มีความคิดความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเพศอย่างน้อย 5 รายการที่ทำให้คุณไปไม่ถูกเมื่อมาเจอกับ “ความหลากหลายทางเพศ” 5 ความเชื่อนั้นมีอะไรบ้าง เราไปศึกษากัน
1. Binary Sex โลกนี้มีเพียงสองขั้วระหว่างชายกับหญิง
เป็นความเชื่อที่ว่าโลกนี้มีคู่ตรงข้ามระหว่างชายกับหญิงเท่านั้น ภาษาอังกฤษเรียกว่า Binary Sex ภาษาไทยเรียกว่าการมองโลกแบบ "ทวิภาวะ" หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Dualism คือการมองโลกแบบมีคู่ตรงข้ามกันเสมอ เช่น มีขาวกับดำ ซ้ายกับขวา มืดกับสว่าง
การมองโลกลักษณะนี้จะคล้าย ๆ กับตอนที่ "เจ้าชายสิทธัตถะ" มองเห็นก่อนจะบรรลุธรรม เจ้าชายสิทธัตถะมองเห็นทุกข์ แล้วตั้งคำถามแบบ "ทวิภาวะ" ว่าโลกนี้มีมืดก็ต้องมีสว่าง มีกลางวันก็ต้องมีกลางคืน มีทุกข์ก็ต้องมีทางออกจากทุกข์ โดยที่การมองโลกแบบขั้วตรงข้ามทำให้มองไม่เห็นตรงกลางว่ามีพื้นที่สีเทา ๆ ปนอยู่ หรือมองไม่เห็นว่าระหว่างมืดกับสว่างก็มีความโพล้เพล้แทรกตัวอยู่
แต่หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะใช้เวลา 6 ปีค้นหาสัจธรรมจนตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เห็นคู่ตรงข้ามนั้นอีกเลย เพราะการตรัสรู้ได้ทำลายความเป็นคู่ตรงข้ามให้หมดไปทำให้เห็น “ทางสายกลาง” ขึ้นมาแทน เมื่อความทุกข์สิ้นสูญไปก็ไม่จำเป็นต้องมีทางออกไปสู่การพ้นทุกข์ ไม่มีทุกข์ก็ไม่มีทางออกไปสู่ความพ้นทุกข์ ไม่มีคู่ตรงข้ามให้ต้องคำนึงถึง นั่นคือท่านได้พบกับ “ความว่าง” ในที่สุด
ที่มาของคำถามและความไม่เข้าใจว่าทำไมคนจึงรักเพศเดียวกัน ทำไมคนบางคนจึงรักได้ทั้งหญิงและชาย ก็เพราะเรามีความคุ้นชินอยู่กับ "ทวิภาวะ" ที่อยู่ในหัวเรามาตลอดว่าชายต้องคู่กับหญิง หญิงต้องคู่กับชาย สังคมก็สอนเรามาแค่นั้น ทำให้เรามองไม่เห็นภาพความจริงอื่น ๆ
การมองเห็นแบบ "ทวิภาวะ" ไม่ใช่เรื่องผิดเพียงแต่ “ทวิภาวะ” ทำให้เรามองเห็นโลกได้ไม่ตรงกับความเป็นจริง หากวันใดเราสามารถมองพ้นไปจาก “ทวิภาวะ” ได้ วันนั้นเราจะเห็นรูปแบบอื่น ๆ ของความรักได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจะเห็นว่าใครจะรักกับใครก็ไม่ใช่เรื่องผิด มันเป็นเรื่องของคนสองคนรักกันแค่นั้นเอง
2. แนวคิดเรื่องครอบครัว Family
แนวคิดเรื่องครอบครัวมีฐานความเชื่อที่ว่าครอบครัวที่สมบูรณ์ต้องมีชายกับหญิงเป็นสามีภริยากัน แล้วให้กำเนิดบุตรออกมากลายเป็น พ่อ + แม่ + ลูก แล้วสร้างบทบาทพ่อ + แม่ + ลูกขึ้นมา โดยที่แนวคิดนี้ไม่ได้คำนึงว่าถ้าพ่อแม่เป็นหมันไม่มีลูกจะถือเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ได้หรือไม่
การตั้งหลักไว้ว่าครอบครัวต้องมี พ่อ + แม่ + ลูก ทำให้เราไม่อาจมองเห็นความเป็นครอบครัวในมิติอื่น ๆ เช่น แม่กับลูกอยู่กันสองคนก็เป็นครอบครัวได้ พ่อกับลูกอยู่กันสองคนก็เป็นครอบครัวได้ ยายกับหลานอยู่กันสองคนก็เป็นครอบครัวได้ ลุงกับหลานอยู่กันสองคนก็เป็นครอบครัวได้ หรือหากพ่อแม่เสียชีวิตหมดเหลือเพียงพี่กับน้องก็เป็นครอบครัวได้ จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนั้นไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้องเลย
คำถามก็คือจำเป็นหรือไม่ที่ความเป็นครอบครัวต้องมีเรื่องเพศสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ?
ภาพครอบครัวแบบ พ่อ+พ่อ+ลูก จากภาพยนตร์เรื่อง Fathers
ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้แล้วแม้คนเพศเดียวกันอยู่ด้วยกันก็สามารถเป็นครอบครัวได้ หรือคนเพศเดียวกันอยากจะมีลูกไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ๆ (อาจจะอุ้มบุญหรือขอมาเลี้ยง) ก็ถือเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ได้เช่นกัน หรือเพื่อนสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยไม่ได้มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้องก็ถือว่าเป็นครอบครัวได้เหมือนกัน สามี-ภริยาที่ตกลงใจไม่มีบุตรก็ถือเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์
ความสมบูรณ์ของครอบครัวไม่ได้อยู่ที่จำนวนสมาชิกที่ต้องเป็น พ่อ+แม่+ลูก หรือความเป็นเพศที่ต้องมีแค่ชายกับหญิง แต่ความสมบูรณ์อยู่ที่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิกในครอบครัว ความเข้าใจระหว่างกัน รักใคร่กลมเกลียวกัน มีปัญหาหันหน้าปรึกษากันต่างหาก
3. ผิดธรรมชาติ Natural - Unnatural
มีความเชื่อว่าการแปลงเพศเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ การรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ จนเป็นที่มาของสำนวน “ฟ้าผ่า” บ้าง “ขึดบ้านขึดเมือง” บ้าง บางศาสนาก็อ้างว่าเป็นที่มาของภัยพิบัติทางธรรมชาติ ธรรมชาติจะลงโทษบ้าง
คำถามที่น่าสนใจก็คือ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ เรื่องเพศมีสิ่งที่เรียกว่าผิดธรรมชาติได้ด้วยหรือ บางทีธรรมชาติอาจจะไม่รู้ตัวมันเองด้วยซ้ำว่าอะไรคือถูกต้องตามธรรมชาติอะไรคือผิดธรรมชาติ แท้จริงแล้วไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่าผิดธรรมชาติ ถ้าจะมีก็คงมีเพียงความหมายเดียวนั่นคือธรรมชาติเป็นสิ่งที่มนุษย์นิยามกันขึ้นมาเอง มนุษย์สร้างความหมายกันขึ้นมาเองว่าสิ่งนี้ถูกต้องตามธรรมชาติสิ่งนี้ผิดธรรมชาติ โดยที่ตัวธรรมชาติก็ไม่ได้นิยามตัวมันเองว่าอะไรถูกอะไรผิด มีแต่มนุษย์ไปนิยามมันขึ้นมาเอง
(ภาพประกอบโดย Mario – Kung)
เรื่องของความรักจึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าผิดธรรมชาติ สิ่งที่ผิดธรรมชาติคือการ “คลุมถุงชน” หรือการบังคับจิตใจกันต่างหาก การที่เราไปบังคับใครให้ชอบให้รักในสิ่งที่เขาหรือเธอไม่ได้ชอบไม่ได้รักนั่นแหละเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติอย่างใหญ่หลวง เราไม่ควรไปบังคับใครหรือไปนิยามใครว่าต้องรักเพศนั้นต้องชอบเพศนี้ เราไม่ควรไปบังคับใครว่าต้องเป็นเพศนั้นต้องเป็นเพศนี้ ทุกคนมีอิสระในการเลือกว่าจะเป็นเพศใด มีอิสระที่จะชอบเพศไหน มีอิสระที่จะแต่งตัวแสดงออกตามเพศในแบบที่ตนชอบ และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนเพศไปสู่เพศที่ตนเองอยากเป็น
การบังคับควบคุมคนอื่นให้เป็นไปในแบบที่เราต้องการนั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่า “ผิดธรรมชาติ”
4. ความเชื่อทางศาสนาและระบบศีลธรรมแบบชายหญิง
“เป็นบาป เป็นกรรม และห้ามบวช”
Religion and Morality on Binary Sex System:
Sinful Karma and Forbidding to get Ordination
ความเชื่อทางศาสนาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนยึดติดและแกะออกได้ยาก บางศาสนาบอกว่ารักเพศเดียวกันเป็นบาปต้องจับเอามาประจานต่อหน้าสาธารณชนและลงโทษด้วยการเอาหินปาให้ตายหรือไม่ก็จับโยนลงมาจากตึก บางศาสนาก็บอกว่าเป็นกรรมจากชาติที่แล้ว แต่ถ้าชายรักหญิง หญิงรักชาย ไม่ถือว่าเป็นบาปและไม่ถือว่าเป็นกรรม
หลายศาสนาไม่ยอมให้ผู้หญิงและเพศอื่น ๆ เข้าไปเป็นนักบวช หญิงข้ามเพศและชายข้ามเพศจึงถูกห้ามบวช การแปลงเพศก็ถูกบอกว่าเป็นบาปเป็นกรรม ทั้งนี้เพราะคำสอนศาสนามีมุมมองเรื่องเพศแบบ Binary Sex แยกเพศชายเพศหญิงออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ศาสนามองไม่ออกว่าระหว่างกลางก็มีเพศอื่น ๆ รวมอยู่ด้วยจึงไม่เปิดพื้นที่ให้
คนที่ทำงานประเด็นเรื่องความรุนแรงทราบดีว่านี่เป็นความรุนแรงจากศาสนาที่มีต่อคนที่มีเพศวิถีและเพศสภาพที่แตกต่าง แท้จริงแล้วคำสอนศาสนาคือสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยมนุษย์ มนุษย์จะเขียนให้ดีให้ร้ายอย่างไรก็ได้
ที่สำคัญก็คือคัมภีร์ศาสนาต่าง ๆ บนโลกนี้ถูกเขียนขึ้นโดยชายที่รักต่างเพศ ดังนั้น คนที่มีโอกาสเข้าถึงคำสอนและมีโอกาสเข้าไปเป็นนักบวชได้อย่างสะดวกจึงเป็นเพศชาย ในขณะที่เนื้อหาคำสอน ระบบศีลธรรม การครองเรือนถูกเขียนและออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ชายกับหญิงได้เป็นสามีภรรยากัน โดยปราศจากพื้นที่ให้กับเพศเดียวกันได้ครองรักรวมไปถึงคนข้ามเพศ คำสอนศาสนาจึงกีดกันผู้หญิงและเพศหลากหลายดังที่เห็นและเป็นอยู่โดยบอกว่า ‘ชายรักกับชาย’ เป็นบาป ‘หญิงรักกับหญิง’ เป็นกรรมซึ่งถือว่าเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง บางศาสนาก็บอกว่าการรักเพศเดียวกันทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งเป็นคำกล่าวที่ไม่มีเหตุผล
เราจึงพบว่าผู้หญิง คนข้ามเพศ คนรักเพศเดียวกัน มีโอกาสเข้าถึงคำสอนศาสนาได้ยากกว่าเมื่อเทียบกับเพศชาย และถ้าเป็นเพศชายที่ชอบเพศเดียวกันและเปิดตัวกับสังคมโอกาสที่จะเข้าถึงคำสอนก็จะยากยิ่งขึ้น
บาทหลวงคริสท็อฟ คารัมซา (Krzysztof Charamsa / ซ้ายมือ) หลังจากเปิดตัวว่าเป็นเกย์พร้อมคู่รัก
ก็ถูกสำนักวาติกันไล่ออกจากความเป็นบาทหลวง ตุลาคม 2558
ที่มา : http://www.smh.com.au/world/vatican-sacks-gay-priest-after-he-announces-he-has-a-partner
สำหรับคนทั่วไปเมื่อเข้ามาศึกษาศาสนาอาจจะเชื่อคำสอนอย่างง่ายดายโดยปราศจากการตระหนักรู้ว่าความคิดความเชื่อเช่นนั้นเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่งที่มีต่อคนที่แตกต่าง
ดังนั้นการเข้าไปเป็นนักบวชไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม แท้จริงแล้วทุกเพศรวมถึงคนข้ามเพศพวกเขาสามารถเข้าไปเป็นนักบวชในศาสนาได้ การที่เราบอกว่าคนเหล่านี้ปฏิบัติธรรมไม่ได้ เข้าไปเป็นบาทหลวงไม่ได้เข้าไปเป็นพระสงฆ์ไม่ได้ เข้าไปบวชแล้วจะทำให้ศาสนาเสื่อมเสียเป็นเพียงความจริงในระดับหนึ่งเท่านั้น ความจริงอีกด้านหนึ่งก็คือเพศชายที่เข้าไปเป็นนักบวชต่างก็ทำความเสียหายให้กับศาสนาไม่แพ้กัน
จึงเป็นเรื่องเสียเวลาที่เราจะมากล่าวโทษกันว่าเพศใดทำความเสียหายมากกว่ากัน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความเป็นเพศใดเพศหนึ่งแต่ปัญหาอยู่ที่มุมมองและวิธีการจัดการ ถ้าเรามองว่าความต้องการทางเพศเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้านทานได้ยากไม่ว่าจะเป็นเพศใด เราก็จะเข้าใจในความเป็นมนุษย์มากขึ้นและจัดการต่อกันด้วยความเมตตา ใครทำผิดพลาดก็ให้เปลี่ยนสถานะโดยไม่ต้องมีการประณามเพราะวินัยมีทางออกไว้ให้แล้วว่าใครทำผิดก็ให้ลาสิกขา ไม่ได้หมายความว่าต้องกีดกันมิให้บวชโดยที่ยังมิได้ทำอะไรผิด
การมีความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันก็ไม่ได้เป็นบาปเป็นกรรม ที่เป็นบาปเป็นกรรมก็เพราะคนเขียนคัมภีร์เป็นคนรักต่างเพศจึงเขียนคัมภีร์ขึ้นมาเพื่อปิดกั้นความแตกต่าง
ด้วยคำสอนที่มีรากมาจากชายเป็นใหญ่และถูกอิทธิพลของความเชื่อแบบ Binary Sex ที่มีอยู่ในคำสอน จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยยึดติดในคำสอนที่สร้างความรุนแรงให้กับคนที่มีเพศวิถีที่แตกต่าง ประเด็นเรื่องความเชื่อในศาสนาจึงเป็นหัวข้อที่ท้าทายว่าท่านจะเลือกก้าวข้ามไปสู่การมองเรื่องเพศเพื่อหลุดพ้นหรือจะยังคงยืนอยู่ฝั่งที่สนับสนุนความรุนแรง
5. เชื่อแบบยึดมั่นว่าใครเป็นเพศใดก็ต้องเป็นเพศนั้น Gender Box
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีนักร้องที่ทราบกันโดยสาธารณะท่านหนึ่งว่าเป็นเกย์มีบุตรกับสุภาพสตรีและออกมายอมรับกับสื่อโดยไม่บิดเบือน เรื่องนี้สร้างความสงสัยอย่างมากว่าเกย์มีลูกได้ด้วยหรือ ทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับเรื่องเพศว่า “สิ่งที่เราเห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด” ดังนั้นอย่าจับคนใส่ “กล่องเพศ”
อาร์ต KPN นักร้องเกย์ ออกมาเปิดใจยอมรับว่ามีลูก เหตุเกิดเมื่อปีที่แล้ว (2557)
ภาพจาก http://women.kapook.com/view90061.html
คนที่นิยามตนเองว่าเป็นเกย์ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีลูกไม่ได้ คนที่นิยามตนเองว่าเป็นชายข้ามเพศ (Transman) ก็สามารถอุ้มท้องมีลูกได้อย่างที่เคยเป็นข่าว ผู้หญิงที่ดูห้าว ๆ แมน ๆ ก็ตั้งครรภ์มีลูกได้ กะเทยชอบผู้หญิงก็ได้ ไม่ได้แปลว่ากะเทยต้องชอบผู้ชายได้อย่างเดียว หรือกะเทยที่ชอบได้ทั้งชายและหญิงก็มี
โทมัส เทรซ บีทตี้ 41 ปี (Thomas Trace Beatie) ชายข้ามเพศชาวฮาวายตั้งท้องเมื่อปี 2550
ภาพและข้อมูลจาก http://www.oddee.com
การออกมานิยามตัวตนว่าเป็น LGBTI* ของคนในสังคมเวลานี้เป็นการประกาศอัตลักษณ์และเพศวิถีให้คนในสังคมเข้าใจในระดับหนึ่งว่าพวกเขามีเพศวิถีแบบไหน มีอัตลักษณ์ทางเพศแบบใด โดยที่แต่ละคนก็อาจมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปไม่ได้เหมือนกันหมดทุกคน
เพศจึงตรงกับสิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า “อนัตตา” จับต้องให้คงที่ไม่ได้ ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เพศของมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่เราจะจับเอามากำกับควบคุมให้อยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้และไม่ได้เป็นไปตามความหมายที่มีอยู่ คำนิยามว่า ผู้ชาย ผู้หญิง เกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กช่วล คนข้ามเพศ เป็นเพียงการนิยามให้เข้าใจในความเป็นเปลือกนอกเท่านั้นเอง แท้จริงแล้วความเป็นเพศไม่ได้มีชื่อเรียก เรามาตั้งชื่อให้เกิดคำจำกัดความในความแตกต่าง เพศจึงเป็นเรื่องที่เราสมมติกันขึ้นมา
การเข้าไปยึดติดกับคำนิยามมากจนเกินไปว่าเป็นผู้ชายต้องเป็นแบบนั้น เป็นผู้หญิงต้องเป็นแบบนี้ เป็นเกย์ เป็นหญิงรักหญิง เป็นกะเทย เป็นคนข้ามเพศต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้ก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดตามมา เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า “สรรพสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งและเป็นเพียงสิ่งสมมติ”
ลองตรวจสอบดูว่าความเชื่อทั้ง 5 นี้ มีความเชื่อใดที่ยังคงมีอิทธิพลต่อมุมมองในเรื่องเพศของท่านบ้าง.
หมายเหตุ:
1. อ่านบทความประกอบเพิ่มเติมเรื่อง อย่าจับคนใส่กล่อง
2. LGBTI ย่อมาจาก
L = Lesbian หมายถึง หญิงรักหญิง
G = Gay หมายถึง เกย์
B = Bisexual หมายถึง คนที่รัก/ชอบได้ทั้งชายและหญิง
T = Transgender หมายถึง คนข้ามเพศ กะเทย ชายข้ามเพศ
I = Intersex คนสองเพศ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)