เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กรุงเทพฯ จากพรรคก้าวไกล เผยการบังคับใช้ ม.32 ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลักลั่น ขวางรายย่อยไม่ให้เติบโต เพราะผลิตแล้วโฆษณาไม่ได้ ค่าปรับสูง เจ้าตัวเข้าใจเจตนาของกฎหมาย พร้อมแนะใช้กลไกสภาหาทางออก
เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.ก้าวไกล
21 มี.ค. 65 ทีมสื่อก้าวไกล รายงานต่อสื่อวันนี้ (21 มี.ค.) เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ผลักดัน พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า กล่าวว่า ขณะนี้กำลังมีประเด็นร้อนที่เป็นข้อถกเถียงกันในสังคมเกี่ยวกับการโฆษณาเครื่องดื่มเเอลกอฮอล์ ที่มีการระบุข้อห้ามไว้ใน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา 32 อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เมื่อนำไปสู่การบังคับใช้จริง เรายังเห็นความลักลั่นและผลกระทบต่อประชาชนในหลายเรื่องที่ต้องแก้ไขให้เหมาะสมขึ้น
"เรื่องหนึ่งที่สร้างความสงสัยมาก คือค่าปรับที่สูงจนกลายเป็นอุปสรรคของผู้ผลิตสุรารายย่อยหรือผู้ผลิตหน้าใหม่ที่ต้องการนำวัตถุดิบมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือมองว่าเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของท้องถิ่นหรือผู้ที่ชื่นชอบอยากพัฒนาวงการนี้ แต่เมื่อทำแล้วกลับไม่สามารถประชาสัมพันธ์หรือกระทั่งให้ข้อมูลสุราหรือเบียร์ที่ทำขึ้นได้ เพราะการโดนปรับแต่ละครั้งคือต้นทุนราคาแพง ต่างจากรายใหญ่ที่การปรับเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงบโฆษณาเท่านั้น"
เท่าพิภพ กล่าวว่า ตัวค่าปรับเอง ยังสะท้อนแง่มุมของกฎหมายที่มีปัญหา เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่าทำงานได้ดี เข้มงวด บางหน่วยเก็บค่าปรับได้เป็นล้านต่อเดือน แต่พอมีการถามถึงรางวัลนำจับจากค่าปรับไปอยู่ตรงไหน ใครได้บ้าง สามารถแสดงรายละเอียดที่มาที่ไปได้หรือไม่ ก็ไม่ใครสามารถให้ความชัดเจนได้ ทั้งที่คนจ่ายคือจ่ายจริง เจ็บจริง โดยเฉพาะรายเล็กที่โดนค่าปรับ 50,000-500,000 บาท ถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ ขณะที่ค่าปรับคดีเมาแล้วขับซึ่งผลกระทบอาจถึงแก่ชีวิตได้ กลับปรับแค่ 20,000 บาทเท่านั้น
แต่หากคิดอีกด้านหนึ่ง หากปฏิเสธ โดยบอกว่าเก็บปรับได้นิดเดียว เน้นตักเตือน คำถามก็จะย้อนกลับมาว่า กฎหมายนี้ได้ผลสัมฤทธิ์จริงหรือไม่ หรือสามารถคุยได้ ดีลได้ สังเกตว่าอะไรที่เป็นเรื่องดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ มักจะนำไปสู่การเติบโตของธุรกิจสีเทา หรือเอื้อต่อกลุ่มทุนผูกขาดเสมอ
"ผู้ที่มีบทบาทผลักดันกฎหมายนี้มักพูดดูเหมือนดีว่าไม่อยากให้รายใหญ่เอาเปรียบรายเล็ก จึงควรไม่อนุญาตให้ใครได้โฆษณาเลยเพื่อความเสมอภาค แต่ถ้าลืมตาดูความจริงจะเห็นชัดว่าไม่เป็นเช่นนั้น มีแต่รายเล็กค่อยๆ ตายไป รายใหญ่มีพลังในการผูกขาดตลาดโดยสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะรายเล็กจะไม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้เลย" เท่าพิภพ กล่าว
เท่าพิภพ ย้ำว่า หากผู้ที่เคยผลักดันกฎหมายนี้เป็นห่วงเรื่องรายใหญ่จะเอาเปรียบรายเล็กจริง ในฐานะที่ตนเป็นผู้แทนราษฎรที่เกาะติดประเด็นนี้โดยตรงเเละเฝ้าดูการถกเถียงเรื่องนี้ ตนไม่คัดค้านเจตนารมณ์ที่ดีในการลดปัจจัยคุกคามสุขภาพของประชาชนจากการดื่มสุรา และมองเห็นว่าการมีกลไกกำกับดูแลยังเป็นเรื่องที่จำเป็น และตนเข้าใจความต้องการของทั้งสองฝ่าย ทั้งที่ต้องการให้ผ่อนคลายหรือยกเลิกมาตรานี้ และฝ่ายที่ต้องการให้กฎหมายเข้มงวดขึ้นอีก ซึ่งมีการยื่นแก้ไขร่างกฎหมายสู่สภาทั้งสองฝ่าย
"ฝ่ายเเรกอยากจะปลดล็อกให้โฆษณาหรือโพสต์ลงโซเชียลได้ เพราะเป็นเรื่องของเสรีภาพส่วนบุคคล และเป็นการช่วยรายย่อยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ลืมตาอ้าปากได้ ส่วนฝ่ายที่อยากให้เข้มขึ้น มองว่ารายใหญ่ใช้ช่องว่างในการไปทำน้ำดื่ม น้ำโซดา แล้วใช้โลโก้เสมือนเป็นการโฆษณาทางอ้อม อันจะเป็นการทำให้เยาวชนคุ้นชินเเล้วเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น
"ทางที่จะเเก้กฎหมายให้สมประโยชน์ทั้งสองฝั่งได้ ผมคิดว่าต้องนำภาพรวมมาดูกันทั้งหมด เพราะจะเห็นว่าเรายังมีมาตรการมากมายที่สามารถลดการเข้าถึงโฆษณาเเอลกอฮอล์ได้ เช่น การจำกัดทุนโฆษณาที่เท่ากันทุกเจ้า การจำกัดอายุการเข้าถึงของสื่อโฆษณา เช่น เว็บไซต์กำหนดอายุ หรือโฆษณาในสถานที่ 20 ปีขึ้นไป อย่างในร้านเหล้าก็คงดูตลกไม่น้อย เพราะเราขายเหล้าได้ เเต่กลับโฆษณาเหล้าในร้านเหล้าไม่ได้ เช่นนี้ก็จะทำให้การขึ้นป้ายบิลบอร์ดทำไม่ได้เช่นกัน วิธีเหล่านี้คือ Partial Ban ที่หลายประเทศก็ทำกัน อย่างไรก็ตาม สุดท้ายผมเชื่อว่าสภาจะเป็นเวทีกลางที่จะเอาความเห็นของทุกฝ่ายมาพูดคุยหาทางออกร่วมกันได้ ซึ่งพรรคก้าวไกลเราก็พร้อมเป็นสติเเละเเสงของทางออกในเรื่องนี้" เท่าพิภพ ระบุ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)