ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
ภาพบรรยากาศ นักเรียนและผู้ปกครองมุสลิมมอบดอกไม้ให้ผู้อำนวยการและคณะครูโรงเรียนอนุบาลปัตตานีแทนการขอบคุณที่พวกเขาได้สวมใส่ฮิญาบเข้าเรียนได้ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นข่าวดังในโลกโซเซียลว่าเขาไม่สามารถแต่งได้ จนทำให้รัฐโดยรัฐบาลส่วนหน้าเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องหิญาบโดยนำเรื่องกฎระเบียบกระทรวงที่อนุญาตให้มุสลิมแต่งกายฮิญาบเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลปัตตานี (โรงเรียนของรัฐ)ได้ก่อนจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่เพิ่มดีกรีความรุนแรงชายแดนใต้เหมือนเหตุประท้วงที่ยะลา เมื่อ 30 กว่าปีที่วิทยาลัยครูยะลาขณะนั้นไม่อนุญาตให้มุสลิมสวมฮิญาบเข้าเรียน (โปรดอ่านรายละเอียดใน https://www.isranews.org/south-news/other-news/66105-apparel.htm )
ความเป็นจริงถึงแม้การใช้
นายแพทย์ Fahmi Talebได้ตั้งข้อเกตปรากฏการณ์ฮิ
ปัจจุบัน ชนชั้นกลางมุสลิมมีมากขึ้น รวมถึงสื่อการสอนศาสนาผ่านโลกออนไลน์มีมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงในด้านความเคร่งครัดในศาสนาของคนชั้นกลาง โดยผ่านตัวกลางคือสื่อออนไลน์ก็มีมากขึ้น ดังนั้นประเด็นเรื่องฮิญาบ จึงกลายเป็นความสนใจที่ผู้ปกครองเอาใจใส่มากขึ้น
มิติด้านพหุวัฒนธรรมที่ถูกพูดถึงในพื้นที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็ถูกใช้ในการเรียกร้องครั้งนี้ด้วยแต่มีข้อสำคัญที่ควรนึกถึง คือ ไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม ล้วนหวงแหนพื้นที่และอำนาจของตัวเอง และปฏิกริยาในการป้องกันพื้นที่ที่เขาหวงแหนนั้นก็อาจไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลรองรับ
เช่นกรณีที่บุคลากรหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใน รร.อนุบาลปัตตานี อ้างสิทธิ กฏระเบียบของโรงเรียน หรือ อ้างอิงถึงธรณีสงฆ์ กล่าวอ้างขึ้นมา แม้เป็นเหตุผลที่ฝ่ายเรียกร้องสิทธิฮิญาบบอกว่าไม่มีเหตุผล เพราะมีกฏหมายประเทศเรื่องระเบียบเครื่องแต่งกายตามศาสนาที่อยู่ในลำดับสูงกว่าอยู่ ความรู้สึกที่เห็นว่า พื้นที่ที่ตัวเองเคยมีอำนาจ (โรงเรียน, ชุมชน, มัสยิดศูนย์กลาง) กลับถูกท้าทายด้วยผู้เล่นใหม่ที่เข้ามา และการสกัดกั้นตามสัญชาตญาณจึงออกมาเช่นที่เป็นปรากฏ ดังนั้นการได้รับอนุญาตให้นักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบในโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ไม่ใช่ชัยชนะของมุสลิม และไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของคนไทยพุทธในพื้นที่มุสลิมได้รับสิทธิที่ไม่ได้กระทบกับวิถีปฏิบัติของชาวไทยพุทธเรื่องนี้คือเรื่องพื้นฐานมากๆ
ปรากฏการณ์เรื่องนี้มีแค่นิดเดียวนั้นคือ นักเรียน 7 คนที่ครอบครัวและตัวนักเรียนต้องการสวมใส่ฮิญาบตามหลักศาสนา ได้รับอนุญาตจากทางโรงเรียน และทางโรงเรียนก็ไม่ได้สูญเสีย การเรียนการสอนก็ยังคงเป็นไปตามเดิม ครูทุกคนก็ทำหน้าที่เหมือนเดิม การทำความเข้าใจที่ดีในเรื่องซับซ้อนเช่นนี้คงต้องใช้เวลา เหตุผลที่ดีย่อมเอาชนะผู้มีปัญญาทั้งหลายแน่นอน ด้วยระยะเวลาและวิธีที่เหมาะสม ยกเว้นว่าต่างฝ่ายต่างไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลที่ดี และวิธีที่เหมาะสมได้
ปรากฏการณ์เรื่องนี้มีแค่นิดเดี
นางอังคณา นีลไพจิต ได้แสดงทัศนะผ่านเฟสส่วนตัวว่า #นักสิทธิมนุษยชนและนักสันติวิ
ดร.สุชาติ เศรษฐมาลีนี นักวิชาการมุสลิมจากมหาวิทยาลัยพายัพเขียนไลน์มาให้บอกว่าเห็นด้วยกับผู้เขียนว่าการเเก้ปัญหาโดยใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่เพียงพอเเละยั่งยืน ควรมที่มุสลิมเองเเละต่างศาสนิกหรือคู่ขัดเเย้งตั้งสติสานเสวนาหาทางออก"
จากประสบการณ์..ไม่ว่าฝ่ายพุทธหรือมุสลิม... การแก้ปัญหาโดยอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมของตนฝ่ายเดียวโดยไม่รู้จักใช้ฮิกมะฮ์(วิทยปัญญา)และไม่รู้สึกรู้สาความรู้สึกของอีกฝ่าย จะไม่มีทางนำความรุ่งเรืองสู่ศาสนาของตนเอง
ผมเคยยกตัวอย่างหลายที่หลายทางเกี่ยวกับ ชุมชนแห่งหนึ่งในประเทศอินโดนีเซียยุคก่อนอิสลามซึ่งเป็นชุมชนฮินดู อิหม่ามขณะนั้นขอร้องมุสลิมอย่ากินเนื้อวัว เพราะถึงแม้จะเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของมุสลิมแต่ไปทำลายความรู้สึกชาวฮินดู มุสลิมจึงหันไปกินเนื้อควายแทน จนในที่สุด ด้วยความงดงามของอิสลามและวิถีของมุสลิมในชุมชนนั้น ชาวฮินดูจึงได้หันมารับอิสลามและกลายเป็นชุมชนมุสลิมที่แทบไม่กินเนื้อวัวมาจนทุกวันนี้ [ที่พูดแบบนี้ไม่ได้แปลว่า กรณีโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ต้องให้เด็กมุสลิมทิ้งอัตลักษณ์ตนเอง ต้องเลิกคลุมฮิญาบนะครับ] เพียงแต่ต้องการบอกว่า ทั้งฝ่ายพุทธและมุสลิมไม่ควรเริ่มต้นคุยกันด้วย “สิทธิ์” ของตนเป็นตัวตั้ง แต่หันมาคุยกันด้วยความรัก ด้วยเหตุด้วยผล ตอนนี้ฝ่ายพุทธก็ยืนยัน “สิทธิ์” และมองว่า “การที่โรงเรียนที่ตั้งบนพื้นที่วัดอนุญาตให้มุสลิมคลุมผมเป็นการทำลายแก่นของพุทธศาสนา” (คำพูดในคลิปของพระที่เป็นรองประธานสมาพันธ์ชาวพุทธ 3 จชต.) ซึ่งเป็นข้อโต้แย้งที่อ่อนมากๆ ว่าการคลุมผมของเด็กมุสลิมไปทำลายแก่นของศาสนาพุทธอย่างไร ชาวพุทธไม่ควรยอมรับความคับแคบในการนิยามแบบนี้เพราะรังแต่จะสร้างความเสียหายให้พุทธศาสนามากกว่า เพราะศาสนาพุทธที่ผมเข้าใจมีความใจกว้าง และสันติกับทุกศาสนาโดยไม่ยึดติดกับอัตตาของตนเอง
ผมเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้น่าเป็นห่วงครับ เพราะได้กลายเป็นสงครามอารมณ์ความรู้สึก และมุ่งเอาชนะคะคานกันมากกว่าพูดคุยกันด้วยเหตุผล อีกทั้งมีแนวโน้มจะลุกลามบานปลายขยายวงสร้างความเกลียดชังระหว่างศาสนามากยิ่งขึ้น น่าจะต้องมีทีมรีบพูดคุยทำความเข้าใจโดยเร็วครับ โดยเราต้องช่วยกันคิดโดยใช้ฮิกมะฮ์เพื่อให้เขายอมรับเราโดยไม่รู้สึกว่าเป็นการเสียหน้า เสียสิทธิ์ และหันหน้ามายอมรับซึ่งกันและกัน...
เพื่อนอีกคนขอสงวนนาม(
" ถ้า เข้าใจเขาได้ เท้าก็สามารถแตะบันไดขั้นแรก ถ้า ไม่เข้าใจเขา ข้อดีก็คือแสดงว่าเราสามารถรู้
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนจะเป็นอย่างไรในอนาคต ประชาชนก็ยังต้องอยู่กับประชาชนด้วยกัน" หากสามารถสานเสวนาพูดคุยด้วยใจท้ายสุดร่วมกันใช้อำนาจเพราะ อำนาจอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า อำนาจร่วม คือ ตัดสินโดยใช้อำนาจร่วมกัน เกิดจาก เข้าใจกัน เห็นฟ้องต้องกัน ยินยอมพร้อมใจกัน
ถึงเเม้ตอนนี้ดูจะสายไป แต่อาจไม่สายไป เพราะปัญหาทุกอย่าง ความเสียหายทุกชนิดล้วนเป็นเหตุเตือนให้เราเริ่มต้นแก้ปัญหาให้ถูกทางอยู่เสมอ
ครับหวังว่า งานสานเสวนา Interfaith ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สูญเสียงบประมาณกันไปมากมายที่ดูอาจจะล้มเหลวต้องทำต่อไปและถอดบทเรียนว่าทำไม
สิทธิทางศาสนาและวัฒนธรรม ไม่ได้หมายความว่า ศาสนาหรือวัฒนธรรมใดจะสามารถอยู่
ครับหวังว่าข้อคืดเห็นที่หลากหลายเหล่าจะนำพาไปสู่ทางสว่างในการเเก้ปัญหาที่ท้าทายร่วมกันในจชต.เเละสังคมไทยในภาพรวม
เกี่ยวกับผู้เขียน: อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) เป็น กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้ Shukur2003@yahoo.co.uk
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)