คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล ร่วมกับอีก 2 องค์กรนักกฎหมาย ทำหนังสือร้องสภาทนายความฯ คุ้มครอง ทนายศิริกาญจน์ และทนายเบญจรัตน์ หลังถูกเจ้าหน้าที่รัฐฟ้องกลับ และขอรัฐบาลไม่แทรกเเซงกับความเป็นอิสระของวิชาชีพทนายความ
6 พ.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists), องค์การลอว์เยอร์ไรทส์วอทแคนาดา (Lawyers’ Rights Watch Canada) และมูลนิธิลอว์เยอร์สฟอร์ลอว์เยอร์ส (Lawyers for Lawyers) ได้ทําหนังสือถึง เดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับสองคดีล่าสุดที่มีการข่มขู่เเละการคุกคามต่อทนายความที่ทํางานเพื่อสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยขอร้องให้สภาทนายความฯ ซึ่งทําหน้าที่เป็นองค์กร หลักรับผิดชอบในการคุ้มครองประโยชน์ของสมาชิกได้ออกมาร้องเรียกให้รัฐบาลไทยรักษาไว้ซึ่งความเคารพหลักความเป็นอิสระของทนายความและประกันว่าทนายความจะสามารถทําหน้าที่ของวิชาชีพได้โดยปราศจากความกลัวที่จะถูกเจ้าหน้าที่รัฐดําเนินการตอบโต้กลับ
กรณีของ ‘ศิริกาญจน์ เจริญศิริ’
กรณีของ ‘เบญจรัตน์ มีเทียน’
การยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมเเละสวัสดิการของสมาชิกสภาทนายความฯ
หลักพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศวางหลักการว่าทนายความต้องสามารถที่จะเป็นตัวเเทนของลูกความได้โดยปราศจากความกลัวที่จะถูกโต้กลับ ถูกแทรกแซงการทำหน้าที่ หรือถูกคุกคาม โดยข้อ 16 แห่งหลักการพื้นฐานแห่งสหประชาชาติว่าด้วยบทบาทของนักกฎหมาย (‘หลักการพื้นฐาน’) (Basic Principles on the Role of Lawyers) บัญญัติว่า “รัฐบาลพึงดำเนินการให้เป็นที่มั่นใจได้ว่าทนายความ…สามารถทำหน้าที่ตามวิชาชีพได้ทั้งหมด โดยปราศจากการข่มขู่, การขัดขวาง, การคุกคาม หรือการแทรกแซงที่ไม่เหมาะสม”[1] หลักการพื้นฐานดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้กับหลักนิติศาสตร์สากลตลอดมาเพื่อใช้สนับสนุนสิทธิที่จะได้เข้าถึงการพิจารณาคดี ที่เป็นธรรม (Right to a fair trial) ตามที่ได้บัญญัติไว้ในข้อ 14 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี[2] นอกจากนี้ หลักการดังกล่าวยังได้รับรองว่าทนายความ “จักต้องไม่ถูกระบุว่าเป็นฝ่ายเดียวกันกับลูกความหรือมีกรณีที่ลูกความเป็นเหตุให้เกิดการเลิกปฏิบัติหน้าที่” แท้จริงเเล้ว ทนายความต้องสามารถทำหน้าที่โดยอิสระ อย่างขยันขันแข็ง และโดยปราศจากความกลัว อันจะเป็นการสอดคล้องกับความปรารถนาของลูกความ[3]
สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่แทนทนายความทั้งหลายนั้นมีอาณัติที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือ ทำหน้าที่ส่งเสริมความเป็นเอกภาพและการยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมของสมาชิก รวมทั้งสนับสนุนและจัดการเรื่องสวัสดิการของสมาชิก ทั้งนี้ ข้อที่ 25 ของหลักการพื้นฐานฯเรียกร้องให้มีการรวมตัวของสมาคมวิชาชีพ เช่น สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อทำงานกับรัฐบาลในการประกันว่า“ทนายความสามารถให้คำปรึกษาเเละให้ความช่วยเหลือลูกความ โดยปราศจากการเข้าเเทรกเเซงโดยไม่เหมาะสม ทั้งนี้ เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเเละมาตรฐานด้านวิชาชีพเเละจริยธรรม”
ทั้ง 3 องค์กร ระบุว่า ขอเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้ สภาทนายความฯ ดำเนินการคุ้มครองผลประโยชน์ของสมาชิกโดยสอบสวนคดีที่ได้กล่าวมาข้างต้นตามสมควร รวมถึงร้องขอให้รัฐบาลไม่เข้ามาแทรกเเซงกับความเป็นอิสระของวิชาชีพทนายความ กล่าวคือทนายความต้องสามารถทำงานโดยปราศจากซึ่งความหวาดกลัวจากการที่ จะถูกตอบโต้กลับและสอดรับกับหลักนิติธรรม ทั้ง 3 องค์กรยังระบุต่อว่า พร้อมที่จะพูดคุยกับสภาทนายความฯ เพื่อหารือรายละเอียดของคดีความของทนายความตามที่ได้กล่าวมาเเละยินดียิ่งหากจะได้มีโอกาสได้พบกับท่าน
ข้อมูลพื้นฐานของทั้ง 3 องค์กร
คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากลหรือ ICJ (International Commission of Jurists) ประกอบไปด้วย ผู้พิพากษาเเละนักกฎหมายที่ประสบความสำเร็จกว่า 60 ท่านจากทั่วทวีปในโลก ทำหน้าที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนผ่านหลักการนิติธรรม โดยใช้ความเชี่ยวชาญทางกฎหมายเพื่อพัฒนาเเละเสริมความเข้มเเข็งของกระบวนการยุติธรรม ทั้งในระดับภายในประเทศเเละระดับสากล โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อค.ศ.1952 และได้รับสถานะที่ปรึกษา (Consultative status) ของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (Economic and Social Council) ตั้งแต่ ค.ศ.1957 โดยทำงานใน 5 ทวีปทั่วโลก ทั้งนี้ ICJ มุ่งหมายที่จะประกันพัฒนาการที่ก้าวหน้าเเละ การนำไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ, การประกันความตระหนักรู้เรื่องสิทธิพลเมือง สิทธิทางวัฒนธรรม สิทธิทางเศรษฐกิจ สิทธิทางการเมือง และสิทธิทางสังคม, การพิทักษ์การแบ่งแยกของอำนาจเเละการประกันซึ่งความเป็นอิสระของผู้พิพากษารวมถึง นักกฎหมาย
[1] หลักการพื้นฐานแห่งสหประชาชาติว่าด้วยบทบาทของนักกฎหมาย (UN Basic Principles on the Role of Lawyers) ซึ่งรับรองโดยที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดครั้งที่ 8 (Eighth United Nations Congress on the Prevention of Crime and the Treatment of Offenders (ค.ศ.1990)
[2] ตัวอย่าง เอกสารของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Committee) ‘Concluding Observations: Russian Federation’, UN Doc CCPR/C/RUS/CO/6 (2009), ย่อหน้าที่ 22 และเอกสารของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Committee) ‘Concluding Observations: Libyan Arab Jamahiriya’, UN Doc CCPR/C/79/Add 101 (1998), ย่อหน้าที่ 14
[3] ร่างปฏิญญาสากลว่าด้วยความเป็นอิสระของความยุติธรรม (Draft Universal Declaration on the Independence of Justice) หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่าปฏิญญาสิงห์วี (Singhvi Declaration) ซึ่งเป็นรากฐานของ หลักการพื้นฐานของสหประชาชาติว่าด้วยความเป็นอิสระของตุลาการและว่าด้วยบทบาทของทนายความ (UN Basic Principles on the Independence of the Judiciary) ย่อหน้าที่ 83
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)