สำรวจการปรับเกณฑ์ ลดข้อห้าม เปิดกว้างรับผู้บริจาคเลือดหลากคุณสมบัติ โดยเฉพาะในกลุ่ม LGBTQ+ ในต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเลือดหมดคลังในช่วงโรคระบาด ขณะที่ไทยยังมีปัญหาการรับเลือดจากคนกลุ่มนี้ และกลุ่มมีประวัติการรักษาโรคจิตเภท หรือโรคจิตเวชบางโรค
เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2564 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ประกาศผ่านเฟซบุ๊ก ขอรับบริจาคเลือดด่วน เนื่องจากจำนวนผู้บริจาคเลือดลดลง 50% เพราะสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้หน่วยรับบริจาคเลือดเคลื่อนที่จำเป็นต้องยกเลิกกิจกรรมรับบริจาคเลือดตามสถานที่ต่างๆ เป็นเหตุให้เลือดในคลังของสภากาชาดไทยมีไม่เพียงพอ จนไม่สามารถจ่ายเลือดไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศได้
ข้อมูลสถิติการจัดหาโลหิตทั่วประเทศในปีงบประมาณ 2561 ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยระบุว่า พ.ศ.2561 สภากาชาดไทยได้รับบริจาคเลือดทั้งหมด 1,109,595 ยูนิต จากผู้บริจาคทั้งหมด 670,869 คน ในจำนวนนี้เป็นเพศชาย 44.7% เพศหญิง 55.3% และเมื่อเปรียบเทียบสถิติการบริจาคเลือดย้อนหลัง 5 ปีพบว่าคนไทยมีแนวโน้มยินดีบริจาคเลือดเพิ่มขึ้น แต่บ่อยครั้งที่ไทยต้องเผชิญภาวะเลือดหมดคลัง ไม่ว่าจะพยายามเปิดรับบริจาคเลือดเท่าไรก็ดูเหมือนว่าปริมาณเลือดที่ได้ยังคงไม่เพียงพอกับความต้องการ หลายคนที่ประสงค์จะบริจาคก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากติดเงื่อนไขบางประการ เช่น ยังไม่พ้นกำหนด 12 สัปดาห์จากการบริจาคครั้งล่าสุด หรือหยุดยาบางชนิดยังไม่ครบกำหนด ในขณะที่หลายคนไม่สามารถบริจาคเลือดได้ถาวรทั้งที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ เพราะติดเงื่อนไข ‘คุณสมบัติ’ บางประการที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติฯ หรือโรงพยาบาลในไทยไม่ยอมรับ เช่น กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+)
ภาพจากกิจกรรม#ไพร่พาเหรด เดินขบวนเพื่อประชาธิปไตย ความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียมในทุกมิติ จัดโดย กลุ่มเสรีเทยพลัส และผู้หญิงปลดแอก เมื่อวันที่ 7 พ.ย.63 ซึ่งในกิจกรรมดังกล่าวมีการเรียกร้องเรื่องการรับบริจาคเลือดของผู้มีความหลากหลายทางเพศด้วย
เกณฑ์การรับบริจาคเลือดกับกลุ่ม LGBTQ+
องค์กรรับบริจาคโลหิตในหลายประเทศไม่ได้ห้ามรับเลือดจากกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะประเทศในทวีปอเมริกาใต้ เช่น อาร์เจนตินา บราซิล โคลอมเบีย โบลิเวีย หรือแม้กระทั่งอิสราเอล ที่เพิ่งยกเลิกกฎหมายห้ามกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศบริจาคเลือดไปเมื่อ พ.ศ.2561 ส่วนหลายประเทศในยุโรป รวมถึงสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ อนุญาตให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศบริจาคเลือดได้ แต่ต้องงดมีเพศสัมพันธ์ก่อนบริจาคเลือดอย่างน้อย 3 เดือนไปจนถึง 1 ปี หรือนานกว่านั้น เช่น ไต้หวันที่กำหนดให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศต้องงดมีเพศสัมพันธ์ 5 ปีจึงจะบริจาคเลือดได้
เกณฑ์การคัดกรองผู้บริจาคเลือดโดยใช้เพศสภาพเป็นตัวกำหนดทำให้เกิดการถกเถียงในวงกว้าง ทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ ไปจนถึงการเลือกปฏิบัติ กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิเพื่อผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลก รวมทั้งไทย จึงออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแก้ไขกฎเกณฑ์เหล่านี้ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้บริจาคเลือด ลดปัญหาเลือดในคลังไม่เพียงพอ
วาทกรรม ‘เลือด LGBTQ+ ไม่บริสุทธิ์’
นิตยสารดิอีโคโนมิสต์รายงานว่านโยบายไม่รับเลือดจากกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1980 ซึ่งขณะนั้นเทคโนโลยีตรวจหาเชื้อไวรัสในเลือดยังไม่ก้าวหน้า ทำให้เกิดโรคเอดส์ระบาดครั้งใหญ่ เฉพาะในสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อ HIV จากการบริจาคหรือรับเลือดมากกว่า 20,000 คน ทำให้รัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกออกมาตรการเพื่อป้องกันการระบาดของโรคเอดส์ หนึ่งในนั้น คือ การห้ามกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศบริจาคเลือด ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีประกาศใช้เป็นมาตรการฉุกเฉิน แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายประเทศกลับบรรจุให้มาตรการนี้เป็นกฎถาวรของการบริจาคเลือด
แม้เป็นเรื่องจริงที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะกลุ่มชายที่ร่วมเพศกับชาย (MSM) มีความเสี่ยงสูงที่จะมีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ในเลือด แต่นี่ไม่ใช่ข้ออ้างทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาใช้ปฏิเสธการรับเลือดจากคนกลุ่มนี้ เนื่องจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน ทำให้สามารถตรวจหาเชื้อโรคปะปนในเลือดได้ง่ายและแม่นยำขึ้น เช่น สามารถตรวจหาเชื้อ HIV ได้แม้เพิ่งรับเชื้อมาไม่ถึง 1 เดือน องค์กรต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศจึงแย้งว่าการห้ามกลุ่มคนเหล่านี้บริจาคเลือดถือเป็นการเลือกปฏิบัติและต่อต้านกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน
โควิด-19 ผลักสหรัฐฯ เปลี่ยนเกณฑ์ใหม่ให้ LGBTQ+ บริจาคเลือดได้ง่ายขึ้น
เมื่อ พ.ศ.2558 องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) อนุญาตให้กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศสามารถบริจาคเลือดได้ แต่ต้องงดมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันก่อนบริจาคอย่างน้อย 12 เดือน จากเดิมที่ห้ามคนกลุ่มนี้บริจาคเลือดตลอดชีวิต ต่อมาในวันที่ 2 เม.ย. 2563 เอฟดีเอแก้ไขเกณฑ์รับบริจาคเลือดเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ภายในประเทศที่รุนแรง ทำให้โรงพยาบาลในสหรัฐจำเป็นต้องใช้เลือดจำนวนมากเพื่อรักษาผู้ป่วย โดยปรับแก้เงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่
- ปรับลดระยะเวลางดมีเพศสัมพันธ์ก่อนบริจาคเลือดของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ จาก 12 เดือน เหลือ 3 เดือน
- ปรับลดระยะเวลางดบริจาคเลือดของผู้ที่พำนักหรือเพิ่งกลับจากพื้นที่ระบาดของโรคมาลาเรีย จาก 12 เดือน เหลือ 3 เดือน
- อนุญาตให้ผู้ที่เคยอาศัยอยู่ในทวีปยุโรปช่วง พ.ศ.2523-2539 นานกว่า 6 เดือน สามารถบริจาคเลือดได้ จากเดิมที่ห้ามบริจาคเลือดถาวรเพราะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรควัวบ้า
ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐฯ (ซีดีซี) เผยว่าชาวอเมริกันกว่า 13.2 ล้านคนบริจาคเลือดเป็นประจำทุกปี และมีเลือดหมุนเวียนในระบบปีละ 17.2 ล้านยูนิต แต่ผลสำรวจระหว่าง พ.ศ.2554-2556 พบว่าจำนวนผู้บริจาคเลือดในสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การแก้ไขเกณฑ์รับบริจาคอาจช่วยเพิ่มจำนวนผู้บริจาคเลือดในสหรัฐฯ ได้หลายล้านคน
สถาบันกฎหมายวิลเลียมส์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส เผยผลสำรวจว่าชาวอเมริกันที่เป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ คิดเป็น 4.5% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศ หรือกว่า 13,500,000 คน ซึ่งการรับเลือดจากกลุ่มคนเหล่านี้จะช่วยเพิ่มเลือดในคลังได้อย่างน้อย 2-4%
สหราชอาณาจักรอนุญาตให้ LGBTQ+ บริจาคเลือดได้โดยไม่มีเงื่อนไข
วันที่ 14 ธ.ค. 2563 กระทรวงสาธารณสุขแห่งสหราชอาณาจักรประกาศแก้ไขกฎการบริจาคเลือด โดยอนุญาตให้ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันสามารถบริจาคเลือดได้ โดยไม่ต้องเว้นระยะ 3 เดือนหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเกณฑ์นี้ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศกลุ่มอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน กระทรวงสาธารณสุขแห่งสหราชอาณาจักรระบุว่าจะใช้เกณฑ์ประเมินความเสี่ยงของผู้บริจาคเลือดเป็นรายบุคคล โดยไม่นำเพศสภาพหรืออัตลักษณ์ทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง สกอตแลนด์ถือเป็นชาติแรกที่ประกาศใช้กฎใหม่นี้ ส่วนอังกฤษ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือเตรียมบังคับใช้กฎใหม่ในช่วงฤดูร้อนปีนี้
หลายประเทศในยุโรปเริ่มมีการเรียกร้องให้ทบทวนกฎหมายการรับบริจาคเลือด เพราะต้องการเลือดเร่งด่วนในช่วงโควิด-19 เช่น เยอรมนี แต่ข้อเสนอนี้ยังไม่ได้รับการรับรองจากรัฐสภากลางของเยอรมนี
มีประเทศใดบ้างที่รับบริจาคเลือดจากกลุ่ม LGBTQ+
ประเทศ | รับ | รับ (มีเงื่อนไข) * | ไม่รับถาวร |
แคนาดา |
| 3 เดือน |
|
โคลอมเบีย |
|
| |
จีน |
|
| |
ญี่ปุ่น |
| 6 เดือน |
|
เดนมาร์ก |
| 4 เดือน |
|
ไต้หวัน |
| 5 ปี |
|
ไทย |
|
| |
นิวซีแลนด์ |
| 3 เดือน |
|
ฝรั่งเศส |
| 4 เดือน |
|
ฟิลิปปินส์ |
|
| |
บราซิล |
|
| |
โบลิเวีย |
|
| |
มาเลเซีย |
|
| |
เม็กซิโก |
|
| |
รัสเซีย |
|
| |
เยอรมนี |
| 12 เดือน |
|
สเปน |
|
| |
สหรัฐอเมริกา |
| 3 เดือน |
|
สหราชอาณาจักร | * (บังคับใช้กลางปี 64) |
|
|
สิงคโปร์ |
|
| |
ออสเตรเลีย |
| 3 เดือน * (บังคับใช้ 31 ม.ค. 64) |
|
ออสเตรีย |
| 12 เดือน |
|
อาร์เจนตินา |
|
| |
อิตาลี |
|
| |
แอฟริกาใต้ |
|
| |
ฮังการี |
|
|
รับ (มีเงื่อนไข) * หมายถึง ต้องเว้นช่วงจากการมีเพศสัมพันธ์ตามระยะเวลาที่กำหนด
เว็บไซต์ LGBT-Captal.com ระบุว่าจำนวนประชากรของผู้มีความหลากหลายทางเพศในไทยมีกว่า 4,000,000 คน ซึ่งในช่วงปีที่แล้ว มีนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิผู้มีความหลากหลายทางเพศหลายกลุ่มออกมาเรียกร้องให้สภากาชาดไทยทบทวนเกณฑ์การคัดเลือกผู้บริจาคเลือด โดยขอให้พิจารณาประเมินความเสี่ยงเป็นรายบุคคล ไม่ยึดโยงกับเพศสภาพหรืออัตลักษณ์ทางเพศ
นอกจากไม่รับบริจาคเลือดถาวรจากกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศแล้ว หลักเกณฑ์ของสภากาชาดไทยยังไม่รับบริจาคเลือดถาวรจากบุคคลที่มีประวัติการรักษาโรคจิตเภท หรือโรคจิตเวชบางโรค แม้ข้อมูลจากสารงานบริหารโลหิต ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จะระบุว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หรือโรคไบโพลาร์ สามารถบริจาคเลือดได้หลังหยุดการรักษาและรับประทานยาแล้ว 3 เดือน แต่เมื่อตรวจเช็คบัญชียาตามคู่มือคัดเลือกผู้บริจาคโลหิตของสภากาชาดไทยพบว่ายารักษาอาการทางจิตเวชหลายตัวถูกขึ้นบัญชี ‘ไม่รับเลือดถาวร’ เช่น ยา Sertraline หรือ Prazepam ซึ่งเป็นยารักษาโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลที่จิตแพทย์ทั่วโลกใช้กันทั่วไป ในขณะที่สภากาชาดหรือหน่วยงานรับบริจาคเลือดในประเทศอื่น ไม่ได้ขึ้นบัญชียารักษาโรคทางจิตเวชเป็นยาต้องห้ามในการบริจาคเลือด และไม่กำหนดให้ผู้ป่วยโรคทางจิตเวชที่กำลังรักษาตัวหรือรักษาหายแล้วเป็นผู้ห้ามบริจาคเลือดถาวร
ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตระบุว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากว่า 2,000,000 คน เมื่อนับรวมกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศแล้วเท่ากับว่าคนไทยกว่า 6,000,000 คนถูกห้ามบริจาคเลือดถาวร เนื่องจากเกณฑ์การคัดเลือกที่เข้มงวด และไม่ผ่อนปรนแม้ในช่วงวิกฤติที่ขาดแคลนเลือดในคลังจำนวนมาก
ที่มา :
- เฟซบุ๊กสภากาชาดไทย https://www.facebook.com/nbctrc/posts/3393505467427189
- พิษโควิด คนบริจาคเลือดน้อย ขาดแคลนเลือดทุกกรุ๊ปขั้นวิกฤติ https://www.thairath.co.th/scoop/2010356
- ป่วยซึมเศร้าเหยื่อสังคม ถูกปรักปรําคดีฆ่าตัวตาย https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=30118
- เปิดขุมทรัพย์ LGBT ในไทยสวรรค์แห่งความหลากหลายทางเพศ https://www.businesstoday.co/bt-news/30/01/2020/22814/
- สก็อตแลนด์ยกเลิกกฎกีดกันชาวเกย์และไบฯ บริจาคเลือด เปลี่ยนเป็นดูความเสี่ยงรายบุคคล https://prachatai.com/journal/2020/12/90834
- สารงานบริการโลหิต ศูนย์บริหารโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 สืบค้นจาก: https://blooddonationthai.com/wp-content/uploads/2020/01/Edit1-NBC1-Jan-Feb20.pdf
- LGBT Demographic Data Interactive. (January 2019). Los Angeles, CA: The Williams Institute, UCLA School of Law. สืบค้นจาก: https://williamsinstitute.law.ucla.edu/visualization/lgbt-stats/?topic=LGBT#about-the-data
- German parliament debates relaxing blood donation rules for LGBT+ men https://www.dw.com/en/germany-blood-donation-lgbt/a-53583198
- Why some countries still ban gay men from giving blood, America dropped its ban in 2015 https://www.economist.com/the-economist-explains/2018/04/16/why-some-countries-still-ban-gay-men-from-giving-blood
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)