Skip to main content
sharethis

13 พ.ค. 2566 หลายพรรคการเมืองจัดกิจกรรมวันสุดท้ายของการเลือกตั้งทั่วไป ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ (14 พ.ค.) โดยพรรคการเมืองจะสามารถหาเสียงได้ตามที่กฎหมายอนุญาต คือไม่เกิน 18.00 น. ของวันนี้

เพื่อไทยปล่อยขบวนขอคะแนนเสียงครั้งสุดท้าย

พรรคเพื่อไทย นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยผู้บริหารพรรคเพื่อไทย ปล่อยขบวนรถของผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานครของพรรคเพื่อไทย ทั้ง 33 เขต ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขบวนรถคาราวานของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และผู้บริหารพรรคเพื่อไทย บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยตามกำหนด จะออกเดินทางไปย่านสยามสแควร์ โดยเมื่อถึงสยามสแควร์ ขบวนรถแห่ของผู้สมัครส.ส.กรุงเทพมหานครฝั่งธนบุรีของพรรคเพื่อไทย 10 เขต จะแยกไปฝั่งธนบุรี พบปะประชาชน และคนรุ่นใหม่ในสยามสแควร์ และขึ้นทางเชื่อมรถไฟฟ้า BTS มายังบริเวณหน้าห้างสยามพารากอน เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. 2566

'แพทองธาร' ลั่นรับได้ หากพ่อกลับมาติดคุก

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ หลังขึ้นรถแห่หาเสียง เชิญชวนประชาชนให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 14 พ.ค. นี้ ในพื้นที่รอบกรุงเทพมหานคร โดยเชิญชวนคนรุ่นใหม่ หรือ first voter ให้เปิดใจกับพรรคเพื่อไทยเพราะมีประวัติยาวนานกว่า 20 ปี ยอมรับว่าอาจถูกมองในหลายมิติทั้งเรื่องความเก่า หรือบางคนมองว่าสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น แต่อยากให้เห็นถึงความสำเร็จของนโยบายแล้วพิจารณาแบบไม่มีอคติกับพรรคการเมืองใดๆ นโยบายไหนถูกใจหรือตอบโจทย์ที่จะทำให้ประเทศไปข้างหน้า เป็นกำลังใจให้คนรุ่นใหม่ใช้สิทธิใช้เสียงอย่างเต็มศักยภาพให้ภาคภูมิใจที่สุด จำได้ว่าตนใช้สิทธิครั้งแรก ก็รู้สึกภูมิใจ เพราะเป็นการเชียร์พ่อ (นายทักษิณ ชินวัตร) แต่ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งในขณะที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีด้วย ทำให้รู้สึกอินกว่าเดิม เพราะได้มีส่วนร่วมกับส่วนต่างๆ จึงอยากให้ทุกคนออกมาใช้สิทธิกันเยอะๆ

ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้เรามายืนอยู่ใจกลางมหานครที่มีศักยภาพสูง มหานครที่ควรจะเป็นที่ที่คนรุ่นใหม่สามารถสร้างตัวสร้างอาชีพได้ เพื่อไทยมีความพร้อมในทุกมิติ ขอให้เข้าคูหากาเพื่อไทยทั้งสองเบอร์ เพื่อไทยพร้อมจะเริ่มงานทันที

นางสาวแพทองธาร กล่าวเสริมว่าพรรคเพื่อไทยฟิตทั้งพรรค พร้อมเข้าทำเนียบ ขอแค่เลือกตั้งให้แลนด์สไลด์ ส่วนการปราศรัยเมื่อคืนนี้ที่พูดถึงพรรคเพื่อไทยถูกรัฐประหาร 2 ครั้งและพร้อมต่อสู้เคียงข้างประชาชน จะทำให้คนที่ยังไม่ตัดสินใจกลับมาเลือกเพื่อไทยได้หรือไม่นางสาวแพรทองธาร กล่าวว่า ประชาชนที่ได้ฟังการปราศรัยของตน น่าจะเข้าใจความตั้งใจของตนและพรรคเพื่อไทย และหวังให้เข้าใจถึงความตั้งใจและจริงใจ และขอบคุณหากจะเทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย เพื่อเข้ามาแก้ปัญหาให้ประชาชนทั้งประเทศ

ส่วนกรณีที่นายทักษิณ ประกาศจะกลับไทยในเดือนกรกฎาคม นี้ยืนยันแน่นอนแล้วใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่าพ่อพูดไว้แบบนั้น แต่ยังไม่ได้คุยกันในรายละเอียด แต่ยอมรับว่าเรื่องเดือนที่จะเดินทางกลับได้มีการคุยกันแต่อาจมีการบวกลบนิดหน่อย ส่วนเมื่อวานที่คุยกันก่อนขึ้นเวทีก็เป็นการให้กำลังใจกัน สำหรับในฐานะลูกรับได้หรือไม่หากนายทักษิณ จะกลับมาติดคุก นางสาวแพทองธารระบุว่า ยอมรับได้หากเป็นการตัดสินใจของพ่อ ส่วนการปลุกพลังของคนที่ยังลังเลใจ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่าทุกพรรคการเมืองหาเสียงกันอย่างเต็มที่ ตนและพรรคเพื่อไทยก็ยืนยันในนโยบายที่มั่นคง แม้จะมีสวิงโหวตเทไปมาแต่ก็ยังจะตอกย้ำเรื่องเดิม ว่าเลือกเพื่อไทยจะได้อะไร

ขณะที่นายเศรษฐา ยังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไมยจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และชนะแบบแลนด์สไลด์เพราะมั่นใจในนโยบายของพรรค และต้นพูดชัดเจนว่าเพื่อนใครจะทำอะไรถ้าได้เป็นรัฐบาลจึงเชื่อว่าประชาชน จะเห็นความชัดเจนของเพื่อไทยเพราะตอนนี้ประเทศไทยยืนอยู่บนปากเหวตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจไม่ดีจึงไม่มีเวลาสำหรับมือใหม่ อีก 10 แต่เพื่อไทยพร้อมเพราะผ่านมาแล้วทุกวิกฤติ และบุคลากรของเพื่อไทยก็พร้อมวันแรกที่เดินเข้าทำเนียบ ทำงานเต็มที่ได้เลย

นายเศรษฐา ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงการเริ่มขบวนรถหาเสียงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันนี้ว่า เป็นเพราะการใช้เสียงทุกเสียงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง มาสู่ประเทศ

ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะมีเงื่อนไขอย่างไรบ้างนั้น นายเศรษฐากล่าวว่าเพื่อไทยพูดชัดเจน นโยบายต้องไปด้วยกันได้และพรรคที่จะร่วมรัฐบาลต้องไม่มีรากเหง้ามาจากการทำรัฐประหาร และแม้ว่าจะเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันหากนโยบายไม่ไปด้วยกันก็จะต้องมีการ คุยกันในรายละเอียดอีกครั้ง และย้ำว่าต้องเลือกพรรคเพื่อไทยให้ขาดตามยุทธศาสตร์เพราะเพื่อไทยเป็นรองเนื่องจากยังมี ส.ว. 250 เสียงอยู่ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงจำเป็นต้องชนะให้ขาดและน็อคให้ได้ ไม่มีเวลาให้รัฐบาลรักษาการทำหน้าที่ต่อไปอีก

ส่วนกรณีที่มีการพูดถึงรัฐบาลเสียงข้างน้อย นายเศรษฐากล่าวว่าเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ทราบดีว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อย ในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้รับการยอมรับกัน คนพูดจะต้องมีความรับผิดชอบ

ขณะที่นางสาวแพทองธาร ก็คาดหวังว่า ส.ว.จะยกมือให้หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง เพราะถ้าตนเป็น ส.ว.ก็เคารพเสียงประชาชนจึงหวังว่า ส.ว.จะทำเช่นนั้น

ทีมขุนพล พปชร. ร่วมคาราวานรถหาเสียงชวนคนไทยเลือกตั้ง 14 พ.ค.นี้ ใช้เหตุผลตัดสินก่อนใช้สิทธิ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง

เวลา 09.00 น. อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จุดกระจายรถหาเสียง โดยมีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมกทม. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล และ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ที่ปรึกษาคณะกรรมการฝ่ายจัดทำนโยบาย ขึ้นขบวนรถแห่ เพื่อให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศพร้อมเชิญชวนพี่น้องประชาชนเข้าคูหาเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ในของรณรงค์หาเสียงของการเลือกตั้งครั้งนี้ อยากตั้งข้อสังเกตให้กับพี่น้องประชาชน ที่ไปใช้สิทธิก่อนกาบัตรเลือกตั้งครั้งนี้ นับว่ามีความสำคัญที่จะนำพาประเทศเดินไปข้างหน้า หากจะไปเลือกพรรคที่จะนำไปการสร้างความขัดแย้ง จะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เสียโอกาสและน่าเสียดายที่จะพัฒนาประเทศ หรือต้องหยุดการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศ การท่องเที่ยวกำลังเติบโตไปได้ด้วยดี หากเกิดความรุนแรง หรือนำนโยบายที่ขัดกับความรู้สึก ความเชื่อหรือความศรัทธาของประชาชน อาจนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองได้

สิ่งสำคัญที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค อยากให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ ถ้าไม่มีเรา ก็จะทำให้ปัญหาตามมามากมาย และไม่มีนโยบายที่จะช่วยเหลือประชาชน หรืออาจจะทำให้เกิดความขัดแย้ง ขอให้ประชาชนเลือกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง กาเบอร์ 37

นายสกลธี กล่าวว่า ในวันนี้จะเป็นการรวมตัว และ กระจายไปในจุดต่างๆ ของกรรมการทุกคนเพื่อไปช่วยผู้สมัครในแต่ละเขต ซึ่งเรามั่นใจทั้งตัวบุคคล และพรรค เพราะเชื่อมั่นว่า ตัวผู้สมัครไม่เป็นรองใคร แม้ว่าในสนามกรุงเทพต้องอาศัยกระแสเป็นส่วนสำคัญ โดยในส่วนของผู้สมัครทุกคนได้ลงพื้นที่อย่างเต็มที่อยู่แล้ว ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของพี่น้องประชาชน ในวันพรุ่งนี้ที่จะเข้าคูหาและก็เลือกเบอร์ 37

“การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญ ต่อผลของการเลือกตั้งว่าเราเลือกอะไร และได้อะไร ผู้สมัครพปชร.ทุกคนพูดมาแล้วว่าเลือกพรรคพลังประชารัฐ เราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งอยากให้ทุกคนใช้เหตุผลว่าเลือกแล้วจะได้อะไรกลับมา”

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคได้ทำงานอย่างเต็มที่ จึงขอฝากพี่น้องประชาชน ให้โอกาสกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้พปชร. เข้ามาทำหน้าที่รับใช้ชาว กทม.อีกครั้ง

'ประยุทธ์' ปลุกพลังเงียบ และคนไทยทุกคน ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ชี้ ประเทศไทยต้องไปต่อ ทำให้ดีขึ้นไม่ใช่การรื้อบ้านทั้งหลังแบบพลิกแผ่นดิน ทำไม่ได้

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นรถแห่หาเสียง ว่า วันนี้ก็เป็นวันในการหาเสียงวันสุดท้ายพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ ของการกำหนดชะตาของประเทศไทย ก็ขอวิงวอน ขอร้องไปทุกคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ออกไปใช้สิทธิ์อย่างเต็มที่ทุกคน ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย เพราะว่านี่คือการเดินหน้าประเทศไทยไปด้วยกันและขอให้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้ง2ใบทั้งส.ส.เขตและพรรค ขอให้ทุกคนไปลงมติให้พร้อมเพรียงกันในวันพรุ่งนี้ประเทศไทยต้องไปต่อ แต่จะไปอย่างไรเราต้องคิดว่าบ้านเมืองเรามีอะไรหลายอย่างที่ดีขึ้นบ้างแล้วในตอนนี้ ก็ต้องต่อเติมอีกนิดหน่อยก็จะไปได้ไกลกว่านี้ ถ้าเราทำลายในสิ่งที่เรามีอยู่แล้วและเริ่มสร้างใหม่คิดว่ามันไม่มีเวลาแล้ว มันช้า ทำให้ทุกอย่างมันช้าไปหมด สิ่งที่ทำมาแล้วก็พังทลายไปทั้งหมด เราไม่จำเป็นต้องรื้อบ้านหรือประเทศไทยทั้งประเทศจึงจะสร้างบ้านหลังใหม่อย่างที่พลิกแผ่นดินอย่างนี้มันทำไม่ได้ นี่คือความคิดของผม ก็สุดแล้วแต่ประชาชนที่จะเลือกตั้งเอาก็แล้วกัน เคารพในสิทธิ์เสียงของประชาชนทุกคน ขอให้ทุกคนออกมาเลือกตั้งคนทุกช่วงวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คนทุกเจเนอเรชัน เราทำเพื่อคนทุกเจนอยู่แล้ว อย่าไปแบ่งแยก เจเนอเรชันต่างๆแบ่งแยกไม่ได้เพราะเชื่อมโยงกันทั้งหมด และขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนด้วย

ส่วนในวันพรุ่งนี้สภาพอากาศที่อาจจะเกิดฝนตกไม่เป็นใจต่อการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าฝนตกทุกคนก็เตรียมร่ม เสื้อกันฝนมา เชื่อว่าจะไม่เป็นอุปสรรค ทุกคนมีใจแน่วแน่ว่าจะไปเลือกตั้ง ไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ซึ่งในส่วนของคูหาเลือกตั้งก็ต้องมีการเตรียมการฝนฟ้ามีตกก็มีหยุด แต่ถ้าทำให้บ้านเมืองเสียหายมันจะไม่หยุด จะบานปลายไปเรื่อยๆ ก็จะกลับมาที่เก่า ไม่อยากให้กลับมาที่เดิม ถ้ากลับมาที่เดิมก็คงวุ่นวายทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นไม่มีใครจะแก้ไขได้ นอกจากคนไทยทุกคนต้องช่วยกันแก้ไขให้บ้านเมืองสงบร่มเย็นมีวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามมีความเป็นไทยที่คนทั้งโลกชื่นชม

พล.อ.ประยุทธ์ ขอร้องว่าช่วยกันมาเลือกตั้ง ทั้งพลังเงียบและทุกพลังให้ออกมาช่วยกัน เพราะนี่คือประเทศไทยของเรา ส่วนในคืนหมาหอนวันนี้พลเอกประยุทธ์ยืนยันว่าไม่กังวลอะไรทั้งสิ้น

หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นรถแห่พร้อมกล่าวปราศรัยด้วยตัวเอง พร้อมระบุว่าวันนี้ขอโอกาสมาพบประชาชนอีกครั้งหนึ่งเพราะเป็นโค้งสุดท้าย ที่จะเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้แล้วขอให้ชาวกทมออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง อย่างพร้อมเพียงกัน เพราะถือเป็นการเดินหน้า ประเทศไทยไปด้วยกัน อย่าทำให้เกิดการแตกแยก ก่อนจะแวะลงกราบสักการะพระประธานภายในวัดชนะสงคราม และเดินทางต่อ โดยมีประชาชนชาว กทม. ให้กำลังใจโบกมือส่งเสียงเชียร์ตลอดเส้นทาง

‘มาดามเดียร์’ ลุยขอคะแนนฝั่งธนฯ ให้ ‘พลวิทย์-วัชระ-ศิริภา’ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ “SAVEประชาธิปไตยไม่โกง”

น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นรถแห่หาเสียงฝั่งธนบุรี ช่วยผู้สมัคร ส.ส. กทม. ขอคะแนนโค้งสุดท้าย ได้แก่ นพ.พลวิทย์ เจริญพงศ์ เขตทวีวัฒนา-ตลิ่งชัน เบอร์ 3 นายวัชระ เพชรทอง เขตบางแค-หนองแขม เบอร์ 6 และ น.ส.ศิริภา อินทรวิเชียร เขตธนบุรี-คลองสาน-ราษฎร์บูรณะ เบอร์ 11

น.ส.วทันยา กล่าวว่า ธนบุรีที่ผ่านมาถูกปฏิบัติเหมือนลูกเมียน้อย ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การกระจายความเจริญ และความมั่งคั่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เล็งเห็นตรงนี้ และต้องการที่จะลดความเหลื่อมล้ำโดยเริ่มจาก กทม. แต่วันนี้ทุกคนต้องไม่เลือกด้วยความกลัว แต่เลือกที่นโยบายและพรรคการเมืองที่จะตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการของประชาชน

ทั้งนี้ น.ส.วทันยา ย้ำว่า คอร์รัปชันและการใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ก็เป็นเหตุหนึ่งของความเหลื่อมล้ำ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยึดถือหลักการประชาธิปไตยสุจริต พร้อมประกาศเจตนารมณ์ “SAVEประชาธิปไตยไม่โกง” เพื่อไปหยุดยั้งงบประมาณรั่วไหลในสภา นำโดย นายวัชระ ที่มีชื่อเสียงในการเปิดโปงเบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบ และคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีความรู้ความสามารถอย่าง น.ส.ศิริภา และนพ.พลวิทย์ ที่พร้อมทำงานทันที

"กัณวีร์" ย้ำ ประชาธิปไตย คือ สันติภาพปาตานี ขอชาวปาตานีแสดงพลังกำหนดชะตากรรมตนเอง ผ่านปลายปากกา 14 พ.ค.นี้

ทีมสื่อพรรคเป็นธรรมนายกัณวีร์ สืบแสง เลขาธิการพรรคเป็นธรรม ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเป็นธรรม เบอร์ 3 นำทีม ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต ทั้ง 8 เขต ใน จ.ยะลา จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส เปิดเวทีปราศัยใหญ่ครั้งสุดท้าย ที่หาดปานาเระ อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี

นายกัณวีร์ ขอบคุณประชาชนที่ให้การต้อนรับ แม้จะเริ่มทำงานการเมืองมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมาและเปิดตัวหาเสียงไม่ถึง 3 เดือน แต่กระแสตอบรับดีจึงทำให้มั่นใจว่า พรรคเป็นธรรมสามารถปักธงในพื้นที่ปาตานีได้ โดยเฉพาะนโยบายการสร้างสันติภาพ และการกระจายอำนาจ ให้จังหวัดจัดการตนเอง มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ภายใต้นโยบายระเบียงเศรษฐกิจ

ชายแดน เช่น ระเบียงเศรษฐกิจนูซันตารา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเป็นหมายสันติภาพที่กินได้ พรรคเป็นธรรมจึงให้ความสำคัญกับนโยบายยกระดับกระบวนการสันติภาพ เพราะถ้าไม่มีสันติภาพในปาตานี อย่าไปหวังงว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้นได้ อย่าไปหวังว่า การกระจายอำนาจจะเกิดขึ้นได้

"ขอฝากถึงประชาชนไม่ใช่แแค่ปาตานี ถ้าอยากเห็นการเมืองใหม่ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง พรรคการเมืองที่เป็นพรรคของท่าน ไม่ใช่ของกลุ่มนายทุน ขอให้เลือกพรรคเป็นธรรมเบอร์ 3 เพราะเราเชื่อมั่นว่า ประชาธิปไตย คือสันติภาพปาตานี เราเชื่อมั่นว่า สันติภาพปาตานี จะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีประชาธิปไตย วันที่ 14 พ.ค.นี้ ขอให้ร่วมกันกำหนดชะตาชีวิตการเมืองไทย กำหนดชะตากรรมชาวปาตานีผ่านปลายปากกาในการเลือกตั้ง"

นายกัดดาฟี กูนา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 จ.ปัตตานี หมายเลข 8 เปิดเผยว่า การเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.นี้ ถ้าอยากเห็นเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปาตานี นาทีนี้ต้องพรรคเป็นธรรมเท่านั้น ถ้าต้องการผู้แทนของคนปาตานีที่เป็นนักต่อสู้ ไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร ไปสร้างสันติภาพผ่านกลไกลรัฐสภา เพราะเราเชื่อมั่นว่า สันติภาพมิอาจเกิดขึ้นได้ด้วยปลายกระบอกปืน สันติภาพเกิดขึ้นได้ด้วยการเมือง และประชาชนต้องกำหนดชะตากรรมตนเองผ่านการเลือกตั้ง

นายสุไฮมี ดูละสะ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 จ.ปัตตานี หมายเลข 8 ยอมรับว่า กระแสตอบรับพรรคเป็นธรรมมาจาก นโยบายที่ยกระดับเพดานสันติภาพปาตานี เพราะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองที่มีอยู่ในพื้นที่ไม่พูดถึงนโยบายสันติภาพและความมั่นคง แต่พรรคเป็นธรรมมีเรื่องนี้เป็นนโยบายหลัก และผู้สมัคร เป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นอดีตนักกิจกรรม ที่จะนำนโยบายที่ยกเพดานเหล่านี้ไปสู้แทนประชาชนในสภาฯได้

น.ส.ซูรัยยา วาหะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 3 พรรคเป็นธรรม เปิดเผยว่า แม้จะเป็นผู้สมัครผู้หญิง แต่ไม่ได้อยากให้มองว่าเป็นตัวแทนของผู้หญิง เพราะเมื่อมาลงสมัคร ส.ส.นั่นหมายความว่า เป็นตัวแทนของประชาชนทุกคน การก้าวสู้การเมืองของตนเองตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนและนักศึกษา เชื่อมั่นว่าประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะสร้างความยุติธรรมให้ประชาชน และสันติภาพเท่านั้นที่จะทำให้ปาตานีเท่าเทียม และปาตานีจะเป็นธรรม ต้องพรรคเป็นธรรมเท่านั้น

นายฮากิม พงตีกอ รองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม ประธานปาตานีบารู ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง กล่าวย้ำว่า ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเป็นธรรม มีอดีตนักกิจกรรม PerMaz นักกิจกรรม Patani Baru และ The Patani การเป็นอดีตนักกิจกรรมและนักต่อสู้ทำให้คนเหล่านี้มีเจตจำนงค์ที่จะไปเป็นตัวแทนชาวปาตานี และพรรคเป็นธรรม เป็นพรรคที่ตอบโจทย์ปัญหาคนปาตานีมากที่สุด รวมถึง นายกัณวีร์ สืบแสง ก็เป็นลูกหลานของคนปาตานี เป็นนักสันติภาพ นักมนุษยธรรม ที่จะเป็นผู้นำของคนปาตานีได้ จึงอยากเห็นคนปาตานี ไปแสดงเจตจำนงค์ว่าต้องการสันติภาพปาตานี ด้วยการเลือกพรรคเป็นธรรม เบอร์ 3 การเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.นี้ ปาตานีต้องเป็นธรรม

“กรณ์” ขึ้นรถแห่ทั่วกรุงฯ วันสุดท้าย ย้ำสโลแกน “เศรษฐกิจต้องเรา” เลือกชาติพัฒนากล้า เลือกมืออาชีพเศรษฐกิจไปแก้ปัญหา

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ลงพื้นที่ เพื่อช่วยลูกพรรคหาเสียงเป็นวันสุดท้าย เพื่อขอคะแนนเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนในเขตต่าง ๆ ตั้งแต่ช่วงเช้าเริ่มจากเข้าสักการะพระแม่อุมาเทวีและสิ่งศักดิ์สิทธิที่ วัดแขก เพื่อความเป็นสิริมงคล

ก่อนจะเดินทางไปยังตลาดศรีย่าน ราชวัตร ซึ่งเป็นพื้นที่หาเสียงของนายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม ผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 9 จากนั้นได้ขึ้นรถแห่ไปยังเขตลาดพร้าว ซึ่งเป็นพื้นที่ของ นายบุญสืบ จันทร์แจ่มศรี ผู้สมัคร เบอร์ 3 และเขตบางกะปิ พื้นที่ของนายธาม สมุทรานนท์ ผู้สมัครเบอร์ 8 ก่อนจะตรงไปยังตลาดบองมาเช่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของ นางสาววิเวียน จุลมนต์ ผู้สมัครเบอร์ 10

นายกรณ์ ได้เชิญชวนให้พี่น้องประชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม กาเบอร์ 14 พรรคชาติพัฒนากล้า และกาเบอร์ผู้สมัครของพรรคชาติพัฒนากล้าในทุกเขตเลือกตั้ง โดยตลอดเส้นทาง ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี โดยประชาชนโบกมือทักทาย และอวยพรให้โชคดี ได้เข้าไปทำงานแก้ไขปัญหาปากท้องให้พี่น้องประชาชน ตามที่ได้ตั้งใจไว้

จากนั้นคณะได้พักรับประทานอาหารที่ตลาดบองมาเช่ ก่อนที่นายกรณ์ จะให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พรรคชาติพัฒนากล้าจะได้มีโอกาสลงพบปะพี่น้องประชาชนขอคะแนนเสียง ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปหาเสียงกันในเขตของตัวเอง อยากฝากประชาชนว่าในวันที่ 14 พฤษภาคม อยากให้ไปใช้สิทธิกันมาก ๆ และหากเห็นว่าประเด็นเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ควรได้รับการดูแลเหนืออื่นใด ก็ขอให้พิจารณาเลือกพิจารณาพรรคชาติพัฒนากล้า เพราะพรรคเราเป็นพรรคเศรษฐกิจที่มีความเชี่ยวชาญและมีความตั้งใจที่จะมาแก้ปัญหาปากท้องโดยเฉพาะ และมีทีมงานที่ผสมผสานกันระหว่างคนรุ่นเก่า และผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเศรษฐกิจ ธุรกิจ พร้อมรับใช้ประชาชน

“ขอให้ท่านส่งพลังบวกเลือกในสิ่งที่ท่านต้องการจริง ๆ อย่าไปกังวลว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยถ้าเราได้เลือกในสิ่งที่เราชอบและศรัทธาแล้ว ก็เชื่อว่า ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ เราจะมีความภาคภูมิใจกับการตัดสินใจของเรา และหากกรุณาเลือกเบอร์ 14 ทั่วประเทศ ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดี ถ้าเรามีโอกาสเข้าไปทำงาน เราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” นายกรณ์กล่าว

ต่อมาในช่วงบ่าย นายกรณ์พร้อมคณะ ออกจากตลาดบองมาร์เช่ ขึ้นรถแห่ไปตามถนนในเขต บางเขน จตุจักร หลักสี่ ในพื้นที่ของ ดร.แวววรรณ ก้องไตรภพ ผู้สมัครเบอร์ 3 ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง ถ.สาทร ซึ่งเป็นพื้นที่หาเสียงของ 3 ผู้สมัคร คือ นายนันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์ เขต1 เบอร์9 นายวรนนท์ อัศวกิตติเมธิน เขต2 เบอร์ 3 สาทร ปทุมวัน ราชเทวี และ นายปรัชญา อึ้งรังสี เขต3 เบอร์ 14 บางคอแหลม ยานนาวา โดยตลอดเส้นทางถนนสาทร นราธิวาสฯ พระราม 3 ประชาชนรอให้การทักทายอย่างคับคั่ง

“ศิธา” ขอคะแนนไล่เผด็จการ “จินนี่” ลุยช่วย "ไทยสร้างไทย" หาเสียงวันสุดท้าย

ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่าน.ต.ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วย นายณัฐวัฒน์ พอใช้ได้ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 33 และนางนิธิสนี กลิ่นพันธหิรัญ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 32 ของพรรคไทยสร้างไทย ขึ้นรถแห่ปราศรัยขอคะแนนพี่น้องประชาชนย่านฝั่งธนบุรี โดยตระเวนไปถนนสายสำคัญ พื้นที่ทางเศรษฐกิจและชุมชน ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น พี่น้องประชาชนโบกมือทักทายส่งกำลังใจ เพื่อเชียร์ให้ น.ต.ศิธา ซึ่งอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 5 มีโอกาสเข้าสภาฯ ไปทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน ทั้งยังมอบดอกไม้มอบน้ำดื่ม เพื่อไว้ใช้สำหรับตระเวนแห่หาเสียงในวันนี้ด้วย

น.ต.ศิธา ย้ำว่า หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องการเห็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยจับมือกันให้แน่น เพื่อเอาชนะฝ่ายเผด็จการ เพราะตลอดระยะเวลาหลังการยึดอำนาจกว่า 17 ปี ประชาชนต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จากปัญหาการเมือง 2 ขั้ว โดยคณะรัฐประหารออกแบบกติกาที่เอารัดเอาเปรียบ เพื่อสร้างให้ตัวเองมีโอกาสเข้ามาควบคุมอำนาจการบริหาร โดยใช้ ส.ว. 250 คน เป็นกลไกในการเลือกตนเอง และพวกพ้องของตนให้เข้ามามีอำนาจ 

“อยากให้พี่น้องประชาชนทุกคนตระหนักเห็นปัญหาที่ผ่านมา และขอให้พี่น้องผู้รักประชาธิปไตย ออกไปร่วมกันแสดงพลังในวันพรุ่งนี้ให้มากที่สุด หากพี่น้องคนใดต้องการให้ผมเข้าไปต่อสู้ในสภาฯ สู้กับเผด็จการให้ราบคาบ และผลักดันนโยบายดีๆ ที่จะดูแลพี่น้องตั้งแต่เกิดจนแก่ ขอให้เลือกพรรคไทยสร้างไทยบัตรสีเขียว และ ส.ส. เขตทุกคนของพรรคไทยสร้างไทยบัตรสีม่วง เราจะเข้าไปไล่เผด็จการที่สืบทอดอำนาจมายาวนาน และยืนยันว่าพรรคไทยสร้างไทยจะไม่เป็นที่เหยียบยืนให้เผด็จการ ไม่พายเรือให้ลุงนั่ง และจะไม่ยอมให้ลุงคนใดก็ตามกลับเข้ามามีอำนาจอีกต่อไป”

ทางด้านตลาดบางจาก เขตบางนา นางสาวยศสุดา ลีลาปัญญาเลิศ หรือ จินนี่ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคไทยสร้างไทย ลูกสาวของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายปณิธาน ประจวบเหมาะ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 23 พรรคไทยสร้างไทย ลงพื้นที่วันสุดท้ายเพื่อขอคะแนนจากชาวบางนา โดยพ่อค้าแม่ขายและประชาชนที่มาเดินจับจ่ายหลายคนเข้ามาทักทายพร้อมพูดคุยอย่างเป็นกันเอง และจำได้ว่าเป็นบุตรสาวของคุณหญิงสุดารัตน์ จึงขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

ทั้งนี้ นางสาวยศสุดา ได้กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่จดจำตนเองได้ และเข้ามาทักทายพร้อมพูดถึงนโยบายของพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งพรรคพร้อมทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ประชาชนอย่างแข่งขัน และจะผลักดันทุกนโยบายให้สำเร็จเป็นรูปธรรม จากนั้นลงพื้นที่ตลาดบางน้ำผึ้ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ช่วย นายธวัชชวิน โกพัฒน์ตา ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขตเลือกตั้งที่ 6 ขอคะแนนเสียงจากนักท่องเที่ยว และพี่น้องประชาชน รวมถึงพ่อค้าแม่ขาย ย้ำว่าพรรคไทยสร้างไทยจะเข้าไปผลักดันนโยบายที่แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และดูแลประชาชนตั้งแต่เกิดจนแก่

"ธนาธร" หาเสียงก้าวไกลวันสุดท้าย ปลุกเฝ้าหน่วยเลือกตั้ง ย้ำ ร่าง รธน.ใหม่

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมหาเสียงวันสุดท้ายที่ 3 จังหวัด ประกอบด้วย ระยอง ชลบุรี และสมุทรปราการ เริ่มด้วยการเปิดเวทีปราศรัยขนาดย่อม 2 จุด ที่ตลาดดิโอโซน อ.เมืองระยอง และที่ตลาดเจริญชัย อ.นิคมพัฒนา พร้อมผู้สมัคร ส.ส.ระยอง พรรคก้าวไกล ทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย เขต 1 กมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล (เบอร์ 1), เขต 2 กฤช ศิลปชัย (เบอร์ 5), เขต 3 นครชัย ขุนณรงค์ (เบอร์ 8), เขต 4 ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ (เบอร์ 2) และเขต 5 สว่างจิตต์ เลาหะโรจนพันธ์ (เบอร์ 3)

จากนั้น ได้เดินทางเข้าสู่ จ.ชลบุรี เปิดเวทีปราศรัยบนรถแห่สองจุดร่วมกับผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี ที่ตลาดเพลินการ์เด้น อ.บ่อวิน ร่วมกับผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี เขต 7 สหัสวัต คุ้มคง (เบอร์ 10) และที่ อ.บางละมุง ร่วมกับผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี เขต 8 จรัส คุ้มไข่น้ำ (เบอร์ 4), เขต 9 ยอดชาย พึ่งพร (เบอร์ 8) และ เขต 10 นิชนันท์ วังคะฮาต (เบอร์ 5)

ส่วนในช่วงบ่ายไปจนถึงเย็นที่ จ.สมุทรปราการ ธนาธรได้ร่วมขบวนแห่หาเสียงไปบนถนนสายหลักทั่วทั้งจังหวัด พร้อมกับผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ ทั้ง 8 เขต ประกอบด้วย เขต 1 พนิดา มงคลสวัสดิ์ (เบอร์ 3), เขต 2 รัชนก สุขประเสริฐ (เบอร์ 2), เขต 3 พิชัย แจ้งจรรยาวงศ์ (เบอร์ 2), เขต 4 วุฒินันท์ บุญชู (เบอร์ 6), เขต 5 นิตยา มีศรี (เบอร์ 5), เขต 6 วีรภัทร คันธะ (เบอร์ 8), เขต 7 บุญเลิศ แสงพันธุ์ (เบอร์ 2) และ เขต 8 ตรัยวรรธน์ อิ่มใจ (เบอร์ 4) ก่อนจบกิจกรรมหาเสียงทั้งหมดในเวลา 17.00 น. โดยประมาณ

การปราศรัยของนายธนาธรวันนี้ ได้เน้นย้ำไปที่การขอแรงจากประชาชนและผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลทุกคน โดยระบุว่าคงไม่ใช่การกล่าวเกินไป หากจะพูดว่าอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ การตัดสินใจของทุกคนจะส่งผลต่ออนาคตของลูกหลานและของประเทศไทย

"วันนี้พรรคก้าวไกลแสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่สดใส จากพรรคอนาคตใหม่มาสู่พรรคก้าวไกล ภารกิจของเราคือการฟื้นฟูประชาธิปไตย นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่สังคมไทย แต่สิ่งต่างๆ ที่พูดไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ทันทีในวันที่ 14 พฤษภาคม ต่อให้ชนะในการเลือกตั้งแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าภารกิจสำเร็จแล้ว เรายังต้องเดินทางอีกไกล" นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวอีกว่า การเอารัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ออกไป เริ่มต้นด้วยการทำประชามติว่าประชาชนต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ เมื่อผ่านได้เราก็ต้องไปเลือก สสร. เพื่อมาร่างรัฐธรรมนูญ เสร็จแล้วก็ต้องทำประชามติว่าประชาชนจะรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ต้องหย่อนบัตรกันอีก 3 รอบ ถ้าไม่ออกแรงกันอีกทั้ง 3 รอบ รัฐธรรมนูญไม่ถูกแก้ไข ชีวิตของทุกคนก็จะต้องเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าไม่ออกแรงไปเลือก สสร. กัน เราก็จะได้ฝ่ายอนุรักษนิยมมาร่างรัฐธรรมนูญที่แย่ออกมาอีก เพราะฉะนั้น ต่อให้หย่อนบัตรเลือกตั้งแล้ว ภารกิจของเราก็ไม่ได้จบที่ 5 โมงเย็นของวันที่ 14 พฤษภาคมแน่ๆ

นายธนาธร กล่าวด้วยว่า นอกจากนั้น หลังปิดหีบในช่วง 17.00 น. พวกเรายังมีภารกิจที่ต้องช่วยกันไปเฝ้าหน่วยเลือกตั้งต่อ ไม่ว่าท่านจะเลือกพรรคอะไร เลือกตั้งรอบนี้ประชาชนไม่อาจประมาทได้และต้องร่วมกันปกป้องคะแนนของเรา ไม่ให้ความพยายามของหัวคะแนนธรรมชาติทุกคนที่ช่วยกันลงแรงหาคะแนนมา ต้องกลายเป็นความสูญเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ ใครกาสิบโมงเฝ้าถึงเที่ยง ใครกาเที่ยงเฝ้าถึงบ่ายโมง ใครกาบ่ายโมงเฝ้าถึงบ่ายสอง ใครกาตอนเย็นเฝ้าถึงสองทุ่มไปเลย

“หมอวรงค์” นำอ่านแถลงการณ์ ชักธงรบสู้กับก้าวไกล ต้องไทยภักดีชวนช้างป่วยลุกเป็นช้างศึกปราบกบฏ

เว็บไซต์บ้านเมือง รายงานว่าเมื่อวันที่ 12  พ.ค. 2566 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี  พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.และสมาชิกพรรคประมาณ 100 คนรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน กทม. เพื่ออ่านแถลงการณ์ “ชักธงรบ สู้กับก้าวไกล ต้องไทยภักดี เลือกไทยภักดี หยุดทันทีวิกฤตของแผ่นดิน”

นพ.วรงค์ กล่าวว่า  การอ่านแถลงการณ์ ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อยืนยันกับประชาชนว่า ประชาธิปไตยต้องไม่ถูกผูกขาดโดยพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งโดยเด็ดขาด พัฒนาการของไทยภักดี ตั้งแต่กลุ่มจนกระทั่งมาเป็นพรรคไทยภักดี จุดยืนชัดเจนว่า จะต่อสู้กับพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า และขบวนการ 3 นิ้ว ซึ่งตั้งแต่อดีตที่ผ่านจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง เป็นบทพิสูจน์แล้วว่า พรรคไทยภักดีเพียงพรรคเดียวเท่านั้น ที่ต่อสู้กับคนกลุ่มนี้อย่างจริงจัง ขอย้ำว่า ศัตรูของแผ่นดินคือ ความยากจน การต่อสู้กับความยากจน จะต้องจัดการกับปัญหาทุจริตคอรัปชั่น หยุดทุนผูกขาด ไม่ใช่การแก้ไขมาตรา 112 และสิ่งที่สำคัญ การขับเคลื่อนของคนกลุ่มนี้ผูกขาดคำว่าประชาธิปไตยทั้งๆ เป็นพวกประชาธิปไตยจอมปลอมและพยายามกล่าวหาบุคคลอื่นว่า เป็นเผด็จการ ซึ่งถ้าเป็นเผด็จการจริง พวกเขาคงไม่ได้ขึ้นเวทีดีเบต กล่าวหาคนอื่น และในทางกลับกันบางรัฐบาลอ้างว่า เป็นประชาธิปัตย์ไตยกกลับมีการอุ้ม ทำให้คนสูญหาย
 
นพ.วรงค์ กล่าวว่า  คนเหล่านี้อ้างประชาธิปไตยปลุกปั่นเยาวชนที่อาจจะไม่เข้าใจสถานการณ์ทางการเมือง ความเกลียดชัง กระจายไปทั่วในสังคมไทยรวมทั้ง ในครอบครัว โดยเฉพาะกับคำว่า ปฏิรูปสถาบัน เพราะมีเจตนาอันแน่วแน่ที่จะทำลายศรัทธา ความน่าเชื่อถือของสถาบันเบื้องสูง  ล่าสุดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มเยาวชนไปใช้ความรุนแรงที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ มีความพยายามยุยงปลุกปั่นว่า เจ้าหน้าที่รังแกเด็ก และ ส.ส.พรรคก้าวไกล ก็ออกมาจี้ให้ปล่อยตัว ซึ่งถ้าคนไทยไม่ตระหนักและไม่ทำอะไรเลย การแก้ไขมาตรา 112 หรือยกเลิกมาตรา 112 จะทำให้สถาบันถูกทำลายช้าๆ และย่อยสลายไปในที่สุด รวมถึงการทำลายกองทัพ ความต้องการให้เลือกตั้งผู้ว่า เพื่อย่อยสลายประเทศไทยให้เป็นระบอบสาธารณรัฐ
 
นพ.วรงค์ กล่าว่า พรรคไทยภักดี รู้เท่าทันต่อพฤติกรรมคนเหล่านี้ รู้ว่าอนาคตประเทศจะเผชิญปัญหาอะไรบ้าง จึงออกมาสู้ ออกมาเอาความจริงให้ประชาชนได้รับทราบ และขอเตือนไว้ล่วงหน้าถึงการเกิดสงครามกลางเมืองตามที่พวกเขาต้องการเพื่อให้ชาติมหาอำนาจตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในประเทศ จึงอยากเชิญชวนประชาชน รวมพลังชาวช้างป่วยมาเป็นช้างศึก ออกศึกต่อสู้กับกบฏแผ่นดิน ในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เลือกไทยภักดีจะสามารถหยุดทันทีวิกฤตของแผ่นดิน  
 
ทั้งนี้ล่าสุดวันนี้ (13 พ.ค.) หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ ข้อความ #จากใจหมอวรงค์เบอร์21 ผ่านเฟซบุ๊ก “วรงค์ เดชกิจวิกรม-Warong Dechgitvigrom” เนื้อหาระบุว่า  ตลอดระยะเวลาที่หาเสียงเดือนเศษ เป็นความยากลำบากมาก ของพรรคไทยภักดี ที่ตั้งใจทำการเมืองในเชิงอุดมการณ์ ไม่เพียงแต่พื้นที่สื่อ แม้แต่การทำป้ายพวกเราก็ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ข้อจำกัดด้านงบประมาณด้านต่างๆ ในช่วงแรกๆ บนเวทีดีเบตพวกเราก็ถูกมองข้าม แต่สิ่งที่เราเหนือกว่า พรรคการเมืองพรรคอื่นๆนั่นคือ จุดยืนที่ชัดเจน และอุดมการณ์ แม้เราได้โอกาสในการแสดงวิสัยทัศน์ แต่ก็เป็นการต่อสู้บนเวที ที่พวกเราถูกเอาเปรียบทุกรูปแบบ โดยเฉพาะจากพิธีกร แต่เนื่องจากเรายืนหยัดถึงอุดมการณ์ และการศึกษาข้อมูลอย่างแท้จริง ทำให้พวกเราไทยภักดี ไม่เคยหวั่นไหว แม้แต่เสียงโห่ฮาของพวกที่เรียกตนเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย ทำไมเราถึงเด็ดเดี่ยว ยืนหยัด ชัดเจน เพราะเราเชื่อว่า ประเทศกำลังถูกคุกคาม จากพวกต่างชาติ จากพวกนักการเมืองขายชาติ จ้องทำลายสถาบันหลักของชาติ พวกเรารู้ว่าอะไร อันตรายจะเกิดกับประเทศ เราจึงทุ่มเท ที่จะเข้าไปต่อสู้กับคนพวกนี้ ด้วยงบประมาณ และระยะเวลาที่เรามี ผมหมอวรงค์ และพรรคไทยภักดี ได้ทำเต็มที่ที่สุดด้วยหัวใจครับที่เหลือ ขอให้เป็นการตัดสินใจของพี่น้องประชาชนทุกคน เข้าคูหา บัตรสีเขียวกาเบอร์ 21”

ที่มา: สำนักข่าวไทย [1] [2] [3] [4] [5] | ทีมสื่อพรรคเป็นธรรม | สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น | ไทยรัฐออนไลน์ | กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ | บ้านเมือง



 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net