Skip to main content
sharethis

บทความที่เผยแพร่ใน FPIF มองว่าฝ่ายซ้ายตะวันตกพูดไม่เต็มปากกรณีรัสเซียรุกรานยูเครนและเน้นโบ้ยความผิดให้นาโตมากเกินไปจนไม่ยอมมองเห็นว่าโลกนี้มีจักรวรรดินิยมหลายรูปแบบนอกเหนือจากสหรัฐฯ เรื่องนี้จึงกลายเป็นการที่ฝ่ายซ้ายเหล่านี้มองแบบเอาอเมริกันเป็นศูนย์กลางอยู่ดี อีกทั้งยังแสดงให้เห็นการขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องประเด็นความขัดแย้งรัสเซียด้วย

วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อ 31 ก.ค. 2017 (ที่มา: Wikipedia/แฟ้มภาพ)

เดวิด อุสต์ อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ที่ "วิทยาลัยโฮบาร์ตและวิลเลียม สมิทธ์" ในนิวยอร์ก และผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประเด็นยุโรปตะวันออกโดยเน้นเรื่องแรงงาน, ชนชั้น, ประชาธิปไตย และฝ่ายขวาใหม่ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับปฏิกิริยาของฝ่ายซ้ายตะวันตกต่อกรณีรัสเซียรุกรานยูเครน โดยระบุว่าเขาเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับฝ่ายซ้ายอย่างพวกเขาที่ต้องแสดงตัวอยู่ฝ่ายเดียวกับกระแสหลัก บางครั้งก็ทำให้รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง หรือกำลังหย่อนยานในเรื่องการต่อสู้ ไปจนถึงระแวงว่าการรุมประณามผู้ก่อเหตุร้ายบางคนจะกลายเป็นการทำให้ศัตรูในบ้านของพวกเขาเข้มแข็งขึ้นหรือไม่เพราะไปทำให้ศัตรูที่ว่านี้ดูเป็นฝ่ายธรรมะ

สิ่งที่อุสต์กำลังพูดถึงในที่นี้คือเรื่องปฏิกิริยาของฝ่ายซ้ายตะวันตกต่อกรณีที่รัสเซียรุกรานยูเครนซึ่งดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว อุสต์ระบุว่าความสับสนในตัวเองของฝ่ายซ้ายเช่นนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคที่รัสเซียยังเป็นสหภาพโซเวียตแล้ว เพราะถึงแม้จะมีฝ่ายซ้ายที่ต่อต้านเผด็จการแบบสตาลินนิยมและต่อต้านการทำลายประชาธิปไตยจากภายในของสหภาพโซเวียต แต่มันก็ทำให้พวกเขาเล็งเห็นว่าการประณามโซเวียตจะทำให้ความคิดเห็นของพวกเขาเป็นเสียงเดียวกับกลุ่มชนชั้นกระฎุมพีในตะวันตก

ปัญหาการไม่ประณามจักรวรรดินิยมรัสเซียโดยตรง

อุสต์ตั้งข้อสังเกตต่อปฏิกิริยาของฝ่ายซ้ายตะวันตกในช่วงแรกๆ ที่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนว่า ดูเหมือนพวกเขาจะเน้นพูดถึงแต่นาโต ไม่ได้พูดถึงรัสเซีย ถึงแม้ซ้ายตะวันตกเหล่านี้จะออกปากว่าการรุกรานยูเครนเป็นเรื่องที่ผิด แต่พวกเขาก็มักจะอ้างว่าต้วร้าย "ที่แท้จริง" คือตะวันตก ฝ่ายซ้ายเหล่านี้อ้างว่าเป็นเพราะนาโตพยายามขยายอิทธิพลไปทางตะวันออกและไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่จะรวมยูเครนเป็นสมาชิก โดยที่ฝ่ายซ้ายผู้วิจารณ์ในเรื่องนี้ไม่ได้สนใจเลยว่ากลุ่มที่ผลักดันการขยายอิทธิพลของนาโตเป็นกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกมากกว่าจะเป็นสหรัฐฯ ฝ่ายสหรัฐฯ นั้นเสียงแตกตัดสินใจไม่ได้ในเรื่องนี้ แล้วฝ่ายซ้ายก็ไม่ได้สนใจเลยว่าการเป็นเข้าเป็นสมาชิกภาพนาโตของยูเครนนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน อีกทั้งการที่นาโตจะโจมตีรัสเซียนั้นยังถือเป็นเรื่องที่นึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะเกิดขึ้น

แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายซ้ายตะวันตกจะชอบใช้วาทกรรมแบบที่ว่าการเคลื่อนไหวของชาติตะวันตกหรือนาโต ทำให้รัสเซียไม่พอใจ และเน้นย้ำเรื่องการกระทำของชาติตะวันตกมากกว่าเวลาอธิบายถึงสาเหตุการรุกรานยูเครน การกระทำเช่นนี้ของฝ่ายซ้ายตะวันตกคือการลดทอนความรับผิดชอบของรัสเซียที่เป็นผู้ก่อสงครามลง กลายเป็นการยอมรับวาทกรรมที่ว่าการที่ชาติมหาอำนาจชาติใดชาติหนึ่ง (ในที่นี้คือรัสเซีย) ก่อการทำลายล้างเพื่อโต้ตอบด้วยความโกรธเคืองไม่พอใจนั้นถือเป็นเรื่องรับได้เป็นปกติ

อุสต์ยังได้วิจารณ์แม้กระทั่งนักคิดฝ่ายซ้ายที่มีชื่อเสียงในสหรัฐฯ อย่าง นอม ชอมสกี ถึงแม้ว่าสชอมสกีจะวิจารณ์รัสเซียอย่างจริงจังโดยบอกว่าสิ่งที่รัสเซียกระทำเป็น "อาชญากรรมสงครามครั้งใหญ่เทียบได้กับการที่สหรัฐฯ รุกรานอิรัก และการที่ฮิตเลอร์ร่วมมือกับสตาลินรุกรานโปแลนด์ในเดือน พ.ค. 2472" แต่จากนั้นก็หันกลับไปวิพากษ์นาโตอ้างว่าทุกอย่างนี้ "จะไม่เกิดขึ้น" ถ้าหากไม่มี ""การขยายอิทธิพลของนาโต" ซึ่งกลายเป็นการสร้างวาทกรรมทำให้ปูตินดูเป็นฝ่ายที่น่าสงสารและถูกบีบให้ต้องรุกรานยูเครนอย่างไม่มีทางเลือกเพื่อปกป้องประเทศตัวเอง

แถลงการณ์จาก "พรรคสังคมนิยมและการปลดปล่อย" ของสหรัฐฯ ก็มีความตรงไปตรงมามากกว่า แต่ก็ไม่ได้ต่างออกไปจากฝ่ายซ้ายอื่นๆ ในแง่วาทกรรมการสร้างภาพให้ชาติตะวันตกดูเป็นฝ่ายผู้ร้ายที่แท้จริง ลดทอนความเลวร้ายเรื่องการตัดสินใจสงครามของรัสเซีย ในแถลงการณ์ของพวกเขาระบุว่า "ในขณะที่พวกเราไม่สนับสนุนการรุกรานของรัสเซีย พวกเราก็ขอสงวนการประณามอย่างหนักแน่นที่สุดไว้ให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปฏิเสธความชอบธรรมต่อความกังวลในเรื่องความมั่นคงในภูมิภาค"

อุสต์มองว่าในช่วงแรกๆ ที่รัสเซียรุกรานยูเครน ฝ่ายซ้ายตะวันตกจำนวนมากมัวแต่พะวงกับการโบ้ยให้เป็นความผิดของศัตรูในบ้านตัวเองเพื่อที่จะไม่ได้กลายเป็นเสียงเดียวกับการประณามของกลุ่มกระแสหลัก

แต่สำหรับข้ออ้างเรื่อง "ความกังวลในเรื่องความมั่นคงของประเทศรัสเซีย" นั้น อุสต์วิจารณ์ว่ามันเป็นแนวคิดแบบเดียวกันกับประเทศมหาอำนาจทั้งหลายที่จะอ้างเรื่องความมั่นคง ทำให้เป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูสำหรับฝ่ายซ้ายที่มารู้สึกเป็นห่วงเรื่องความมั่นคงของประเทศมหาอำนาจอย่างรัสเซียแทนที่จะสนับสนุนกลุ่มคนที่เสียเปรียบให้มีอิสระและไม่ถูกรุกราน ทั้งนี้ยังไม่นับว่ารัสเซียเป็นมหาอำนาจฝ่ายขวานิยมกองทัพที่มีรายได้หลักๆ มาจากการทำเหมืองแร่ขุดเจาะทรัพยากรและขายน้ำมันจากฟอสซิลซึ่งเป็นพลังงานในแบบที่ทำลายสิ่งแวดล้อมโลก ฝ่ายซ้ายไม่เคยกระทำต่อกลุ่มคนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบโดยจักรวรรดินิยมตะวันตกแบบเดียวกันเลย

ฝ่ายซ้ายตะวันตกมีปัญหาแบบนี้มานานแล้ว อุสต์บอกว่าในช่วงยุคคริสตทศวรรษที่ 1970s เขาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของสหภาพโซเวียตแต่ก็ถูกมองอย่างกังขาจากฝ่ายซ้ายด้วยกัน และในเวลาต่อมาเมื่อเขาเขียนบทความหลายอย่างให้กับสื่อฝ่ายซ้ายทั้งในเรื่องการยืนหยัดร่วมกันของขบวนการสหภาพแรงงานในโปแลนด์ การต่อสู้ของสหภาพแรงงานโปแลนด์ต่อรัฐบาลที่มีโซเวียตหนุนหลัง โดยที่สหภาพแรงงานเหล่านี้มีวิธีการแบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและต่อต้านทุนนิยม เรียกร้องความเป็นอิสระของสหภาพแรงงาน แต่เขากลับถูกมองจากเพื่อนของเขาว่าเขาไม่ใช่ฝ่ายซ้ายอีกต่อไป เพียงเพราะเขามีจุดยืนเดียวกับคนที่ฝ่ายซ้ายสหรัฐฯ มองว่าเป็นศัตรูที่อยู่ในประเทศเดียวกัน

อย่างไรก็ตามอุสต์เสนอว่าการที่ฝ่ายซ้ายสหรัฐฯ มีความคิดที่ว่าการกดขี่ข่มเหงและระบอบจักรวรรดินิยม เกิดขึ้นได้แต่จากสหรัฐฯ เท่านั้น ถือเป็นแนวคิดที่ "เอาอเมริกันเป็นศูนย์กลาง" (Americocentric) ในตัวมันเอง และขัดกับหลักการแบบสากลนิยมของฝ่ายซ้าย (internationalism) รวมถึงกลายเป็นการยื่นใบผ่านให้กับจักรวรรดินิยมรูปแบบอื่นๆ เพียงเพราะประเทศเหล่านั้นอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสหรัฐฯ


ความเข้าใจผิดเรื่อง "นาโตแผ่ขยายอิทธิพล" และสาเหตุที่แท้จริงที่ปูตินทำสงครามคืออะไรกันแน่

ในประเด็นเรื่องข้อกล่าวหาที่ว่านาโตแผ่ขยายอิทธิพลนั้น อุสต์ก็ระบุว่าในขณะที่รัสเซียแสดงตัวต่อต้านอย่างจริงจังต่อการที่ยูเครนจะเป็นสมาชิกของนาโต ฝ่ายชาติตะวันตกก็เข้าใจเรื่องนี้ดีและพูดเสมอมาว่าพวกเขาไม่มีแผนการจะให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิก แต่ทว่านาโตไม่ได้ถอนคำพูดอย่างเป็นทางการในถ้อยแถลงของการประชุมซัมมิทที่บูคาเรสต์ปี 2551 ที่มีส่วนหนึ่งระบุว่าพวกเขา "ยินดีต้อนรับยูเครนและจอร์เจียในเรื่องความต้องการจะเป็นสมาชิกจากภูมิภาคยูโร-แอตแลนติกของนาโต"

แต่ในมุมมองของอุสต์แล้ว การที่รัสเซียรุกรานยูเครนโดยอ้างเรื่องการต่อต้านสมาชิกภาพนาโตนั้นถือเป็นเรื่องแปลก เพราะมันยิ่งจะทำให้ยูเครนมีความชอบธรรมมากขึ้นในการเป็นสมาชิกนาโตเพื่อป้องกันตัวเอง อีกทั้งยังมีวิธีการที่แบบอื่นๆ หลายอย่างที่รัสเซียสามารถจะทำได้ในการกดดันไม่ให้ยูเครนเข้าร่วมนาโต กระทั่งว่าหลังจากที่มีการรุกรานยูเครนไม่นาน ประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสดี ของยูเครนก็เสนอว่าเขายอมเปิดให้มีการหารือในแง่ให้ยูเครนวางตัวเป็นกลางไม่เข้าฝ่ายนาโต มีหลายวิธีที่ปูตินจะสามารถนำเสนอความไม่พอใจของรัสเซียได้โดยไม่จำเป็นต้องทำสงครามเต็มรูปแบบเช่นนี้


ความทะเยอทะยานของปูติน?

เรื่องนี้ทำให้อุสต์มองว่าสงครามในครั้งนี้มีอะไรอยู่ลึกมากกว่าแค่เรื่องนาโตแบบที่พวกซ้ายตะวันตกชอบอ้าง อุสต์ตั้งข้อสังเกตว่า ปูตินเริ่มแสดงความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับยูเครนมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว ในเดือน ก.ค. 2564 ปูตินถึงขั้นเขียนบทความความยาว 7,000 คำเพื่ออ้างว่ายูเครนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอย่างแยกออกจากกันไม่ได้และยูเครนไม่มีสิทธิที่จะปกครองตนเองเว้นแต่จะมีการประสานงานร่วมกันอย่างลึกซึ้งกับรัสเซีย ปูตินอ้างว่ารัสเซียและยูเครนเป็นดินแดนที่แยกออกจากกันไม่ได้มาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วและเพิ่งจะแยกออกจากกันหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย

อุสต์วิจารณ์แนวคิดนี้ของปูตินว่ามันเป็นความแปลกประหลาดที่จะทึกทักเอาว่าประเทศๆ หนึ่งมีลักษณะอาณาเขตแบบเดียวมาตลอดนับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งมา นอกจากนี้บทความของปูตินยังอ้างว่า "นโยบายสัญชาติของโซเวียตได้ระบุชนเชื้อสายสลาฟออกเป็น 3 แบบ แต่ในความเป็นจริงแล้วประเทศรัสเซียเป็นประเทศใหญ่ๆ ประเทศเดียวที่ประกอบด้วยตรีเอกภาพของประชาชนสามชนคือ ชาวรัสเซียใหญ่ (เช่น ชาวรัสเซีย) ชาวรัสเซียน้อย (เช่น ชาวยูเครน) และชาวเบโลรุสเซียน" ซึ่งอุสต์มองว่ามันได้สะท้อนแนวคิดอะไรบางอย่างออกมาจากปูติน

จากหลักฐานนี้ ทำให้อุสต์หันมาวิจารณ์ฝ่ายซ้ายตะวันตกว่าเน้นมองถึงเรื่องนาโตมากเกินไปจนละเลยว่าปูตินเองก็มีวาระของตัวเอง พวกซ้ายตะวันตกทำเหมือนว่าปูตินเป็นคนที่จะเป็นฝ่ายมีปฏิกิริยาโต้ตอบต่ออเมริกาได้เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง ทั้งๆ ที่ปูตินแสดงออกมาตลอดว่าเขาคิดกับยูเครนอย่างไรนอกเหนือจากเรื่องนาโต นั่นหมายความว่าต่อให้ในปีที่แล้วนาโตประกาศไม่ให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิก ปูตินก็จะยังคงมองว่าการให้ยูเครนเป็นประเทศอิสระแยกจากรัสเซียเป็น "ปัญหา" สำหรับเขาอยู่ดี

อุสต์ยังชี้ให้เห็นหลักฐานว่าสื่อรัฐบาลรัสเซียเคยนำเสนอบทความในทำนองชาตินิยมที่ระบุว่า "ชาติรัสเซียที่ยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งเดียว" รวมถึงมีการใช้คำในเชิงสนับสนุนการรวมชาติและเรียกยูเครนว่าเป็นชนชาติ "ชาวรัสเซียน้อย" และอ้างว่าการที่ยูเครนเป็นประเทศอิสระต่อไปนั้นถือเป็น "การลดทอนอัตลักษณ์ความเป็นรัสเซีย"

อุสต์ชี้ว่าการที่รัสเซียอ้างถึงเรื่องนาโต เพราะพวกเขารู้ดีว่าผู้คนจะเอามันไปโยงกับอำนาจของสหรัฐฯ และทำให้เป็นการลดทอนความรับผิดชอบของรัสเซียต่อการก่อสงคราม อุสต์บอกว่าถึงแม้ว่าเราจะต้องคอยระวังเรื่องอำนาจของสหรัฐฯ แต่ถ้าเราฟังปูตินเราจะรู้อย่างชัดเจนว่าปูตินมีความทะเยอทะยานในเชิงจักรวรรดินิยมที่ต้องการครอบงำยูเครน


รัสเซียปัจจุบันไม่ใช่ฝ่ายซ้าย

ในบทความของอุสต์ยังมองฝ่ายซ้ายตะวันตกในอีกมุมมองหนึ่งว่าเป็นไปได้ที่ซ้ายตะวันตกเหล่านี้จะมองว่าปูตินเป็น "ฝ่ายซ้าย" ด้วยกันแบบพวกเขา แต่ที่แน่ๆ ฝ่ายซ้ายในยุโรปตะวันออกจะไม่มองแบบนั้น

อุสต์ชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของความคิดแบบนี้ว่า จริงอยู่ที่ปูตินเคยทำงานให้กับสหภาพโซเวียตและแสดงความเสียใจที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย แต่เขาทำงานให้กับโซเวียตไม่ใช่ด้วยเหตุผลในเชิงอุดมการณ์ทางการเมืองสายก้าวหน้า แต่เขาทำไปเพื่อรับใช้รัสเซียในฐานะประเทศมหาอำนาจ ไม่เคยมีหลักฐานอะไรเลยที่แสดงให้เห็นว่าปูตินสนใจในอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย แนวคิดของปูตินดูใกล้ชิดกับพวกกองทัพขาวฝ่ายรอยัลลิสต์ของรัสเซียมากกว่าด้วยซ้ำ ในแง่ที่ว่าที่กองทัพขาวเริ่มยอมรับโซเวียตในคริสตทศวรรษที่ 1930s เมื่อพวกเขามองว่าโซเวียตในยุคนั้นเองก็พยายามจะคืนความรุ่งโรจน์ให้รัสเซียในอดีต

ในแง่ของการเป็นผู้ปกครองประเทศแล้วอุสต์มองว่า ปูตินมีต้นแบบของตัวเองเป็นซาร์ อเล็กซานเดอร์ ที่ 3 ผู้ที่ยกเลิกการปฏิรูปของยุคก่อนหน้านี้แล้วเพิ่มความเป็นอำนาจนิยมมากขึ้น และโมเดลแบบนี้เองก็เป็นอะไรแบบเดียวกับที่ฝ่ายขวาในยุโรปมักจะนำมาใช้ในการต่อต้านฝ่ายเสรีนิยมไม่ว่าจะเป็น มารีน เลอ แปน จากพรรคฝ่ายขวาจัดของฝรั่งเศส หรือ ทักเกอร์ คาร์ลสัน พิธีกรฝ่ายขวาอเมริกันที่มักจะตอบโต้ "พวกตาสว่าง" ที่เรียกร้องความเสมอภาค

อุสต์ระบุอีกว่า ผู้นำคนก่อนหน้านี้ของทั้งสหภาพโซเวียตและรัสเซียต่างก็ไม่เคยปฏิบัติต่อยูเครนเช่นที่ปูตินเคยทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น วลาดิเมียร์ เลนิน, มิคาอิล กอร์บาชอฟ หรือ บอริส เยลซิน ไม่มีใครที่จะทำสงครามเต็มรูปแบบกับยูเครนเพียงเพราะความกลัวว่ายูเครนจะกลายเป็นสมาชิกนาโต ในทางตรงกันข้ามสงครามนี้ส่งผลให้เกิดกระแสโลกต่อต้านรัสเซียอย่างหนักที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น

ดังนั้นแล้ว อุสต์สรุปว่าเรื่องนี้มาจากการที่ปูตินจะไม่ยอมให้ยูเครนปกครองตัวเองในฐานะประเทศที่เป็นอิสระจากรัสเซียมากกว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความเป็นสมาชิกภาพนาโต

"แทบจะไม่มีใครเลยในฝ่ายซ้ายที่สนับสนุนสงคราม แต่การบอกว่า 'การรุกรานของรัสเซียจงยุติลง' แล้วก็หันมากล่าวหาอเมริกาโดยทันที และกล่าวหาเพียงแค่อเมริกาเท่านั้น ว่าพวกเขากระตุ้นเร้าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ... ไม่เพียงแต่มันแสดงให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับรัสเซียเท่านั้น แต่ยังเป็นการทรยศอย่างน่าทึ่งต่อหลักการพื้นฐานด้านสากลนิยมด้วย ถ้าหากพวกเราต้องการสนับสนุนสิทธิในการกำหนดตัวเองให้กับประเทศที่อยู่ติดกับอเมริกา พวกเราก็ไม่ควรปฏิเสธที่จะทำแบบเดียวกันกับรัสเซีย ถ้าหากพวกเราไม่สามารถยอมรับว่ามีลัทธิจักรวรรดินิยมอยู่ในหลายที่แล้ว พวกเราก็ผิดบนฐานเรื่องเอาอเมริกันเป็นศูนย์กลางแบบเดียวที่เราโทษคนอื่น" อุสต์ระบุในบทความ

 

เรียบเรียงจาก

RUSSIA, UKRAINE, NATO, AND THE LEFT, FPIF, 31-03-2022

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

Bucharest Summit Declaration, NATO, 03-04-2008

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net