนขบวนต่อไปยัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสิ้นสุดกิจกรรมที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยระหว่างที่ยื่นหนังสือผ่านตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้นมีการทำกิจกรรมเผาพริกเผาเกลือเพื่อสาปแช่งด้วย

8 พรรคร่วมอยากย้ำเตือน ให้จับมือให้แน่น 

ธนพร วิจันทร์ ปราศรัยที่รถเครื่องเสียงหน้า BACC เผยว่า เธออยากย้ำเตือน 8 พรรคร่วมรัฐบาลต้องจับมือกันให้มั่น ไม่ต้องเสนอว่าพรรคก้าวไกล ไปเป็นฝ่ายค้าน และประชาชนจะสนับสนุนพรรคร่วมรัฐบาลไปให้ถึงฝั่ง และเราต้องขอร้องว่าอย่าไปจับมือกับพรรคเผด็จการอย่างเด็ดขาด 

ธนพร กล่าวต่อประเด็นที่ ส.ว. อ้างเรื่อง นโยบายแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ทำให้ไม่สนับสนุนพิธา เป็นนายกฯ นั้น ธนพร บอกว่า เธอไม่เชื่อ ต่อให้พรรคก้าวไกล เปลี่ยนนโยบายไม่แก้มาตรา 112 ก็มีข้อหาใหม่มาอ้างอยู่ดี 

“ยังเหลืออีกที่พวกเราจะต้องเดินหน้าต่อสู้ วันนี้ กกต.ต้องติดคุก คุณรับข้อมูลด้านเดียวจากฝ่ายที่ร้องเรียน นั่นก็คือ ส.ว. ที่ไม่เอาพิธา ไม่เอาพรรคก้าวไกล… แต่ กกต.ไม่เคยเรียกคนที่ถูกร้องเรียนไปให้ข้อมูลใช่รึเปล่า อย่างนี้ กกต.บกพร่องต่อหน้าที่ ไม่เอาข้อมูลรอบด้าน ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ควรรับข้อเรียกร้องตอนนี้ใช้ไหม 

"คนที่ร้องบอกว่านโยบายแก้ไขมาตรา 112 เป็นการล้มล้างการปกครอง มันใช่ไหม การแก้ไขกฎหมาย มันไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง แต่เราอยากจะเห็นว่าวันนี้ไม่ต้องเอากฎหมายมาตรา 112 มายัดคดีให้กับผู้เห็นต่างทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ ใครที่พูดเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ต้องติดคุก เราไม่มีพื้นที่ที่จะพูด ถ้ารัฐสภาให้พื้นที่กับพวกเราที่พูด เรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 มันจะไม่มีคนมาพูด ข้างถนนจะไม่มีคนไปเขียนกำแพง ต้องให้พื้นที่กับพวกเราใช่ไหม มันจะได้จบสักที เรื่องข้ออ้างกฎหมายอาญามาตรา 112 พี่น้องเชื่อไหม ส.ว. บอกว่า ถ้าพรรคก้าวไกล ตัดนโยบายกฎหมายมาตรา 112 แล้วเขาจะเลือก เดี๋ยวมันก็หาข้อหาใหม่ มาให้เราอีก นอกจากประชาชนเท่านั้นที่ต้องเชื่อในพวกเราเอง หลายครั้งแล้วที่พวกเราถูกหลอกมาตลอด พรรคการเมืองถูกยุบ พรรคไทยรักไทยเคยถูกยุบมาแล้วก่อนหน้านี้ เราต้องจดจำ เราต้องไม่ลืม" สมาชิกเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน กล่าว  

ธนพร ท้ายสุดกล่าวให้กำลังใจ 8 พรรคร่วมรัฐบาล จับมือเป็นพันธมิตรทางการเมืองกันให้แน่น ขณะเดียวกัน ได้แจ้งกำหนดการยื่นหนังสือที่ศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 18 ก.ค.นี้ ต่อกรณีร้องเรียนกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับเรื่องร้องเรียนต่อพิธา ว่านโยบายแก้ไข มาตรา 112 เข้าข่ายการล้มล้างการปกครองหรือไม่ และกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องปมถือหุ้นสื่อ “iTV” ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 

“วันนี้ก่อนที่จะไปถึงวันที่ 19 ก.ค. ทุกช่องทางที่เรามีการเคลื่อนไหว ทุกช่องทางที่ประชาชนจะส่งเสียง ต้องใช้พื้นที่ให้มากที่สุด ให้พวกเราได้รับชัยชนะ” ธนพร วิจันทร์ กล่าวทิ้งท้าย

เราต้องทำให้สิ่งที่กลัวเป็นจริงขึ้นมา ขอให้ 8 พรรคร่วมอย่าแตกแถว

อานนท์ นำภา กล่าวให้กำลัง ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และขอให้ 8 พรรคร่วมฯ รัฐบาลจับมือกันให้เหนียวแน่น ประชาชนจะยืนหยัดสู้กับ ส.ส. พรรคก้าวไกล อย่าให้พรรคโดนยุบ และทำให้เป็น ส.ส. เพียงแค่ 2 เดือน ให้กำลังใจพวกเขา และพวกเราที่นี่จะสู้กับพวกเขา "คุณไม่ได้สู้เพียงเดียวดาย แต่ทุกคนจะสู้กับทุกคนจนตลอดรอดฝั่ง"

อานนท์ นำภา ปราศรัยหน้า BACC (ถ่ายโดย แมวส้ม ประชาไท)

อานนท์ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 13 ก.ค. ที่ได้ฟัง ส.ส. ชาดา ไทยเศรษฐ์ ขนาดเสนอว่าที่ยิงคนผิดมาตรา 112 โดยไม่มีความผิด และกล่าวอ้างทางประวัติศาสตร์ โดยไม่มีข้อเท็จจริงเลย 

อานนท์ กล่าวต่อว่า ประเทศนี้ก่อเกิดขึ้นมาได้ด้วยประชาชนที่เสียชีวิตล้มตาย บรรพบุรุษของเราทุกคนเสียเลือดเสียเนื้อ พ่อและแม่ของใครในที่นี้เสียชีวิตในเดือน พ.ค. 2535 หรือก่อนหน้านั้น ปี 2516 หลายคนสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปในกระแสธารการต่อสู้  ทุกคนเป็นหินก้อนแรก ก้อนแล้วก้อนเล่าจนมาระเบิดขึ้นในปี 2563 มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ คนที่ลุกขึ้นสู้เมื่อปี 2563 เพราะเขามีต้นทุนมาจากบรรพบุรุษของพวกเขาในอดีตกาล มาปี 2475 คนเดือนตุลาฯ คนเดือนพฤษภาฯ คนเสื้อแดง จนกำเนิดเป็นขบวนการคนรุ่นใหม่ ทุกอย่างไม่ได้บังเอิญ เราเคารพในระบบรัฐสภา เราสู้เราชุมนุมบาดเจ็บล้มตาย เราก็ส่งคนลงรับสมัครการเลือกตั้ง ผลออกมาคนทั้งประเทศ เกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ เลือกฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนส่วนใหญ่ 14 ล้านเสียง เลือกพรรคก้าวไกล ที่ทุกคนต่างตราหน้าว่าเป็นพวกล้มเจ้า อย่าปล่อยให้คนแค่ 250 คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นสมุนเผด็จการ เป็นสมุนเผด็จการมาตั้งแต่เกิด เป็นมา 10 ปี อย่าปล่อยให้พวกเขาใช้ข้ออ้างมาตรา 112 มาเป็นข้ออ้างไม่รับรองนายกฯ ของพวกเรา 112 ถึงที่สุดแล้วเป็นแค่ข้ออ้าง เพราะสิ่งที่เขากลัวจริงๆ คือ พรรค 8 พรรคร่วมรัฐบาลจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงจากเดิม การยุคเก่า ไปสู่ยุคใหม่ เขากลัวการเปลี่ยนแปลงตะหาก ไม่ใช่การแก้ไขมาตรา 112 เพราะอะไร มาตรา 112 ต่อให้เข้าสภาฯ เขาก็มีสิทธิที่จะพิจารณาว่าจะให้ผ่านหรือไม่ ซึ่งแนวโน้มอาจจะไม่ผ่านก็ได้ การหยิบยกมาตรา 112 ไม่ใช่แค่ข้ออ้าง พวกเขากลัวการเข้าไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง 

"เราต้องทำให้สิ่งที่พวกเขากลัว เป็นจริง มาทำให้สิ่งที่พวกเขากลัวกลายเป็นจริง และขอยืนยันว่า พวกเราจะสู้ร่วมกันต่อไป ส่งเสียงไปยัง 8 พรรค ห้ามแตกแถวเด็ดขาด พรรคไหนแตกแถวก่อน พรรคนั้นเป็นเผด็จการ" อานนท์ ทิ้งท้าย 

ก่อนจบกิจกรรม มีการอ่านแถลงการณ์มีรายละเอียดดังนี้ 

แถลงการณ์แนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตย 

ตามที่ข้อเท็จจริงได้ปรากฎชัดเจนแล้วว่า เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ในการเลือกตั้งทั่วไปนั้น พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยได้ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น และเมื่อรวมคะแนนเสียงทั้งหมดของ 8 พรรคการเมืองได้คะแนนสูงกว่า 25 ล้านเสียง โดยมีพรรคอันดับ 1 ซึ่งชนะการเลือกตั้งคือพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อันเป็นรัฐบาลผสม ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม พรรคเพื่อไทยรวมพลัง และพรรคพลังสังคมใหม่ ซึ่งรวมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ถึง 312 เสียง และได้มีการร่วมลงนามในสัญญาหรือ MOU ของพรรคร่วมรัฐบาล อันปรากฎตามสื่อสาธารณะและรับทราบกันแล้วนั้น  

ต่อมา เมื่อประธานสภารัฐสภาได้เรียกประชุมเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมากลับปรากฎว่า สมาชิกรัฐสภาอันประกอบด้วย สส.ฝ่ายรัฐบาลเดิม และวุฒิสภา ไม่เห็นชอบให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และจะมีการลงมติอีกครั้งในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่จะถึงนี้  

เราทั้งหลายในนามของประชาชนแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตยจึงขอออกแถลงการณ์และเรียกร้องไปยังรัฐสภารวมทั้งพี่น้องประชาชนทั้งประเทศดังนี้  

1. เราขอประนามสมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สว.ที่ไม่ลงมติไปตามฉันทามติเสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศ ที่มุ่งหมายให้ฝ่ายประชาธิปไตยร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารบ้านเมือง   

2. เราขอเรียกร้องให้ สว. ที่ไม่ทำหน้าที่ลงมติเห็นชอบตามเสียงของคนส่วนใหญ่ของประเทศ ลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด และให้รัฐสภาที่เหลืออยู่ทำการลงมติไปตามเสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศต่อไป  

3. เราขอเรียกร้องให้ 8 พรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตย ผนึกกำลังกันให้เหนียวแน่น เพื่อบรรลุวัตุประสงค์ตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชน อย่ายินยอมตามเงื่อนไขของ สว. ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ประชาชนจะสู้เคียงข้างไปกับพวกคุณ 

4. เราขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ออกมาต่อสู้กับแนวร่วมประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย เปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  
ด้วยจิตคารวะและเชื่อมั่นในพลังประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย  
 
16 กรกฎาคม 2566

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net