30 กันยายน 2561 คือ วันสิ้นสุด “ข้อตกลงสภาพการจ้าง” ระหว่างบริษัทมิตซูบิชิ อิเล็คทริค
คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) กับสหภาพแรงงานมิตซูบิชิ อิเล็คทริค ประเทศไทย ที่เป็นผลมาจากเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2561 ทั้งสองฝ่ายต่างได้ลงนามใน “บันทึกข้อตกลงสภาพการจ้าง” ที่เจรจาไกล่เกลี่ยสำเร็จที่โรงแรมชลอินเตอร์ จ.ชลบุรี
โดยบันทึกฉบับนี้เป็นผลมาจากการยื่นข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานฯต่อบริษัทเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2560 และบริษัทก็ยื่นข้อเรียกร้องสวนกลับต่อสหภาพแรงงานในวันที่ 25 กันยายน 2560 ทั้งนี้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยเรื่อยมาตั้งแต่เดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 แต่ไม่มีข้อยุติใดๆ
ในที่สุดนำมาสู่การที่บริษัทฯได้ใช้สิทธิ “ปิดงาน งดจ้าง งดทำงาน งดจ่ายค่าจ้างและเงินอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน” ต่อสมาชิกสหภาพแรงงานมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ประเทศไทยกว่า 1,800 คน ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามข้อกฎหมายที่กำหนดไว้ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 และเป็นข่าวโด่งดังในสื่อมวลชนแทบทุกสำนักในช่วงปลายปี 2560
คนงานที่นี่ค่าเฉลี่ยรายได้ประมาณเดือนละ 13,000-20,000 บาท (ไม่รวมค่าทำงานล่วงเวลา-OT) ที่จะหายไปตามระยะเวลาการถูกปิดงานดังกล่าวแน่นอนตามมาตรา 12 วรรคท้าย พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ระบุไว้ว่า “กรณีที่ระยะเวลาที่กำหนดตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างสิ้นสุดลง ถ้ามิได้มีการเจรจาตกลงกันใหม่ ให้ถือว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นมีผลบังคับใช้ต่อไปอีกคราวละหนึ่งปี”
แต่นั้นเองเมื่อสหภาพแรงงานไม่สามารถยื่นข้อเรียกร้องใหม่ได้ด้วยเงื่อนไขบางประการ ตามกฎหมายจักต้องใช้ข้อตกลงเดิมต่อไป แต่ก็พบว่าในช่วงกลางเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมา ทางบริษัทกลับได้มีการทำข้อตกลงสภาพการจ้างกับพนักงานเป็นรายบุคคลแทน เพื่อเลี่ยงมาตรา 12 วรรคท้าย และสามารถกำหนด “ข้อตกลงสภาพการจ้างใหม่ที่บริษัทเป็นผู้ออกแบบเงื่อนไขโดยตรง” โดยสหภาพแรงงานมิได้มีส่วนใดๆในการเจรจาต่อรองทั้งสิ้น
ทราบมาว่าในข้อตกลงของพนักงานบางคน พบว่า ข้อหนึ่งได้เขียนไว้ในท่วงทำนองที่สามารถตีความได้ว่า "ข้าพเจ้ามิได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานใดๆในบริษัท และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องอื่นใด หากพิสูจน์ได้ภายหลังว่า มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุน ยินดีให้บริษัทหักเงินเดือน รายได้ สวัสดิการต่างๆ เพื่อคืนสิทธิที่ได้รับตามหนังสือเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างนี้โดยทันที"
นี้ย่อมเป็นสิทธิและความตกลงใจของพนักงานแต่ละคนที่เซ็นต์ยินยอม มิใช่การบังคับ ข่มขู่ ขืนใจแต่อย่างใด
ท่ามกลางสถานการณ์ภายในรั้วบริษัทที่ดำเนินไป สมาชิกสหภาพแรงงานกว่า 48 คน จนบัดนี้ยังอยู่นอกโรงงานมาใกล้ครบ 1 ปี ในจำนวนนี้เป็นกรรมการสหภาพแรงงานแทบทั้งหมด โดยบริษัทยังคงจ่ายค่าจ้างให้ตามที่เคยได้รับ ขณะเดียวกันก็มีสมาชิกสหภาพแรงงาน 2 คน ได้รับหมายศาลเลิกจ้างเนื่องจากมีสถานะเป็นกรรมการลูกจ้าง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ที่กำหนดให้ต้องขออนุญาตศาลแรงงานเท่านั้น อีก 24 คน เป็นจดหมายแจ้งเลิกจ้างด้วยข้อหาที่แตกต่างกันออกไป
เพราะด้วยข้อจำกัดจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 หมิ่นประมาท ดิฉันคงทำได้แค่เพียงบันทึกประวัติศาสตร์เรื่องราวชาวมิตซูแอร์ เสียงเพรียกจากดอนหัวฬ่อ กันยายน 2560 ถึงกันยายน 2561 ได้เพียงเท่านั้น ที่เหลือคงคือความทรงจำและรอยทางกาลเวลาที่มิอาจหวนกลับก่อนไปถึงเรื่องราวแต่ละช่วงเวลา
หลายคนอาจสงสัยว่า “ข้อตกลงสภาพการจ้าง (Agreement Relating to Conditions of Employment) คืออะไร ?”
นี้อาจต้องย้อนไปในกฎหมายแรงงานฉบับแรกของไทย คือ มาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 เรียกว่า “สัญญาการร่วมเจรจาต่อรอง” (Collective Bargaining Agreement) คือ ข้อตกลงระหว่างฝ่ายองค์การลูกจ้าง คือ สหภาพแรงงาน สหพันธ์แรงงาน หรือสภาองค์การลูกจ้าง ที่เข้าร่วมเจรจาต่อรองกับนายจ้างหรือองค์การฝ่ายนายจ้าง คือ สมาคมนายจ้าง สหพันธ์แรงงาน หรือสภาองค์การนายจ้างเพื่อทำข้อตกลงหรือสัญญาการร่วมเจรจาต่อรอง โดยกลุ่มลูกจ้างไม่มีสิทธิดังกล่าวในการทำข้อตกลงโดยตรง
ต่อมาในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการแรงงานสัมพันธ์ ลงวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2515 และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ไม่ได้ใช้ถ้อยคำเหมือนในพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 แต่เปลี่ยนไปใช้คำว่า “ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง” และกำหนดความหมายของข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไว้ในมาตรา 5 ซึ่งหมายถึง “ข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง หรือระหว่างนายจ้างหรือสมาคมนายจ้างกับสหภาพแรงงานเกี่ยวกับสภาพการจ้าง”
กล่าวได้ว่า “ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง” จึงต้องเป็นเรื่องที่ตกลงกัน โดยเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งได้แก่ เงื่อนไขการจ้างหรือการทำงาน กำหนดวันเวลาทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการ การเลิกจ้าง และประโยชน์อื่นของนายจ้างหรือลูกจ้างอันเกี่ยวกับการทำงานหรือการจ้าง เช่น วันเวลาทำงาน วันหยุดวันลา ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด การจัดสวัสดิการรถรับส่งพนักงาน เงื่อนไขการเลิกจ้าง เงินรางวัลพิเศษหรือเงินโบนัส เป็นต้น
หากนายจ้างและลูกจ้างตกลงกันในเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับสภาพการจ้าง ข้อตกลงนั้นจะไม่ใช่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแต่อย่างใด เช่น นายจ้างอนุญาตให้สหภาพแรงงานมีที่ทำการอยู่ภายในบริเวณบริษัท ถือเป็นเรื่องประโยชน์ของสหภาพแรงงานโดยเฉพาะไม่เกี่ยวกับสภาพการจ้าง บริษัทสามารถยกเลิกได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4503/2545) ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 พบว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องจากองค์กรแรงงานหรือองค์กรนายจ้าง
- ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่ได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
พบว่า สิ่งที่บริษัทมิตซูบิชิ อิเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) ดำเนินการอยู่เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน 2561 นั้น จึงเป็นไปตามข้อ (2) เรียกว่า “ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการตกลงกันโดยตรง” เป็นข้อตกลงที่เกิดจากนายจ้างและลูกจ้างตกลงกันเองโดยที่ไม่ได้มีการแจ้งข้อเรียกร้อง
แน่นอนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไม่ว่าจะเกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องหรือไม่ได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง มีผลเหมือนกัน คือ เป็นข้อตกลงที่นายจ้างและลูกจ้างต้องผูกพันปฏิบัติตาม ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะ
ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยลำพังไม่ได้
อย่างไรก็ตามผลทางกฎหมายก็แตกต่างกันหลายประการจากการที่สหภาพแรงงานหรือลูกจ้างได้ร่วมกันลงรายมือชื่อตามที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นผู้ยื่นข้อเรียกร้อง ไม่ว่าจะเป็น
- ระยะเวลาการใช้บังคับ
- ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่ได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง นายจ้างกับลูกจ้างจะ
ตกลงกันให้มีผลบังคับนานเท่าใดก็ได้ ถือเป็นเรื่องความตกลงทั่วไป - ส่วนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 กำหนดห้ามไม่ให้ตกลงกันเกินกว่า 3 ปี
- การจดทะเบียนและการปิดประกาศ
- กรณีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่ได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง เพียงแต่นายจ้างลูกจ้างตกลงกันก็มีผลบังคับได้ โดยไม่จำเป็นต้องนำข้อตกลงไปจดทะเบียนหรือนำไปปิดประกาศ ณ ภายในบริษัทแต่อย่างใด
- ส่วนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง กฎหมายบังคับว่า เมื่อ
ตกลงกันได้แล้วนายจ้างมีหน้าที่นำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไปปิดประกาศภายใน 3 วันนับแต่ตกลงกันได้ โดยจะต้องปิดประกาศไว้อย่างน้อย 30 วัน และจะต้องนำไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานภายใน 15 วันอีกด้วย
- สิทธิในการใช้มาตรการทางแรงงานสัมพันธ์
- ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่ได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องเป็นเรื่องความตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้างด้วยกันเอง หรืออาจเกิดจากนายจ้างฝ่ายกำหนดขึ้นฝ่ายเดียว ข้อตกลงประเภทนี้ไม่มีผลก่อให้เกิดสิทธิในการใช้มาตรการทางแรงงานสัมพันธ์ด้วยการนัดหยุดงานหรือปิดงาน
- แต่ถ้าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง เป็นการยื่นข้อเรียกร้องตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายแรงงานสัมพันธ์กำหนดไว้ หากนายจ้างลูกจ้างตกลงกันไม่ได้ จนเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ นายจ้างลูกจ้างย่อมมีสิทธิใช้มาตรการทางแรงงานสัมพันธ์ ด้วยการนัดหยุดงานหรือปิดงานได้
- การคุ้มครองลูกจ้างที่เกี่ยวกับข้อเรียกร้อง มาตรา 123 แห่ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518
- ให้ความคุ้มครองลูกจ้าง โดยบัญญัติห้ามไม่ให้นายจ้างเลิกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับอยู่ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามมาตรานี้ หมายถึงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องเท่านั้น
- ถ้าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่ได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง ไม่บังคับตามมาตรา 123 ที่ไม่ได้ห้ามลูกจ้างเลิกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง
- ผลการฝ่าฝืนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
- กรณีที่มีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง ผู้ฝ่าฝืนอาจได้รับโทษอาญาตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 131
- แต่ถ้าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่ได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง ผู้ฝ่าฝืนไม่ต้องรับโทษทางอาญา คงแต่รับผิดในทางแพ่งในเรื่องผิดสัญญาเท่านั้น
- ข้อตกลงที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องเป็นคุณกับลูกจ้าง
- ข้อตกลงใดที่เป็นข้อตกลงที่ไม่เกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง ข้อตกลงดังกล่าวนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างก็ตาม ก็ถือว่าไม่ขัดกับมาตรา 20 ใน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518
- สำหรับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดขึ้นจากการแจ้งข้อเรียกร้อง ต้องอยู่ในบังคับของมาตรา 19 และมาตรา 20 ดังนั้นห้ามไม่ให้นายจ้างทำสัญญาจ้างกับลูกจ้างเป็นรายคน โดยขัดแย้งกับข้อตกลงที่เกี่ยวกับสภาพการจ้าง โดยเฉพาะกับลูกจ้างที่ถูกผูกพันด้วยผลของมาตรา 19 เว้นแต่สัญญาจ้างนั้นจะเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่าเท่านั้น
เหล่านี้คือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับพนักงานบริษัทมิตซูบิชิ อิเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป โดยคำว่า “สหภาพแรงงาน” ถูกทำให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
8 มกราคม 2561
- ภายหลังวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ วันนี้เป็นวันแรกที่มีการเปิดงานของบริษัท สมาชิกสหภาพแรงงานที่ถูกปิดงานกว่า 1,600 คน ได้มารวมตัวกันที่วัดมาบสามเกลียว หมู่ 7 ต.ดอนหัวฬ่อ อ.เมือง จ.ชลบุรี ใกล้บริษัทฯ กลางนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร (วัดที่เคยเป็นข่าวประกาศขาย และเหลือเจ้าอาวาสรูปเดียว ไม่มีใครมาทำบุญ อีกทั้งมีรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ วิ่งผ่านตลอดเวลา)
- ทั้งนี้ในช่วงปีใหม่ 2561 ทางกรรมการสหภาพแรงงานได้มีการประชุมหารืออย่างต่อเนื่อง และมากางเต็นท์เตรียมสถานที่ชุมนุมตั้งแต่วันเสาร์ที่ 6 มกราคม 61
- แหล่งข่าวจากพื้นที่ให้ข้อมูลมาว่า “บริษัทได้ส่งพนักงานเหมาค่าแรงและนักศึกษากว่า 2,500 คน กลับต้นสังกัด เพราะไม่สามารถทำการผลิตได้ ทั้งโรงงานเหลือไลน์การผลิตแค่ไลน์เดียว จากทั้งหมด 29 ไลน์”
- พนักงานประนอมที่ถูกส่งตรงมาจากกระทรวงแรงงาน นำโดยนายสมภพ มาลีแก้ว ได้มีการเจรจากับฝ่ายนายจ้างในบริษัท เพื่อหาทางยุติให้ได้โดยไว
- การเจรจาในภาคบ่าย ตัวแทนสหภาพแรงงานเข้าเจรจารวม 14 คน 2 ชุด ชุดหนึ่งเจรจาข้อเรียกร้องตนเอง อีกชุดเจรจาข้อเรียกร้องบริษัท โดยมีสมาชิกร่วมเดินไปส่งผู้แทนทั้ง 14 คน ถึงหน้าบริษัทนับพันคน
- ระหว่างเจรจา ในเบื้องต้นกระทรวงแรงงานได้เสนอให้นายจ้างตั้งผู้ชี้ขาดพิพาทแรงงาน แต่ฝ่ายนายจ้างยังไม่เห็นด้วย และแจ้งความประสงค์ชัดเจนเรื่องการปรับโครงสร้างค่าจ้างตามนโยบายบริษัท
- ผลการเจรจายังไม่ได้ข้อยุติ
- นายจ้างเสนอให้สมาชิกสหภาพแรงงานสละข้อเรียกร้องและให้รับข้อเสนอทางบริษัทแทน
9 มกราคม 2561
- มีสมาชิกสหภาพแรงงานมาสมทบเพิ่มเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,730 คน และยังไม่มีใครรับข้อเสนอบริษัท
- การเจรจาเริ่มต้นเวลา 13.30 น. ที่ในห้องประชุมบริษัท
- ระหว่างเจรจา พบว่า บริษัทฯได้ขยายเวลารับโบนัส 7.2 เดือน และให้สละข้อเรียกร้องสหภาพแรงงาน เพื่อแลกกับการกลับเข้าทำงานภายเวลา 15.00 น. โดยส่งข้อมูลถึงพนักงานทุกคน แต่ไม่มีใครตัดสินใจไป
- กระบวนการผลิตยังดำเนินการไม่ได้ ขณะเดียวกันบริษัทออกประกาศรับสมัครพนักงานประจำจำนวนมาก ในตำแหน่ง supervisor , foreman , group leader
- นัดหมายไกล่เกลี่ยครั้งต่อไปวันที่ 15 มกราคม 2561
10 มกราคม 2561
- ท่ามกลางฝนโปรยสายแต่เช้าตรู่ แต่สมาชิกสหภาพแรงงาน กว่า 1,600 คน ยังคงเดินทางมายังสถานที่ชุมนุม ณ วัดมาบสามเกลียว แม้ว่าจะถูกนายจ้างปิดงานมาแล้ว 13 วันเต็ม โดยปราศจากค่าจ้างในการดำรงชีวิต
- ป้ายขนาดใหญ่หน้าบริษัทมิตซูบิชิ อิเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ติดประกาศรับสมัครพนักงานประจำจำนวนมาก ในตำแหน่ง supervisor , foreman , group leader
- กระบวนการผลิตในบริษัทยังคงไม่สามารถดำเนินการได้ แหล่งข่าวจากพื้นที่ให้ข้อมูลมาว่า “บริษัทไม่สามารถเปิดเครื่องจักรทำงานได้ เนื่องจากต้องมี password ประจำตัวพนักงานที่คุมเครื่องเป็นคนเปิด ซึ่งก็คือสมาชิกสหภาพแรงงานที่ชุมนุมนั้นเอง มีการมาขอ password จากสมาชิกเหล่านั้น ทั้งๆที่มีข้อความติดอยู่ที่เครื่องว่าห้ามเปิดเผย password แก่ผู้ใดก็ตาม”
12 มกราคม 2561
- สมาชิกสหภาพแรงงานกว่า 1,735 คน (จากทั้งหมด 1,802 คน) ยังคงรวมตัวกันอยู่ที่วัดมาบสามเกลียว ในนิคมอมตะนคร ภายหลังที่บริษัทมิตซูบิชิ อิเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) ปิดงานสมาชิกสหภาพแรงงานมา 16 วันแล้ว 16 วัน ที่คนงานไม่ได้ทำงาน 16 แห่งการไร้ค่าจ้าง
- สหภาพแรงงานย้ำกับสมาชิกว่า ปัญหาการถูกปิดงานที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องโบนัสหรือข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้แต่อย่างใด เพราะบริษัทพร้อมจ่ายเงินโบนัส 7.2 เดือน + 20,000 บาท โดยทันที แต่เป็นผลมาจากการที่สหภาพแรงงานไม่สามารถยอมรับข้อเรียกร้องของบริษัท ที่ยื่นต่อสหภาพแรงงาน โดยปราศจากเหตุผลคำอธิบายที่ชัดเจน อ้างแค่เพียงเป็นนโยบายของบริษัทที่ไม่สามารถต่อรองได้โดยเฉพาะที่ว่า
1. การปรับเงินค่าจ้างแบบตายตัว (FIX RATE) จนกว่าจะเกษียณอายุการทำงานตามลำดับขั้น โดยไม่มีการนำเงินเฟ้อหรือค่าครองชีพที่ขึ้นสูงขึ้นแต่ละปีมาพิจารณา หรือกระทั่งค่า CPI ก็ตามที + การใช้ดุลยพินิจของหัวหน้าหรือผู้จัดการแผนกในการพิจารณาตามผลงานที่คนงานทำว่าใครควรได้ปรับขึ้นบ้าง
โดยทางบริษัทไม่มีการอธิบายหลักเกณฑ์หรือตัวชี้วัดในการพิจารณาที่ชัดเจนหรือเป็นธรรม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายสิบปี ทุกคนในโรงงานปรับเงินขึ้นเป็น % เท่ากันทุกคน ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป รวมทั้งผลประกอบการในแต่ละปีของบริษัทมากกว่า
2. การเปลี่ยนระบบการทำงานจาก 2 กะ ไปเป็นการทำงาน 3 กะ ซึ่งจะทำให้ลูกจ้าง โดยเฉพาะลูกจ้างผู้หญิงต้องเผชิญความเสี่ยงและความไม่ปลอดภัยในการเดินทางไปและกลับจากทำงานตอนเช้ามืดหรือตอนดึก อีกทั้งยังทำให้ลูกจ้างต้องขาดรายได้จากการทำงานล่วงเวลา
- การที่บริษัทยังคงให้สมาชิกสหภาพแรงงานแจ้งกลับเข้าทำงานได้โดยตลอด ภายใต้เงื่อนไขสละข้อเรียกร้องทุกข้อของสหภาพแรงงาน และยอมรับข้อเรียกร้องของบริษัททั้ง 3 ข้อ ทั้งนี้มีประกาศจากบริษัทฉบับที่ HR1- 003 ถึง 005 ลงชื่อนายโนรึคาสึ อิชิคาว่า ประธานบริษัท
- ฉบับที่ 003 ระบุถึงหากพนักงานที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานประสงค์ะกลับเข้าทำงาน ให้ยื่นแบบฟอร์มที่ป้อม รปภ. 1 ภายในวันที่ 9 มกราคม 2561 เวลา 15.00 น. ด้วยตนเอง ทั้งนี้บริษัทพร้อมคืนสิทธิ
ทุกอย่าง และจ่ายโบนัสให้7.2 เดือน พร้อมเงินพิเศษ 20,000บาท
- ฉบับที่ 004 ถ้อยคำเดียวกับฉบับ 003 แต่เปลี่ยนเวลาแสดงความประสงค์กลับเข้าทำงานภายในวันที่ 12 มกราคม 2561เวลา 17.20 น.
- ฉบับที่ 005 ระบุถึง การให้พนักงานหญิงที่กำลังตั้งครรภ์และเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานประสงค์ที่จะกลับเข้าทำงาน ให้ยื่นแบบฟอร์มแจ้งความประสงค์ที่ป้อม รปภ. 1 ภายในวันที่ 12 มกราคม 2561 เวลา 17.20 น. ทั้งนี้บริษัทจะคืนสิทธิให้ทั้งหมด ทั้งค่าจ้างและสวัสดิการ พร้อมจ่ายโบนัสโดยทันที
- บริษัทฯสามารถเดินไลน์ผลิตได้เพียง 2 ไลน์เท่านั้น จากทั้งหมด 29 ไลน์ แต่ก็ยังเป็นไปแบบติดๆขัดๆ ระหว่างเดินเครื่องมีการหยุดไลน์ผลิตอยู่บ่อยครั้งจากความไม่ชำนาญของพนักงาน และมีพนักงานที่เป็นคนญี่ปุ่นเข้ามาสอบถามปัญหาโดยตลอด บริษัทเสียหายเฉลี่ยวันละ 100 กว่าล้านบาทจากการไม่สามารถเดินไลน์ผลิตครบทั้ง 29 ไลน์ได้
- มีสมาชิกสหภาพแรงงานที่ตั้งครรภ์อยู่ 10 คน และต้องเผชิญกับสถานการณ์กดดันจากบริษัทเช่นเดียวกัน
- บริษัทมีการเจรจากับบริษัทที่จ้างพนักงานเหมาค่าแรงเข้ามาทำงาน (ที่นี่มีพนักงานเหมาค่าแรงกว่า 1,600 คน) ว่าพนักงานเหมาค่าแรงคนใดที่มีฝีมือทัดเทียมพนักงานประจำ และทำงานได้เฉกเช่นพนักงานประจำ ให้คัดเลือกเข้ามาทำงานแทนพนักงานประจำในวันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561 เป็นต้นไป ซึ่งก่อนหน้านั้นตั้งแต่ช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2561 บริษัทให้พนักงานเหมาค่าแรงและนักศึกษาฝึกงานกว่า2,500 คน หยุดทำงานชั่วคราว
- ทางบริษัทฯได้ไปจ้างโรงงานอื่นๆผลิตสินค้าชั่วคราว โดยจ้างเป็นลักษณะครั้งๆตาม order ที่ต้องส่งลูกจ้างตามที่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วมาตั้งแต่ปี 60 แน่นอนแม้ว่าต้นทุนบริษัทจะสูงขึ้นกว่าผลิตเอง แต่ก็ไม่มีทางเลี่ยง ท่ามกลางที่ต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ไปพร้อมกับการรักษายอดการผลิตให้มาตรฐานเท่าเดิม ผ่านวิธีการจ้างโรงงานอื่น ผลิตสินค้าชั่วคราวไปก่อน ด้วยที่คุณภาพก็ต้องเท่าเดิมด้วยเช่นกัน
13 มกราคม 2561
- มีการจัดกิจกรรมวันเด็ก และยังคงมีสหภาพแรงงานต่างๆ เดินทางมาให้กำลังใจต่อเนื่อง เช่น สหภาพแรงงานพานาโซนิคแห่งประเทศไทย เป็นต้น
15 มกราคม 2561
- มีการไกล่เกลี่ยครั้งที่ 4 มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีเป็นประธานในการเจรจา พบว่า ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้เช่นเดิม
- บริษัทยังยืนกรานเรื่องข้อเรียกร้องของบริษัททั้ง 3 ข้อ แม้ว่าทางกระทรวงแรงงานในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยจะเสนอทางเลือกเรื่อง การปรับเงินขึ้นในรูปแบบอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายบริษัทแต่อย่างใด
- โดยนัดเจรจาต่อเป็นครั้งที่ 5 ในวันที่ 16 มกราคม 2561 เวลา 10.00 น. ณ อาคารอมตะ เซอร์วิส เซ็นเตอร์ ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร
16 มกราคม 2561
- สมาชิกสหภาพแรงงานมิตซูบิชิ อิเล็คทริค ประเทศไทย ถูกปิดงานมา 19 วัน นับแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2560 เป็นต้นมา
- การเจรจาครั้งที่ 5 ยังไม่มีข้อยุติ ข้อติดขัดสำคัญยังคงเป็นเรื่องของรูปแบบการปรับเงินขึ้นประจำปี ที่ยังหาข้อตกลงร่วมที่ชัดเจนยังไม่ได้
- บริษัทเลิกจ้างพนักงานเหมาค่าแรงที่เป็นพนักงานทำความสะอาดบริษัทจำนวนประมาณ 20 คน
- กระบวนการผลิตภายในบริษัทมีการดำเนินการเข้มข้นขึ้น อย่างน้อยในช่วงเย็นมีรถรับส่งพนักงานจำนวน 8 คัน จอดรอรับส่งพนักงานอย่างน้อยประมาณ 300 คน ที่ทำงานในบริษัทฯ
17 มกราคม 2561
- ยังคงมีสมาชิกสหภาพแรงงานมาลงทะเบียน ณ ที่ชุมนุมวัดมาบสามเกลียว ในนิคมอมตะนคร จ.ชลบุรี รวม 1,700 คน
- สหภาพแรงงานเสนอแพคเกจการปรับค่าจ้างประจำปีแบบใหม่ให้บริษัทพิจารณา บริษัทรับพิจารณา แต่ยังไม่มีข้อสรุป
18, 19, 22 มกราคม 2561
- มีการเจรจาแต่ไม่มีข้อยุติแต่แต่อย่างใด
- แหล่งข่าวในพื้นที่ให้ข้อมูลมาว่า มีการกดดันพนักงานเหมาค่าแรงที่ทำงานอยู่แล้วในบริษัท ให้ชักชวนคนในครอบครัว เช่น สามี ภรรยาที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ที่ถูกปิดงานและชุมนุมอยู่ที่วัดมาบสามเกลียว ในนิคมอมตะนคร จ.ชลบุรี ให้เลิกชุมนุมและกลับเข้าไปทำงาน พร้อมทั้งรับข้อเสนอบริษัท
26 มกราคม 2561
- เวลา 00.34 น. หรือเที่ยงคืนครึ่งของค่ำคืน 26 มกราคม 2561 บริษัทมิตซูบิชิ อีเล็คทริค คอนซูมเมอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงไม่ยอมเซ็นต์ข้อตกลงการเจรจาไกล่เกลี่ยที่มีผลการเจรจาที่แน่นอนแล้วกับสหภาพแรงงานมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ประเทศไทย แม้ว่ารองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี จะเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยกับฝ่ายบริษัทเองก็ตาม ตั้งแต่ 13.30 น. ณ โรงแรมอินเตอร์ชล จ.ชลบุรี คาดว่าน่าจะมีการเจรจาอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561
29 มกราคม 2561
- บริษัทมิตซูบิชิ อิเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) และสหภาพแรงงานมิตซูบิชิ อิเล็คทริค ประเทศไทย ได้ลงนามใน “บันทึกข้อตกลงสภาพการจ้าง” ที่เจรจาไกล่เกลี่ยสำเร็จแล้ว
ที่โรงแรมชลอินเตอร์ จ.ชลบุรี
31 มกราคม 2561
- บริษัทกำหนดให้สมาชิกสหภาพแรงงานไปรายงานตัวในเวลา 10.00-12.00 น. ที่โรงแรมบางแสน
เฮอริเทจ ห้องแสนสุข 4,5 อ.เมือง จ.ชลบุรี
- โดยบริษัทได้ระบุว่าเมื่อรายงานตัวแล้ว ขอให้พนักงานทุกคนพักอยู่ที่บ้าน เพื่อรอการติดต่อจากบริษัทในการเรียกกลับเข้าปฏิบัติงานต่อไป
- การที่บริษัทกำหนดเช่นนี้ เป็นผลมาจากการที่ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ 2518 กลับไม่กำหนดว่า นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างกลับเข้าทำงานโดยทันทีในตำแหน่งเดิม
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561
- แหล่งข่าวในพื้นที่ให้ข้อมูลมาว่า “บริษัทแบ่งสมาชิกสหภาพแรงงานจำนวน 1,800 คน เป็น 3 กลุ่ม คือ สีขาว สีเทา และสีดำ
] สีขาว พวกที่ไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรเลย ไม่มีตำแหน่งใดๆ ไปชุมนุมเฉยๆที่วัด กลุ่มนี้จะเรียกเข้าทำงานทันทีที่เปิดงาน
] สีเทา กลุ่มที่มีตำแหน่งต่างๆในที่ชุมนุม เช่น กองทัพน้ำหวาน (การ์ด) , แม่ครัว และอื่นๆ กับ พวกที่โพสต์ต่างๆนานาใน facebook จะทยอยเรียกตามความเหมาะสมและพฤติกรรม
] สีดำ กลุ่มกรรมการ อนุกรรมการ โฆษกบนเวที สมาชิกที่เป็นปฏิปักษ์กับบริษัทอย่างชัดเจน จะไม่เรียกเข้าทำงาน และจะกดดันในรูปแบบต่างๆ กระทั่งบีบให้ลาออก คาดว่ากลุ่มนี้ รวมกับสีเทาบางส่วน มีประมาณ 400 คน”
- มีสมาชิกสหภาพแรงงานถูกเรียกเข้าไปทำงานแล้วประมาณ 1,300 คน ยังคงเหลืออีก 400 กว่าคน ที่ยังไม่ถูกเรียก
- พบว่าสมาชิกสหภาพแรงงานที่ถูกเรียกเข้าไปทำงาน ต้องมีการถูกสัมภาษณ์รายบุคคลจากผู้จัดการแต่ละแผนก เกี่ยวกับ (1) ความพึงพอใจในผลการเจรจา (2) ข้อเสนอแนะต่อการปรับปรุงระบบแรงงานสัมพันธ์ให้ดีขึ้น เพื่อลดข้อขัดแย้ง ตนเองจะช่วยอะไรได้บ้าง (3) ในแผนกเราเอง มีใครเข้าร่วมชุมนุมกับสหภาพแรงงานบ้าง มีบทบาทอะไร อย่างไร ให้ระบุชื่อ
- บริษัทเรียกคนที่มาสมัครงานใหม่ รวมถึงพนักงานเหมาค่าแรง เข้ามาทำงานแทนพนักงานประจำบางส่วน
13 มีนาคม - 27 เมษายน 2561
- สมาชิกสหภาพแรงงานมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ประเทศไทย จาก จ. ชลบุรี จำนวน 439 คนที่ยังไม่มีโอกาสกลับเข้าไปทำงานหลังความขัดแย้งด้านแรงงานยุติเมื่อปลายเดือนมกราคม 2561 ต้องเข้ารับการอบรมที่โรงเรียนทหารม้า ค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี ในเรื่องเกี่ยวกับ "การสร้างวินัยและการสร้างทีมเพื่อพัฒนาบุคลากร" ทั้งนี้มีครูทหารม้า กองพันนักเรียนการรบพิเศษ กรมนักเรียน โรงเรียนทหารม้า เป็นผู้มาฝึกอบรมให้
- โดยมีการแบ่งคนงานออกเป็น 5 กลุ่ม โดยวันที่ 13-16 มีนาคม 2561 สมาชิกสหภาพแรงงานจำนวน 71 คน , วันที่ 20-23 มีนาคม 2561 จำนวน 67 คน , วันที่ 3-6 เมษายน 2561 จำนวน 75 คน , วันที่ 17-20 เมษายน 2561 จำนวน 112 คน , วันที่ 24-27 เมษายน 2561 จำนวน 114 คน รวม 439 คน
22 มีนาคม 2561
- นายตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรดอนหัวฬ่อ ชลบุรี ได้โทรศัพท์มาหา "วาสนา ลำดี" บรรณาธิการข่าวแรงงานออนไลน์ voice labour แจ้งเรื่องให้ไปรายงานตัว พร้อมกับกรรมการสหภาพแรงงานคนหนึ่งฯ ที่ให้สัมภาษณ์กรณีที่ "การปิดงาน" ที่เป็นลักษณะการหมิ่นประมาทพาดพิงให้บริษัทเสียหาย ทั้งนี้ในเวลาต่อมาบริษัทได้มีการฟ้องหมิ่นประมาทเลิกจ้างกรรมการสหภาพแรงงานคนนี้
5-8 พฤษภาคม 2561
- มีประกาศที่ HR1-027/2561 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 เรื่องการรายงานตัวเพื่อกลับเข้าทำงานครั้งที่ 3 ในวันที่ 5 , 7 , 8 พฤษภาคม 2561 โดยให้พนักงานที่แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม มารายงานตัว แต่ให้รอเรียกเข้าทำงานตามที่บริษัทจะแจ้งกลับไป
22 พฤษภาคม 2561
- มีประกาศรับสมัครงาน “บริษัทมิตซูแอร์ ชูโบนัส 6-7 เดือนการันตี สวัดิการดี มีโอที มีเบี้ยเลี้ยง”
- ยังคงมีสมาชิกสหภาพแรงงานอีกกว่า 439 คน ที่ยังไม่มีโอกาสกลับเข้าไปทำงานในโรงงาน นอกจากได้รับค่าจ้างเท่านั้น
มิถุนายน-กรกฎาคม 2561
- 1 มิถุนายน 2561 มีการจัดตั้งสหภาพแรงงานแห่งใหม่ ที่แยกตัวออกมาจากสหภาพแรงงานมิตซูบิชิ อิเล็คทริค ประเทศไทย ในชื่อว่า “สหภาพแรงงานผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศ มิตซูบิชิ” และมีการจดทะเบียนกรรมการชุดใหม่เมื่อ 17 กรกฎาคม 2561 โดยก่อนหน้านั้นในวันที่ 10 มิถุนายน 2561 มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรก
- 22 มิถุนายน 2561 องค์กรแรงงานสากลระดับโลก (IndustriALL Global Union) ทำจดหมายถึงประธานบริษัทฯเป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งแรกส่งไปเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 เรื่อง ขอให้บริษัทเรียกคนงานกลับเข้าทำงานโดยด่วน
- 1 กรกฎาคม 2561 มีการประชุมสามัญประจำปี สหภาพแรงงานสหภาพแรงงานมิตซูบิชิ อิเล็คทริค ประเทศไทย
- มีการทยอยเรียกลูกจ้างที่ไปรายงานตัวเมื่อต้นพฤษภาคม 2561 กลับเข้าทำงานเป็นระยะๆ
- มีการเลิกจ้างสมาชิกสหภาพแรงงานจำนวน 3 คน แต่เมื่อถึงกระบวนการทางศาล มีการไกล่เกลี่ยและรับเงินค่าชดเชยจากกันไป
22 สิงหาคม 2561
- บริษัทติดประกาศเรื่อง “เลิกจ้างลูกจ้างจำนวน 24 คน” และระบุรายชื่อ พร้อมแจ้งว่ามีผลโดยทันที คือ 22 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไป ทั้งนี้ทราบมาว่าทางบริษัทมีการโทรศัพท์และส่งจดหมายไปแจ้งพนักงานเป็นรายบุคคลด้วย พร้อมโอนเงินเข้าบัญชีลูกจ้างจำนวนหนึ่ง ใน 24 คนนี้ เป็นกรรมการสหภาพแรงงานร่วมด้วย
29 สิงหาคม 2561
- บริษัทแจ้งให้พนักงานที่ยังคงอยู่ภายนอกโรงงานกว่า 60 คน ไปรายงานตัวกลับเข้าทำงาน
30 สิงหาคม 2561
- บริษัทแจ้งให้พนักงานที่ไปรายงานตัวกลับเข้าทำงานเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 รวม 48 คน ให้ออกไปอยู่ภายนอกบริษัทเช่นเดิม ซึ่งในจำนวนนี้คือกรรมการสหภาพแรงงานทั้งชุดเก่าและชุดใหม่ โดยระบุเหตุผลเรื่องการเป็นปฏิปักษ์กับบริษัท จนพนักงานอื่นกังวลถึงความไม่ปลอดภัย อันอาจส่งผลถึงระบบการบังคับบัญชา
สุดท้ายไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น จึงเป็นภาพสะท้อนสำคัญที่ยืนยันว่า
(1) คำว่า “สหภาพแรงงาน” กลายเป็นคำที่สัมพันธ์กับความมั่นคงของรัฐและทุน การเรียกร้องสวัสดิการ ปรับสภาพการจ้าง กลายเป็นความไม่มั่นคง ที่รัฐและทุนต้องเข้ามาควบคุม ดูแล จัดการ
ความหมายของคำว่า "สหภาพแรงงาน" เป็นไปในทางลบ ถูกผูกโยงกับสิ่งไม่ดี เป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง บริษัทคือผู้เสียผลประโยชน์ ตอกย้ำภาพลักษณ์ด้านลบ ที่สำคัญ ยังแยกสหภาพแรงงานออกจากชีวิตประจำวันของแรงงาน ให้สหภาพแรงงานกลายเป็นเรื่องการต้องถูกปกครอง เพราะเป็นองค์กรที่ไม่สามารถสร้างความสมานฉันท์ในบริษัทได้
(2) "สหภาพแรงงาน" ยังถูกทำให้เป็นเรื่องเทคนิคกลไก กลายเป็นกิจกรรมของ "ผู้นำแรงงานกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง" ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องของนักปฏิบัติบางคน-บางที่-บางแห่ง ไม่ใช่เรื่อง หลักคิด อุดมการณ์ อุดมคติของการมีสหภาพแรงงานขึ้นมาบนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว
(3) “สามัญสำนึกร่วมของความเป็นธรรมในสมาชิกสหภาพแรงงาน ที่ต้องรวมกลุ่ม เจรจาต่อรอง เพื่อสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี” ถูกลดทอนลงเพียง “ลูกจ้างบริษัทที่จะจัดวางตรงไหนก็ได้ หากจ่ายค่าจ้างแล้ว” ไม่มีศัตรูร่วมที่ต้องต่อสู้อีกต่อไป
ความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องของอดีต และปัจจุบันคือความสมานฉันท์ ยกระดับความขัดแย้งทางการจ้างงานสู่มิติของศีลธรรม ลูกจ้างที่ดี-ลูกจ้างที่เลวของบริษัท สหภาพแรงงานไม่ใช่เรื่องของอุดมการณ์อีกต่อไปแล้วความขัดแย้งเป็นเรื่องของดี-ชั่วที่ตัวคนงานกระทำ
ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับสามัญสำนึกร่วมแบบนี้ก็จะถูกติดป้ายว่าเป็นพวก "ศัตรูของบริษัท" ซึ่งอาจไม่ต่างกับป้ายของ "คอมมิวนิสต์" ในอดีตแต่อย่างใด
(4) ความคิดเรื่องสมานฉันท์ในสหภาพแรงงาน กลายเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งโดยหลักการแล้วก็ขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย เพราะมันเป็นการเก็บกดปิดกั้นมากกว่าการเปิดกว้าง ที่สำคัญเป็นความคิดที่ไม่มีพื้นที่ว่างให้กับความแตกต่างและความเห็นขัดแย้ง หรือการแสดงความไม่เห็นด้วย นี้ยิ่งทำให้ความขัดแย้งถูกซุกใต้พรม และแรงงานก็ถูกละเมิดสิทธิแบบมองไม่เห็นมากขึ้น ตอกย้ำเส้นแบ่งระหว่างพวกเรา บริษัท กับ พวกเขา สหภาพแรงงาน ผ่านศัพท์คำว่า สมานฉันท์
(5) อุดมการณ์สหภาพแรงงานไม่ใช่เรื่องของความสมานฉันท์ ไม่ใช่ความเห็นพ้องต้องกันหนึ่งเดียว แต่เป็นเรื่องของการยอมรับในกฎเกณฑ์ กติกา ของหลักการประชาธิปไตย ที่เสียงทุกเสียงถูกรับฟังและได้ยิน การทำงานสหภาพแรงงานมีมิติของความขัดแย้ง เป็นปฏิปักษ์ การเลือกฝ่ายเลือกข้างความเป็นธรรม การสมานฉันท์แบบนี้จึงเป็นการทำลายอุดมการณ์สหภาพแรงงาน มองเป็นศัตรูที่ต้องทำลายล้างให้หมดสิ้น ไม่ใช่หุ้นส่วนภายใต้กติกาที่ยอมรับร่วมกัน
12 เดือนที่ผ่านมาแห่งความเงียบงันในการแสวงหาคำตอบ ไม่เคยหยุดรวดร้าว พอๆกับไม่เคยหยุดหวัง ณ ที่ปลายฟ้าโน้น ดาวในดวงตาสะท้อนว่า “จิตวิญญาณชาวมิตซูแอร์” ยังคงอยู่
หมายเหตุ: เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในสถานการณ์กรณีสหภาพแรงงานมิตซูบิชิ อิเล็คทริค ประเทศไทย ดิฉันได้เขียนบทความเรื่อง ‘ปิดงานมิตซูแอร์’ : ความเกลียดกลัวสหภาพแรงงาน คัดออกเพื่อถางทางเดินทุนให้ราบเรียบ เผยแพร่ผ่าน https://gmlive.com/labor-union-right-and-what-next เมื่อ 3 มกราคม 2561 มาก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งได้อธิบายที่มาที่ไปอย่างละเอียดในเรื่องที่เกี่ยวข้องในช่วงปี 2560 ที่ผ่านมา
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)