Skip to main content
sharethis

สื่อคริสเตียนไซเอนซ์มอนิเตอร์นำเสนอสภาพโรงพยาบาลในซีเรียหลังสงครามต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ทำให้มีเด็กจำนวนมากทั้งที่มากับกลุ่มไอซิสหลายประเทศ และเด็กท้องถิ่นต้องพักพิงอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยภาวะขาดสารอาหารหรือบาดเจ็บจากลูกหลง ที่แย่ไปกว่านั้น ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับความสนใจเป็นลำดับต้นๆ 

กลุ่ม Antifa Manchester Crew ในกองกำลัง IFB ในโรจายา ทางตอนเหนือของซีเรียที่เป็นพื้นที่ยึดครองของกองกำลังชาวเคิร์ด ภาพถ่ายเดือนสิงหาคม 2560 (ที่มา: Wikipedia)

หลังสงครามขับไล่การยึดครองของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสในประเทศซีเรีย โรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ในซอกหลืบของเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียเต็มไปด้วยคนไข้เด็ก ในเมืองแห่งนี้มีเด็กจำนวนมากที่เป็นผู้รอดชีวิตจากยุทธการปิดล้อมโจมตีกลุ่มไอซิส เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นลูกของสมาชิกกลุ่มติดอาวุธที่มาจากต่างประเทศและแม่ของเด็กก็เป็นคนที่เข้าไปร่วมกับกลุ่มไอซิส

เด็กเหล่านี้มีสภาพร่างกายแบบขาดสารอาหารเฉียบพลัน ดูจากสภาพที่ซูบผอมและผิวกายซูบซีด นอกจากนี้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีที่มาจากทั่วทุกมุมโลกแต่ก็นับเป็นเด็กที่ไร้สัญชาติ ซาอัด อาลี ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลอัลฮิกมาในเมืองฮัสซากะฮ์เปิดเผยว่าเด็กเหล่านั้นมาจากหลายชาติ พวกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก และบางคนก็ไม่มีแม่ แต่ในฐานะของสถานพยาบาล ก็ต้องทำหน้าที่สถานพยาบาลโดยไม่สนใจว่าเด็กเหล่านี้มาจากไหน

"พวกเราเคยรับใช้ประชาชนทั่วซีเรียมาก่อน ในตอนนี้พวกเรารับใช้ประชาชนทั่วโลก" ยุสรา เอลอิสซา พยาบาลของโรงอัลฮิกมากล่าวในเชิงติดตลก

โรงพยาบาลอัลฮิกมารับเด็กที่มาจากค่ายผู้ลี้ภัยอัลโฮลทางตะวันออกของซีเรีย มีแม่ในชุดคลุมหน้าในแบบที่อนุรักษ์นิยมที่สุดของอิสลามประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยก่อนที่จะทิ้งเด็กไว้ให้โรงพยาบาลแล้วรีบกลับไปที่ค่าย จากสถิติเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา โรงพยาบาลแห่งนี้รับคนไข้เด็กจากค่ายผู้ลี้ภัยมากกว่า 1,000 ราย ในช่วงเวลาเดียวกับที่กองกำลังแนวร่วมหลายชาตินำโดยสหรัฐฯ ตรึงกำลังกลุ่มติดอาวุธไอซิสไว้ที่ชายฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส

อาลีกล่าวว่านับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมาก็มีกรณีเด็กเสียชีวิตอย่างน้อยวันละหนึ่งราย กรณีของเด็กที่ถูกส่งโรงพยาบาลนี้ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการขาดสารอาหาร มีเพียงราวร้อยละ 10 เท่านั้นที่เป็นกรณีถูกลูกหลงจากการสู้รบ ขณะเดียวกันโรงพยาบาลเองก็ประสบปัญหาอยู่แล้วจากเดิมที่ต้องอยู่ภายใต้สภาพสงครามที่ระบบสาธารณสุขถูกทำลายแถมบุคลากรทางการแพทย์ก็ถูกสังหารรายวัน

นอกจากนั้นยังมีเรื่องความแตกแยกบนท้องถนนของเมืองฮัสซากะฮ์ที่ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มที่ภักดีต่อฝ่ายรัฐบาลกลางซีเรีย อีกฝ่ายหนึ่งภักดีต่อกลุ่มปกครองตัวเองในพื้นที่ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลย้ำเตือนนักข่าวว่าพวกเขาอยู่ในพื้นที่ "สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย" ในขณะที่มีธงของกลุ่มกองกำลังเอสดีเอฟ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดที่ได้รัยการหนุนหลังจากสหรัฐฯ ปักอยู่หลายที่ของเมือง และมีประตูร้านค้าที่มีการทาสีรูปธงชาติซีเรียไว้อยู่ ตัวโรงพยาบาลอัลฮิกมาเองจึงกลายเป็นกระจกสะท้อนความหลากหลายของสังคมซีเรียจากการที่มีทั้งชาวอาหรับ ชาวเคิร์ด และชาวตะวันตก เข้ามารับบริการ จนโรงพยาบาลอัลฮิกมาประสบปัญหาจำนวนคนไข้แออัด มีเด็กราว 80 รายแบ่งกันพักอยู่ 2 ห้อง เด็กเล็กได้อยู่ในเตียงกั้นที่ไม่สามารถโยกได้

ถึงแม้ว่ากลุ่มกบฏเอสดีเอฟที่ได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐฯ จะประกาศชัยชนะ "อย่างเต็มรูปแบบ" เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมาหลังสู้รบชนะกองกำลังไอซิสที่หลงเหลืออยู่ แต่เด็กในโรงพยาบาลของซีเรียเหล่านี้ก็กลายเป็นปัญหาท้าทายที่แท้จริงสำหรับประชาคมโลก เนื่องจากเด็กเหล่านี้ไม่สามารถจัดประเภทให้เป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างที่พ่อแม่ของพวกเขาถูกกระทำ ขณะเดียวกัน ประเด็นเรื่องเด็กไม่ใช่สิ่งที่จะได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ

คนทำงานด้านมนุษยธรรมนานาชาติบอกว่ามีเด็กจำนวนมากที่พลัดหลงกับพ่อแม่เพราะความโกลาหลในสงคราม องค์กรคณะกรรมการกู้ภัยนานาชาติระบุว่าสภาพของค่ายผู้ลี้ภัยอัลโฮลในตอนนี้กำลังใกล้ถึงจุดที่เรียกว่าล้มเหลว ตัวเลขล่าสุดของสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติรายงานว่าเด็ก ที่ถูกส่งโรงพยาบาลราวร้อยละ 80 เป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ มีคนในค่ายผู้ลี้ภัยราว 74,000 ราย โดย 2 ใน 3 เป็นผู้หญิง ขณะเดียวกันเด็กที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยก็ถูกกลุ่มไอซิสบีบให้พวกเขาต้องอยู่กับกลุ่มไอซิสไปจนจบ มีเด็กมากกว่า 250 คนที่ไม่มีพ่อแม่และอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ และผู้หญิงต้องคอยดูแลเด็กที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง

ปีเตอร์ เมาเรอร์ ประธานคณะกรรมการกาชาดสากลกล่าวหลังเยือนพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียว่า ผู้คนเหล่านี้เป็นมนุษย์ที่สมควรจะได้รับการปฏิบัติด้วยความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน อย่าให้โวหารเรื่องกลุ่มติดอาวุธข้ามชาติมาบดบังความทุกข์ยากของคนที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน การแสดงให้เห็นความกล้าหาญเชิงจริยธรรมท่ามกลางความกังวลของสาธารณะและแรงกดดันทางการเมืองเป็นเรื่องยาก แต่มนุษย์เราต้องทำอะไรได้ดีกว่านั้น

ขณะที่อาลี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบอกว่าพวกเขาไม่ยุ่งอะไรกับการเมือง และพวกเขามีความรับผิดชอบในฐานะที่ต้องรับและรักษาผู้คนในฐานะคนไข้ ทั้งนี้ ในช่วงที่ต้องแบกรับภาระจากประเทศอื่นๆ พวกเขาเองก็กำลังประสบภาวะขาดแคลนจากสงคราม

เรียบเรียงจาก

As ISIS fell, Syrian hospital inundated by wave of its children, Christian Science Monitor, Mar. 25, 2019

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net