Skip to main content
sharethis

สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์กรพันธมิตร ออกแถลงการณ์ขอให้ทบทวนเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) เอื้อเอกชนกลุ่มทุนผูกขาด และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ต้องรักษาประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ ประชาชน


แฟ้มภาพสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย

เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2562 ที่ผ่านมา สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.), สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.), คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.), คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35, คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.), คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.), ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อสังคมนิยมประชาธิปไตย (YPD), สมาพันธ์คนงานรถไฟ (สพ.รฟ.), ประชาคมคัดค้านการเช่าที่ดินมักกะสัน, ศูนย์ศึกษาพลเมืองภิวัฒน์, สถาบันสังคมประชาธิปไตย และเครือข่ายเพื่อนศิลปิน ออกแถลงการณ์ 'ขอให้ทบทวนเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) เอื้อเอกชนกลุ่มทุนผูกขาด และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ต้องรักษาประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ ประชาชน' ระบุว่าสืบเนื่องจากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้มีประกาศ คสช.หลายฉบับเพื่อเร่งรัดให้มีการจัดตั้ง 'ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก' หรือ อีอีซี และต่อมาได้มีการออก 'พระราชบัญญัติเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561' เพื่อสนับสนุนโครงการนี้จึงได้กำหนดให้มีการจัดสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ สนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โดยมีระยะทาง ระยะทาง 220 กม.มูลค่าโครงการ 224,544.36 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาการเดินทางประมาณ 1.40 ชม. ราคาค่าโดยสาร 476 บาท ผู้รับผิดชอบโครงการคือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยโครงการดังกล่าวได้มีการเริ่มดำเนินการเปิดขายเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพื่อเข้าประมูลโครงการในช่วงกลางเดือน มิ.ย. 2561 ประมูลกันเมื่อปลายปี 2561 เบื้องต้นมีผู้ซื้อซองประมูลราคาสนใจซื้อเอกสารการคัดเลือกจำนวน 31 ราย และต่อมามีผู้ยื่นซองข้อเสนอราคาประมูลโครงการเพียง 2 ราย คือ กิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และ กิจการร่วมค้า บีเอสอาร์ (BSR Joint Venture) ซึ่งปรากฏตอนหลังว่าทั้ง 31 รายที่สนใจซื้อเอกสารการคัดเลือกได้ไปมีรายชื่อในสองกลุ่มที่ยื่นซองข้อเสนอราคาประมูล ซึ่งก่อให้เกิดคำถามต่อสาธารณะว่าเป็นการ 'ฮั้ว' กันหรือไม่

ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2561 ผู้ที่ชนะการประมูลโครงการ คือ กิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด โดยเป็นผู้เสนอขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลต่ำสุดในราคา 117,227 ล้านบาท ต่ำกว่ากลุ่มบีเอสอาร์ ที่เสนอขอรับอุดหนุน 169,934 ล้านบาท ถึง 52,707 ล้านบาท สิทธิประโยชน์ที่เอกชนจะได้รับจากการเข้าดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ 1.บริหารรูปแบบโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 2.ได้สัมปทานบริหารแอร์พอร์ตลิงก์ที่มีฐานคนใช้กว่า 8 หมื่นคนต่อวัน 3.ได้สัมปทานในการครอบครองพื้นที่มักกะสัน 100 ไร่ และพื้นที่รอบสถานีศรีราชา 25 ไร่เพื่อพัฒนาเชิงพาณิชย์ 4.รับมอบพื้นที่มักกะสันอีก 50 ไร่ที่อยู่ติดกับโรงซ่อมบำรุงรถไฟและพื้นที่เวนคืนอื่นๆ ให้กับเอกชนภายใน 5 ปี และ 5.โอกาสในการเดินรถต่อเฟส 2 ช่วงอู่ตะเภา-ตราด

จากวันที่ชนะการประมูลจนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2562 ได้มีการนัดเจรจาอีกครั้งหนึ่ง แต่ทางกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์จำกัด ได้แจ้งขอเลื่อนการเจรจาไปเป็นวันที่ 13 มี.ค. 2562 ด้วยเหตุที่กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด ได้ยื่นข้อเสนอซอง 4 (ข้อเสนออื่นๆ) 108 ข้อ ถูกปัดตก 12 ข้อ เช่น ลดสัดส่วนหุ่น ซีพี จาก 70% เหลือ 5%, ให้ ธปท.ขยายเพดานเงินกู้ ซีพี, รัฐค้ำประกัน ร.ฟ.ท. หากมีปัญหารัฐหาเงินกู้, ขยายสัมปทานจาก 50 ปี เป็น 99 ปีดอกเบี้ยต่ำ 4%, ห้าม ร.ฟ.ท.เดินรถแข่งกับเอกชน, รัฐจ่ายเงินอุดหนุนตั้งแต่ปีที่ 1 จากเดิม อุดหนุนปีที่ 6, รัฐชดเชยหากอู่ตะเภาล่าช้า, จ่ายค่าเช่าที่ดินมักกะสัน ศรีราชา 5.2 หมื่นล้านเมื่อมีผลตอบแทน, ผ่อนชำระแอร์พอร์ตลิงค์ 11 ปี ดอกเบี้ย 3% จากต้องจ่ายก่อนรับสิทธิเดินรถ, รัฐการันตีผลตอบแทน 6.75% และเปลี่ยนแบบจากยกระดับเป็นทางราบ

สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) นอกเหนือจากการให้ความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพองค์กรคือการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แล้วเหนืออื่นใดซึ่งเป็นสิ่งที่กระทำมาโดยตลอดคือปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพยายามที่จะไม่ไปขัดขวางใดๆนอกจากการให้ความเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลเป็นระยะๆ ร่วมกับเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนที่ร่วมกันติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเช่นกันเพราะเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ มีเงินลงทุนที่สูงซึ่งจะเกี่ยวข้องกับฐานะการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

จนถึงปัจจุบันซึ่งความเป็นจริงผู้ที่ชนะการประมูลย่อมต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขเพราะย่อมรู้อยู่แล้วการเสนอราคาในการประมูลจนชนะคู่ประมูลว่าจะทำได้หรือไม่ได้ “เว้นไว้แต่ว่าจะไม่ทำรถไฟความเร็วสูงแต่หวังประโยชน์ด้านอื่นมากกว่า การต่อรองในเรื่องรายละเอียดที่ใช้เวลาในการเจรจายืดเยื้อมานาน” แม้ว่า ทีโออาร์จะให้สามารถเจรจาได้แต่ต้องเจรจาในรายละเอียดปลีกย่อย “ไม่ใช่เจรจาในสาระสำคัญที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์” ซึ่งจากการดูข้อเสนอเป็นการเจรจาที่ทำลายหลักการสำคัญอันจะทำให้ประเทศชาติ ประชาชนเสียประโยชน์ จึงขอให้ผู้มีหน้าที่ในการเจรจาระมัดระวังเพราะอาจนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีด้วยเหตุไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้รัฐเสียหายได้

จากเหตุปัจจัยต่างๆ ดังที่กล่าวมาทาง สร.รฟท.จึงมีความเห็นและข้อเสนอดังนี้

1.ข้อเสนอของผู้ชนะการประมูลเป็นข้อเสนอที่ทำลายหลักการและสาระสำคัญของโครงการ การรถไฟฯ ไม่ควรรับข้อเสนอที่สูงจากผู้ชนะการประมูลเพราะจะทำให้การรถไฟฯ และรัฐเสียหาย

2.ขอให้รัฐทบทวนโครงการโดยให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจตั้งแต่ต้นเพราะที่สุดแล้วผลกระทบทั้งด้านบวกและลบย่อมเป็นภาระผูกพันกับประเทศชาติในอนาคตและโครงการดังกล่าวซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่แต่ยังไม่ผ่านการจัดทำเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA)

3.เห็นสมควรให้รัฐดำเนินโครงการเองภายใต้การบริหารจัดการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัทรถไฟฟ้า รฟท.จำกัด (แอร์พอร์ตเรลลิงค์) โดยงบประมาณมาจากการพัฒนาที่ดินของการรถไฟฯ แล้วนำรายได้มาลงทุนในโครงการดังกล่าวซึ่งจะไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินและการก่อหนี้สาธารณะซึ่งปัจจุบันมีจำนวนที่สูงมากแล้ว

4.โครงการนี้เป็นโครงการเพื่อสนับสนุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยปัจจุบันมีปัญหาอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งล้วนแต่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ เป็นการทำลายวิถีชีวิต ระบบเกษตร ระบบนิเวศน์ของพื้นที่โครงการ ประกอบกับ พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 มีหลายมาตราที่จะส่งผลเสียหายต่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน จึงเห็นควรให้ชะลอและทบทวนโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกทั้งระบบ โดยการมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็น และร่วมตัดสินใจของประชาชนในทุกขั้นตอน และเสนอแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ประชาชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

ข้อเสนอทั้งหมดนี้ มิได้มุ่งหวังเพื่อขัดขวางการพัฒนาประเทศ เพียงแต่มีเจตนาที่ดีต้องการให้มีความรอบคอบ มีความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพราะประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีความเข้มแข็งและยั่งยืนได้ ต้องเริ่มมาจากการมีส่วนร่วมในการเสนอรับข้อคิดเห็นและร่วมตัดสินใจในประเทศไทย รัฐธรรมนูญและ กฎหมายหลายฉบับ นโยบายของรัฐบาลที่ย้ำพูดย้ำประกาศถึงเรื่องธรรมาภิบาล อันจะนำประเทศไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” โดย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งหวังว่าข้อคิดเห็นข้อเสนอข้างต้นจะได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ดังนั้นขอให้พี่น้องประชาชน เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน คนรถไฟ ที่รักความเป็นธรรมต้องการเห็นบ้านเมืองพัฒนาไปบนพื้นฐานของความร่วมมือ การมีส่วนร่วม มีความรู้ มีภูมิคุ้มกัน มีเหตุมีผล มีความยั่งยืน มีความสุขตามแนว “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”ของ“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” ในหลวงรัชกาลที่ 9 จะต้องร่วมมือสามัคคีกันเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประเทศชาติให้ถาวรสืบไป ด้วยพลังของพวกเรา ประชาชน “ไม่ขัดขวางการพัฒนา แต่การพัฒนาต้องไม่ฆ่าคน และเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชนอย่างแท้จริง”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net