กสม. ร่วม กมธ. สิทธิมนุษยชน วุฒิสภา จัดเวทีสาธารณะ “สิทธิชุมชนในเขตป่าอนุรักษ์ ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้
22 เม.ย.2565 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สนง.กสม.) รายงานต่อสื่อมวลชนว่า วันนี้ (22 เม.ย.) เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา อาคารรัฐสภา เกียกกาย กรุงเทพมหานคร คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา จัดเวทีสาธารณะหัวข้อ “สิทธิชุมชนในเขตป่าอนุรักษ์ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562” โดยมี สมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา และ พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นประธานร่วมในเวที
ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้นำเสนอ “ข้อเสนอแนะแนวทางในการส่งเสริ
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวต่อไปว่า การจัดเวทีสาธารณะในครั้งนี้ จึงเป็นการแลกเปลี่ยนและให้ข้
กิตติศักดิ์ ปรกติ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย กล่าวว่า การบังคับใช้และตีความพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมาของภาครัฐ มุ่งคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก โดยมิได้คำนึงถึงสิทธิชุมชนอันได้รับการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญไม่บัญญัติข้อจำกัดไว้ โดยที่การใช้สิทธิชุมชนมีเงื่อนไขที่จะต้องเป็นไปบนหลักของความสมดุลและยั่งยืนในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย อย่างไรก็ดี สิทธิชุมชน มีศักดิ์และความสำคัญมากกว่าการมุ่งคุ้มครองเพียงทรัพยากรธรรมชาติ การร่างอนุบัญญัติหรือกฎหมายลำดับรองต่าง ๆ ของภาครัฐจึงต้องกำหนดกฎเกณฑ์ในทางที่เป็นคุณกับชุมชน เพื่อให้ชุมชนเป็นศูนย์กลางของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
สาธิต วงศ์หนองเตย กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดิน และการออกเอกสารสิทธิในที่ดิน สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นว่า การเกิดขึ้นของพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 โดยภาพรวมถือเป็นความก้าวหน้าของรัฐที่สะท้อนให้เห็นว่ารัฐได้ให้การยอมรับอย่างแท้จริงว่ามีผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จึงออกกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาในส่วนนี้เพื่อให้คนอยู่กับป่าได้ นอกเหนือไปจากการใช้วิธีไล่รื้อและจับกุม อย่างไรก็ดี ตนเห็นว่า หากจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้จะต้องมีกลไกที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนได้พูดคุยกันเพื่อหาทางออกในทางปฏิบัติ รวมทั้งต้องแก้ไขปัญหาให้กับบุคคลที่ถูกดำเนินคดีบุกรุกป่า โดยที่รัฐบาลมีนโยบายจะนิรโทษกรรมให้แล้วเสร็จ ก่อนออกกฎหมายลำดับรองด้วย
ประยงค์ ดอกลำไย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) เรวดี ประเสริฐเจริญสุข มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ภาณุเดช เกิดมะลิ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร และ ประทีป มีคติธรรม ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ร่วมแสดงความคิดเห็น สรุปได้ว่า ที่ผ่านมารัฐมักมีสมมุติฐานว่าชุมชนที่อาศัยอยู่ในป่ากว่า 4,000 ชุมชน คือผู้บุกรุกป่าทั้งที่ชุมชนเหล่านี้คือผู้ที่อาศัยอยู่มาก่อนการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติหรือเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ การตั้งสมมติฐานเช่นนี้ นำไปสู่การออกกฎหมายหรือระเบียบที่หน่วยงานของรัฐยังคงเป็นผู้มีอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จทุกการดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ป่าซึ่งรวมทั้งพื้นที่อนุรักษ์ในทะเล เช่น รูปแบบของการสร้างที่อยู่อาศัย หรือ ชนิดของสัตว์ป่าสัตว์น้ำที่ชาวบ้านจะสามารถจับมาเพื่อหาเลี้ยงชีพได้ ซึ่งทำให้ชุมชนในพื้นที่ป่ายังคงอ่อนแอและขาดศักยภาพในการดำรงชีพด้วยตนเอง
ผู้แทนภาคประชาชนยังสะท้อนว่า แม้สิทธิชุมชนจะได้รับการรั
“กสม. ยินดีร่วมมือกับทุกฝ่ายและทุ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)