|
ทุ่งลาดชะโด และชาวนาใน ม.9 ต.หนองน้ำใหญ่
ชาวนาที่นี่หวังว่าจะขายข้าวได้ราคาเกิน 10,000 บาท/ตัน มานานแล้ว หลายรายต้องการเปลี่ยนพื้นที่นาปรังที่เป็นที่ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ราบเรียบนั้นให้กลายเป็นนาปรัง ติดอยู่ที่ไม่มีคลองส่งน้ำเข้าไปในทุ่ง หากลงทุนปรับนาเองก็ไม่แน่ใจว่ากำไรจากการขายข้าวนั้นจะเพียงพอกับการลงทุน ด้านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ยังไม่ยื่นมือเข้ามาจัดการขุดลอกคูคลองในทุ่งเพราะกลัวข้อพิพาทกับเจ้าของที่นา ซึ่งนอกจากจะเป็นคนในหมู่บ้านแล้วยังมีนายทุนใหญ่มากว้านซื้อที่ดินติดถนน4 เลน ไว้ตั้งแต่ก่อนมีการตัดถนนสุพรรณบุรี-ป่าโมกไว้กว่า 1,000 ไร่ปัญหาเรื้อรังอย่าง ภัยแล้ง และน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในทุ่งลาดชะโด ซึ่งเป็นบริเวณที่ลุ่มต่ำ และอยู่ส่วนสุดปลายโครงการชลประทาน 3 โครงการนั้น เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้นาปรังยังขยายตัวได้จำกัดแค่บริเวณรอบๆทุ่งลาดชะโดเท่านั้น แม้ในทุ่งนี้จะมีเริ่มทำนาปรังกันครั้งแรกเมื่อมีคลองชลประทานเข้ามาในปี 2515 แต่ยังขยายตัวได้ช้าเพราะในตอนนั้นนาฟางลอยซึ่งเป็นข้าวที่ลอยตัว ข้าวที่เคยปลูกมาในอดีตซึ่งมีคุณลักษณะเหมาะกับพื้นที่ลุ่มน้ำลึกนี้ยังให้ผลผลิตดีและไม่ต้องลงทุนจัดการมาก จนมีการสร้างถนนคันกั้นน้ำ ลาดชะโด-ดอนลาน ซึ่งถนนนี้มีคลองขุดขึ้นกว้าง 6 เมตร ขนาบถนนแล้วพื้นที่นาปรังจึงขยายตัวมากขึ้น ในปี 2554 พื้นที่นาปรังมีประมาณ 1 ใน 10 ของพื้นที่นาทั้งหมดในทุ่งเท่านั้น สิ่งที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ ชาวนาปรังมีสัดส่วนชาวนาเช่ามากกว่าชาวนาที่มีนาเป็นของตนเอง อีกทั้งมักเป็นวัยกลางคน และอายุเฉลี่ยน้อยกว่าชาวนาฟางลอย
ความถดถอยของนาฟางลอยและการขยายตัวของนาปรังที่ ทุ่งลาดชะโด ม.9
ผลผลิตจากการปลูกข้าวฟางลอยเคยได้ผลผลิตตกต่ำจากการแพร่ระบาดของหนูนา ในปี 2520 และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเมื่อปี 2525 และในปี 2549 คั้นกั้นน้ำ 3 แห่งเหนือ อ.ผักไห่ พัง จนก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและมีระดับสูง ทำให้ข้าวฟางลอยก็แทบไม่ได้ผลผลิต แถมยังนำเอาหอยเชอร์รี่เข้ามาแพร่ระบาดในนาฟางลอยนับตั้งแต่นั้น และนับตั้งแต่ปี 2552 – ปัจจุบัน เพลี้ยกระโดดได้เข้าทำลายนาฟางลอยติดต่อกันมา 4 ปี จนผลผลิตตกต่ำ ชาวนาหลายคนเริ่มเสาะหาโอกาสครั้งใหม่จากการทำนาปรังแทน
ต้นปี 2553 นอกจากจะมีเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลแพร่ะระบาดต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว ชาวนาที่นี่ยังต้องเผชิญปัญหาภัยแล้งซึ่งเกิดจากปรากฎการณ์เอลนิโญ่มาตั้งแต่ต้นปี น้ำต้นทุนในแหล่งเก็บน้ำสำคัญอย่างเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์มีไม่เพียงพอให้ชาวนาทำนาปรังครั้งที่ 2 สำนักงานเกษตรอำเภอผักไห่ปฏิบัติตามแนวนโยบาย “การปฏิรูประบบการปลูกข้าวใหม่” เจ้าหน้าที่เกษตรตำบลแจ้งให้ชาวนาประหยัดน้ำ และชลประทานไม่ปล่อยน้ำมาให้ทำนา เพราะต้องการให้ทำนาปรังเพียงครั้งเดียวและปลูกพืชอื่นที่ใช้น้ำน้อยทดแทนการทำนาปรังครั้งที่ 2 ปีนี้พื้นที่นาปรังครั้งที่ 2 ของ ม.9 ลดลงเหลือเพียง 38 ไร่เท่านั้น นาฟางลอยปีนี้จึงขยายตัวรับภัยแล้ง ซึ่งมีพื้นที่ปลูกถึง 1,521.75 ไร่ แม้ปีที่แล้วนาฟางลอยมีผลผลิตตกต่ำมาก[2] และหากไม่ได้ผลผลิตเลยก็ยังได้รับค่าชดเชยส่วนต่างจากโครงการประกันราคาข้าวของรัฐบาลอภิสิทธิ เวชชาชีวะ อยู่ดี
ชาวนาปรังบางคนทั้งในทุ่งลาดชะโด และทุ่งหน้าโคก พูดถึงโครงการปฏิรูประบบข้าวใหม่ว่า ถั่วเขียวที่จะให้ปลูกคั่นระหว่างนาตกหายที่ไหนไม่รู้ และว่านาแถบนี้ ถ้าจะให้ปรับระบบการทำนาได้ดีจริง ก็ควรปล่อยให้ปลูกข้าวนาปรัง 2 ครั้งติดต่อกันได้ทั่วทุ่ง เมื่อเก็บเกี่ยวนาปรังครั้งที่2 แล้ว ก็ปล่อยให้น้ำท่วมไป ถ้าไม่มีข้าวฟางลอยก็จะช่วยตัดวงจรการแพร่ระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลที่กินข้าวอย่างเดียวเป็นอาหารอีกด้วย
ตั้งแต่ราวกลางเดือนกรกฎาคม 2553 มีฝนตกชุกมาก และมีเหตุน้ำท่วม จ.นครราชสีมา ซึ่งไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ปลายสิงหาคมน้ำในแม่น้ำน้อยเออท่วมสูง ประตูน้ำลาดชะโดจึงปล่อยน้ำเข้าทุ่งนี้ไวกว่าปกติ 10 กว่าวัน นาปรังทั้ง 38 ไร่ในทุ่งกำลังเขียวและรอเกี่ยวตามกำหนดถูกน้ำท่วม เช่นเดียวกับทุ่งนาในผักไห่อีกหลายทุ่งใน 16 ตำบล มีพื้นที่นาเสียหาย 3,054.50 ไร่ คิดเป็น 82 % ของพื้นที่เสียหายทั้งหมด รวมชาวนา 468 ราย [3] นอกจากนี้ยังมีนาฟางลอย 14,675 ไร่ ที่ถูกน้ำท่วมด้วย [4] ในขณะที่ ปี 2554 ที่มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังครั้งที่ 2 จำนวน 256 ไร่นั้นต่างพากันเกี่ยวข้าวหนีน้ำได้ทัน มีบางรายจะเกี่ยวข้าวเขียวบ้าง แต่ราคาที่ขายข้าวเขียวได้ก็สูงกว่าค่าชดเชยน้ำท่วมรวมกับค่าชดเชยส่วนต่างราคาประกันรายได้ของรัฐบาลอภิสิทธิ เวชชาชีวะ
โดยปกติข้าวนาฟางลอย ซึ่งเริ่มหว่านกันช่วงปลายพฤษภาคมกำลังแตกกอเตรียมยืดตัวรับน้ำที่ท่วมนองตามปกติในช่วงต้นกันยายน แม้ข้าวฟางลอยจะยืดตัวลอยน้ำได้ แต่ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นสูงกว่า 3 ซม./วัน ก็ทำให้ต้นข้าวฟางลอยที่หว่านช้ากว่าปกติบางส่วนเน่า ส่วนที่รอดก็เติบโตยืดตัวตามน้ำ แต่รวงข้าวไม่สมบูรณ์ พอใกล้เกี่ยวข้าวก็ถูกทำลายโดยเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและหนู
ประทีป มีสม วัย 62 ปี ซึ่งทำนาฟางลอย 10 ไร่ และปล่อยให้คนอื่นเช่าแปลงนั้นทำนาปรังครั้งที่1 ต่อ เล่าว่า นาข้าวฟางลอยลงทุนทำและหลังจากหว่านข้าวปลูกแล้วก็แทบไม่ต้องทำอะไรอีกนั้นเคยมีผลผลิต ไร่ละ 40 – 50 ถัง แต่ตั้งแต่ ปี 2552 มาแล้วที่ผลผลิตตกต่ำอย่างยิ่ง ปี 2553/54 นี้ ก็ได้ผลผลิตต่ำมาก แต่เขาต้องการเก็บพันธุ์ข้าวไว้ปลูกปีหน้า จึงต่อรองจ่ายค่าเกี่ยวข้าว ซึ่งปกติจ่ายไร่ละ 500 บาท เหลือเพียงไร่ละ 250 บาท ได้ข้าวแค่ 20 ถัง หรือผลผลิต/ไร่เพียง 2.5 ถัง เท่านั้น
นโยบายจำนำข้าวมีผลบวกต่อชาวนามาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ปี54
ช่วงฤดูหาเสียงเลือกตั้งปี 2554 มีการจัดประชุมเตรียมการรับมือเป็นพื้นที่น้ำนอง ใน 4 อำเภอฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา (ผักไห่-ป่าโมก-บางบาล-เสนา) เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2554 โดยการประสานงานกับสมาชิกสภาเทศบาลลาดชะโด ผู้ใหญ่บ้าน ทนายความอิสระ และมีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งพรรคชาติไทยพัฒนาเขตที่ 5 เข้าร่วมประชุมกับผู้ร่วมประชุมซึ่งเป็นตัวแทนจาก 16 ตำบล ใน อ.ผักไห่ แกนนำการจัดประชุมยังกล่าวไว้ในเวทีว่าก่อนหน้านี้มีการจัดประชุมรูปแบบนี้มาแล้ว 3 ครั้ง ในอำเภอผักไห่ แต่หลังจากนั้นความริเริ่มในเวทีดังกล่าวก็ไม่ได้รับการสานต่อใดๆ อีก
การขับเคลื่อนเพื่อเข้าชิงตำแหน่ง ส.ส. เขต 5 (ผักไห่-บางบาล-บางซ้าย-เสนา) ระหว่างพรรคเพื่อไทย ชาติไทยพัฒนา และประชาธิปัตย์ เป็นไปอย่างเข้มข้น และประชาชนส่วนใหญ่ในเขต 5 ก็เลือก องอาจ วชิรพงศ์ พรรคเพื่อไทย มาเป็น ส.ส. โดยผู้ชนะมีคะแนนนำมากกว่า นพพร วชิวรพง์ พรรคชาติไทยพัฒนา 16,206 คะแนน [5] ในขณะที่หน่วยเลือกตั้งของ ม.9 ต.หนองน้ำใหญ่ อ.ผักไห่ มีผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด 78% จากผู้มีสิทธิทั้งหมด 763 คน ซึ่งมีชาวนา 56 ครัวเรือน จากทั้งหมด 119 ครัวเรือน เมื่อมีการนับคะแนนเสียงที่หน่วยเลือกตั้งนี้ พบว่าผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยชนะเฉือนผู้สมัครจากชาติไทยพัฒนา โดยมีคะแนนนำอยู่ 35 เสียง
ก่อนเลือกตั้ง มีชาวนาได้ประโยชน์จากนโยบายจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทย ดังในกรณีของ เสน่ห์ คชสุวรรณ (58 ปี) อดีตช่างสำรวจ กองรักษาที่หลวง กรมธนารักษ์ ซึ่งลาออกจากราชการไปเป็นโรบินฮู๊ดออสเตรเลียอยู่หลายปีแล้วจึงกลับมาเมื่อปี 2543 เขามีอยู่เดิมกว่า 100 ไร่ นาที่มีส่วนใหญ่เป็นนาปี ฤดูนาปีเขาทำนาฟางลอยเอง และทำนาปรังขนาด 8 ไร่ 1 แปลง อยู่ข้างหลังบ้าน
ปลายเดือนสิงหาคม 2554 เขาต้องเกี่ยวข้าวนาปรังครั้งที่ 2 ที่ยังเขียวหนีน้ำแล้วขาย นาปรัง 8 ไร่ ได้ข้าวแค่ 4.5 ถัง และขายได้ราคาสูงถึง 6,400 บาทในขณะที่ชาวนารายอื่นๆ ในทุ่งนี้ที่ปลูกก่อนหน้าเขาเล็กน้อยสามารถเกี่ยวข้าวเหลืองขายช่วงเดียวกันได้ราคา 9,300 – 9,600 บาท [6] นั่นเพราะผู้ค้าข้าวต้องการสต๊อกข้าวไว้เนื่องจากมีแนวโน้มว่าราคาข้าวปีนี้จะสูงขึ้น [7] และมีแนวโน้มว่าราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นด้วย [8] ซึ่ต่อมารัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้จ่ายค่าชดเชยให้กับชาวนาเพราะอยู่นระหว่างรอยต่อโครงการประกันรายได้และรับจำนำข้าว ไร่ละ 1,437 บาท ผิดกับปีที่แล้วที่ทั้งชาวนาปรังได้รับค่าชดเชยผู้ประสบภัยน้ำท่วม 2,098 บาท/ไร่ และเงินส่วนต่างจากอัตราชดเชยราคาข้าวจากโครงการประกันกันรายได้แค่ 1,000 กว่าบาท/ไร่ และชาวนาฟางลอยซึ่งทำนาแล้วแทบไม่ได้ผลผลิตซึ่งไม่ได้ค่าชดเชยน้ำแต่ได้รับค่าส่วนต่าง กับเงินชดเชยจากอัตราชดเชยราคาข้าวจากโครงการประกันกันรายได้เพียงอย่างเดียว
เสน่ห์ ยังเป็นชาวนาอีกคนหนึ่งที่ต้องการเปลี่ยนนาปีข้าวฟางลอยมาเป็นนาปรัง เขาเล่าถึงความล้มเหลวของข้าวฟางลอยและกลิ่นอายความสำเร็จจากการขายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวสมัยนายกรัฐมนตรีสมัคร และนายกรัฐมนตรีหญิงยิ่งลักษณ์ ไว้ว่า
“นาปี 52 (ฤดูนาปี 2552/53) นั้นเจ๊ง นา 101 ไร่ ได้ข้าวกลับเข้าบ้านแค่ 2 เกวียน ก็ไม่ได้ขาย เก็บเอาไว้ทำพันธุ์ แต่ปีก่อนโน้น (2551/52) รวย เฮง ข้าวราคาตั้ง 14,000 – 15,000 บาท ไม่เฮงได้ไง ปี 52 เจอเพลี้ย ปี 53 น้ำท่วม มันไม่ได้ข้าวเลย ปี 54 ก็เจอน้ำท่วมอีก ได้ผลผลิตต่ำมาก ดีที่ว่า ราคาข้าวปีนี้ดีขายได้ตันละ 14,000 บาท[9] ก็เลือกเกี่ยวเฉพาะตรงที่ข้าวหนาๆ ”
พอถึงช่วงฤดูเกี่ยวข้าวฟางลอย ปี 2555/56 นี้ นาฟางลอยกว่า 80 ไร่ ของเสน่ห์ ให้ผลผลิตต่ำเพราะเพลี้ยรบกวน นา 10 ไร่ได้ข้าวแค่ 1 ตันหรือแค่ 10 ถัง/ไร่ เท่านั้น
แม้การปลูกข้าวฟางลอยจะลงทุนต่ำและไม่ต้องจัดการมากเท่านาปรัง แต่ผลผลิตที่ได้ตกต่ำต่อเนื่องมาหลายปี เขาจึงเลิกทำนาฟางลอย แล้วลงทุนปรับที่นาเหล่านั้นเป็นนาปรังเพื่อให้ชาวนารายอื่นเช่าทำ โดยคิดราคาเช่า ไร่ละ 1,000 บาท และตกลงทำสัญญาเช่า ปีต่อปี ส่วนตัวเขา ปีนี้ยังคงทำนาปรัง ขนาด 8 ไร่ ในแปลงที่ติดหลังบ้าน ซึ่งใกล้คลองชลประทานสายหลักที่กว้างกว่า 6 เมตร ทอดขนานกับ ถนนคันกั้นน้ำ ดอนลาน-นาคู และเช่านาทำเลดีเพิ่ม ที่ ม.8 หนองน้ำใหญ่อีก 10 ไร่
“ปรับนาปีเป็นนาปรังแล้ว มีคนอยากทำหลายคน ไปเอารถดันนามาจากสามโก้ พวกกันเลยถูกกว่า รถดันรับจ้างแถวบ้านเราแพง ต้นทุนค่าปรับนาปรับเฉลี่ย 10 ไร่ ตก 30,000 – 40,000 บาท”
พ่อค้าเร่กลับมาขุดทองในนา
ด้านวินัย ไกรบุตร (60 ปี) เขามีอาชีพค้าขายหอม กระเทียม ในตลาดนัด แต่เมื่อมีโครงการจำนำข้าว เขาหยุดพักการขายชั่วคราว แล้วหันมาบุกเบิกเปลี่ยนนาปีเป็นนาปรังเมื่อฤดูปลูกข้าวนาปรังปี 2555 เขามีนาแค่ 8 ไร่ จึงเช่านาเพิ่ม รวมเป็น 108 ไร่ แบ่ง 3 ส่วน สำหรับตนเอง น้องเมีย และลูกสะใภ้ แต่เขาดูแลเองเป็นส่วนใหญ่ เขามีสัญญาเช่านาที่ทำกับเจ้าของนาระบุว่ายกเว้นค่าเช่านา 1 ปี ค่าปรับที่ลงทุนไปทั้งหมด 700,000 บาท เขาจ่ายค่าปุ๋ย ค่าสารกำจัดแมลงและวัชพืช รวม 200,000 บาท นาปรังเที่ยวแรกเมื่อ ปี2555 และขายเข้าในโครงการจำนำข้าวได้เงินมา 800,000 กว่าบาท เขาคำนวณว่า ...
“คุ้มไหม? ปีที่แล้วมันยังไม่คุ้ม ถามว่าไร่เท่าไหร่จริงๆ ไม่ได้คิดเลยเพราะว่าเงินขายของได้มาเรามีก็ลงไป ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มันก็ยังไม่คุ้ม เพราะหนักค่าปรับที่นา ปีที่แล้วเราไม่เสียค่าเช่าที่ แต่ปีนี้เราต้องเสีย แต่ถ้าราคาข้าวแบบจำนำนี่ เที่ยวนี้ (นาปรังครั้งที่ 2 ปี 2555) ก็คืนได้แล้ว 2 หน ก็คืนได้เลย ถ้าเราทำได้ดี ราคาอย่างปีที่แล้วมันก็พอได้”
กระจายความเสี่ยง กระจายรายได้
หากย้อนกลับไปดูเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ชาวนาฟางลอยยังรอเกี่ยวข้าวซึ่งเลยกำหนดมาเกือบเดือนแล้ว ส่วนชาวนาปรังก็รอน้ำลดเพื่อหว่านข้าวปลูกทำนาปรังครั้ง 1 อย่างจดจ่อ
ในช่วงนี้เองที่ชาวนาในทุ่งแห่งนี้มีความสับสนกับข่าวที่ว่าจะใช้ทุ่งนาทั้งหมดรอบเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาเป็นแหล่งรับน้ำ โดยรัฐยอมจ่ายค่าเช่านา ค่าชดเชยความเสียหาย และค่าเสียโอกาส [10]
เจ้าของนาบางรายต้องการเรียกนาเช่ากลับมาทำนาเองเพื่อขายข้าวเข้าโครงการรับจำนำครั้งที่ 2 ที่จะเปิดโครงการในระหว่าง 1 มีนาคม – 30 กันยายน 2555 แต่หลังจากนั้นไม่นาน ชาวนาก็ได้ยินข่าวเตือนภัยแล้งด้วยเช่นกัน แรงจูงใจจากราคาขายข้าวเข้าโครงการรับจำนำ จึงได้การกระจายที่นาจากผู้ถือครองที่ดินมายังผู้ทำนาเช่า เจ้าของนาเปิดโอกาสให้ผู้เช่าได้รับผลกำไรจากการขายข้าว หรืออาจจะกลายเป็นการรองรับความเปราะบางที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย ดังจะเห็นได้ว่า ใน ปี 2555 นี้ มีการเช่านาทำนาปรังทั้ง 2 ครั้ง โดยมีสัดส่วนผู้เช่านาเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ส่วน นาฟางลอยใน ปี 2555/56 นี้แม้จะมีพื้นที่เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2554/55 แต่ก็ยังน้อยกว่าปี 2553/54 ในขณะที่สัดส่วนผู้เช่านาก็เพิ่มขึ้นจากปี 2554 และ 2553 (ดูตารางข้างล่าง)
ความเสี่ยง และโอกาส จากความเปราะบางของการลงทุนครั้งใหม่
ยิ่งดูการปรับตัวรับมือกับน้ำท่วมและภัยแล้ง และการตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่นาปีเป็นนาปรังของสนิท สภาพโชติ ชาวนาวัย 62 ปี ซึ่งทำนามาตั้งแต่จบชั้นประถม โดยทำนาทั้งใน ทุ่งลาดชะโด ม. 9 และ ต.ลาดชิด และดูแลนาทั้งหมดของครอบครัว ก็ยิ่งน่าสนใจ
ตั้งแต่หลังน้ำลดลงจากวิกฤตมหาอุกภัย และต้องเผชิญภัยแล้งมาเมื่อเดือนมีนาคม 2555 เป็นต้นมา สนิทก็ตัดสินใจยกคันนาสูงเพื่อกั้นน้ำเข้า –ออก ปรับพื้นนาให้เรียบ และขุดลำรางเล็กๆเข้าไปในแปลง พื้นที่นาปรังครั้งที่ 1 ของเขาเพิ่มขึ้นอีก 9 ไร่ 2 งาน
ลูกชายคนโตของสนิท , สิทธิ สภาพโชติ ผู้ใหญ่บ้าน วัย 36 ปี เพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้ใหญ่ ม. 9 ต.หนองน้ำใหญ่ หลังลงสมัครเลือกตั้งครั้งที่ 2 เมื่อปี 2552 ก่อนหน้านั้นเขาเดินหันหลังจากตำแหน่งนายช่างโรงงาน 6 แห่ง หลังจากเรียนจบสถาบันราชภัฎพระนครศรีอยุธยา เพราะใจไม่รัก แล้วกลับมาทำนาเป็นอาชีพรอง ปี 2555 นี้ ผู้ใหญ่สิทธิ ขึ้นทะเบียนนาปรังครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้นเป็น 51 ไร่ 3 งาน และแม้จะมีสภาพอากาศค่อนข้างแล้ง แต่ครอบครัวสภาพโชติก็ได้ผลผลิตจากนาปรังปีนี้ดี ผลผลิตที่ได้ส่วนใหญ่ได้ ไร่ละ 1 ตัน ยกเว้นเพียงแปลงเดียวซึ่งมีขนาด 4 ไร่ ได้ข้าวแค่ 3.09 ตัน หรือ 77.25 ถัง/ไร่ ในขณะที่โครงการรับจำนำข้าวที่นี่รับรองข้าวชาวนาในโครงการไร่ละ 74.1 ถัง ไม่เกินครอบครัวละ 500,000 บาท [11] (ดูตารางข้างล่างนี้)
สาเหตุที่ครอบครัวสภาพโชติตัดสินใจเปลี่ยนมาทำนาปรังเพิ่มขึ้นคือ ความแปรปรวนของน้ำที่ขึ้นลงไม่แน่นอนมีมากขึ้น ต้นปี 2555 น้ำลงช้ากว่าปกติ 10 กว่าวัน ทำให้ต้องเลื่อนทำนาปรังช้าไป ต้องรอน้ำแห้งก่อนจึงเกี่ยวข้าวนาฟางลอยแล้วจึงเริ่มทำนาปรัง ส่วนปี 2556 นี้ น้ำลงไวกว่าปกติเกือบเดือน จากแต่ก่อนนาปรังครั้งที่ 1 จะเริ่มปลูกได้ช่วง วันที่ 15 – 16 มกราคม ก็เลื่อนมาปลูกกันวันที่ 18 ธันวาคม
“น้ำลงไวจัดทำให้ผลผลิต(ข้าวฟางลอย)ไม่ได้เท่าที่ควร ข้าวยังไม่ทันออกรวงดีก็ขาดน้ำ นาปี 100 ไร่ ได้ 20 ตัน บางที 10 ไร่ ได้เกวียนกว่าๆ ได้ใกล้เคียงกับปีน้ำท่วมใหญ่ ปี 54 นาปีผลผลิตขั้นต่ำมันควรอยู่ที่ไร่ละ 30 ถัง แต่ทางเกษตรตีประเมินให้(ผลผลิต)ไร่ละ 74 ถัง เท่ากับนาปรัง”
เขาเล่าถึงความขัดแย้งเรื่องความต้องการน้ำ ระหว่างคนที่ทำนาปีกับนาปรังไว้ด้วยว่า ทุกปี นาปีกับนาปรังมีความขัดแย้งเรื่องน้ำกัน 2 ครั้ง ครั้งที่1 คือช่วงที่นาปรังครั้งที่ 2 เก็บเกี่ยว (ปลายสิงหาคม-ต้นกันยายน) นั้น นาปรังต้องการไม่ให้น้ำเข้านา แต่ชาวนาฟางลอยที่ปลูกข้าวอยู่ด้านในต้องการน้ำ เพราะต้นข้าวกำลังจะแตกกอและพร้อมจะยืดตัวไปกับระดับน้ำที่ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นที่ละ 1 - 2 ซม. และครั้งที่ 2 คือช่วงที่ข้าวฟางลอยจะเก็บเกี่ยวข้าวขายปลายฤดู (ต้น – กลาง เดือน มกราคม) ชาวนาฟางลอยก็จะขอให้ทางชลประทาน เลื่อนชะลอปิดประตูระบายน้ำออกจากทุ่งให้ช้าลง แต่ชาวนาปรังต้องการให้น้ำลงไว เพื่อที่จะได้รีบทำนาปรังครั้งที่ 1 ให้ได้เกี่ยวข้าวก่อนฤดูแล้งที่จะมาถึง คือกลางเมษายน และหากมีน้ำเพียงพอก็จะเริ่มทำนาปรังครั้งที่ 2 ได้อีกในช่วงปลายเมษายน-ต้นพฤษภาคม เพื่อให้ได้เกี่ยวทันก่อนี่น้ำจะมาในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคม – ต้นกันยายน
ผู้ใหญ่สิทธิ คาดการณ์ว่า นาปีในทุ่งนาที่เขามีหน้าที่รับขึ้นทะเบียนนี้จะลดลง แต่จะค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นนาปรัง และอาจจะเหลือเพียงแค่ราว 500 ไร่ และค่อยๆ หายไป
หากยังข้องใจว่า โอกาสและความเปราะบางจากการทำนาปรังในทุ่งแห่งนี้มันคุ้มค่าพอจะเสี่ยงหรือไม่ เราลองดูตารางเปรียบเทียบต้นทุนและกำไรจากการขายข้าวนาปรังครั้งที่ 1 ปี 2554 ในโครงการประกันราคา กับ ปี 2555 ในโครงการจำนำข้าวครั้งที่ 2 ของผู้ใหญ่สิทธิ ซึ่งมีนาเป็นของตนเองดูสักน่อย โดยการคำนวณนี้ได้จำลองรูปแบบการผลิตของการประเมินความเสี่ยงช่วงที่มีแมลงแพร่ระบาดแพร่ระบาดสูง ปี 2552-53 (มีการฉีดพ่นสารกำจัดแมลงถึง 6 ครั้ง) แต่ใช้ราคาต้นทุนการผลิต ณ ปีการผลิตนั้น ก็ทำให้เราเห็นว่า ต้นทุนการผลิตข้าว/ตัน และ ต้นทุน/ไร่ เพิ่มขึ้น 4.5 และ 5 % ซึ่งต้นทุนที่เพิ่มมาจากค่าพันธุ์ข้าวและค่าปุ๋ยเคมี และค่าแรง ส่วนกำไร/ไร่ และกำไร/ตัน นั้นเพิ่มขึ้นสูงขึ้นถึง 60 % (ดูตารางข้างล่าง)
จึงไม่น่าแปลกใจว่าผืนนาข้าวนาฟางลอยที่หมดอนาคตไปแล้วนั้นทำไมจึงค่อยๆ กลับฟื้นคืนชีพอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้งในรูปแบบของการทำนาปรัง ในขณะที่ 39 – 40 % ของต้นทุนการผลิตทั้งหมดนั้นยังกระจายไปยังกลุ่มผู้รับจ้างในอุตสาหกรรมข้าวแห่งนี้ด้วย (โปรดติดตามตอนหน้า)
[1] บทความชุดที่สังเคราะห์ขึ้นจาก กรณีศึกษา “โครงการจำนำข้าว: โอกาสและกลยุทธ์การลดต้นทุนและพัฒนาการผลิตของชาวนารายย่อยและแรงงานในอุตสาหกรรมข้าว” กรณีศึกษา ต.หนองน้ำใหญ่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา และ ต.สระแก้ว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ระหว่าง มกราคม – พฤษภาคม 2556 โดยการสนับสนุนของ ประชาไท และ ศูนย์ศึกษาสังคมและวัฒนธรรมร่วมสมัย คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
[2] ปกติในทุ่งนี้จะเริ่มปลูกข้าวหลังน้ำลด หรือ “ปลูกไล่น้ำ” ในช่วง มกราคม – เมษายน นับเป็นปรังครั้งที 1 และหากมีน้ำเพียงพอ ก็จะเริ่มทำนาปรังครั้งที่ 2 ในช่วงปลายเมษายน – พฤษภาคม เพื่อจะเก็บเกี่ยวให้ทันก่อนที่น้ำจะท่วมหลากเข้าทุ่งในช่วงปลายสิงหาคม-ต้นกันยายน หรือ “ปลูกหนีน้ำ” ส่วนนาฟางลอยนั้น ในอดีต จะปลูกเมษายน แล้วเกี่ยวต้นมกราคม แต่ปัจจุบันเนื่องจากมีปัญหาความขัดแย้งเรื่องน้ำกับชาวนาปรังที่ทำนาอยู่ริมขอบทุ่งลาดชะโด จึงทำให้ต้องเลื่อนการหว่านสำรวยพันธุ์ข้าวฟางลอยมาเป็นเดือนพฤษภาคมแทน
[3] รายงาน ก.ช.ภ.อ.ผักไห่ ครั้งที่6/2553 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2553 , สำนักงานเกษตรอำเภอผักไห่
[4] รายงานสรุปจำนวนแปลง วันที่เก็บเกี่ยวข้าวปี 2553/54 ตัดยอดข้อมูลวันที่ 12 พฤศจิกายน 2553 , สำนักงานเกษตรอำเภอผักไห่
[5] ผลการเลือกตั้ง http://news.thaibizcenter.com/hotnews.asp?newsid=10336
[6] ราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญที่ขายได้ที่ไร่นา กรกฎาคม 2554 , ศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร , กรกฎาคม 2554 ดูที่ http://http.www.oae.go.th/download/pricepdf/priceJuly%2054.xis.pdf
[7] ต่างชาติชี้นโยบายจำนำข้าวทำราคาข้าวพุ่งสูงขึ้น Voice TV 15-08-56 http://news.voicetv.co.th/business/16372.html
[9] เสน่ห์ได้ขายข้าวที่เกี่ยวเมื่อต้นกุมภาพันธ์ในโครงการรับจำนำครั้งที่ 1 ปี 2554/55 ซึ่งเริ่มระหว่างวันที่ 7 ตุลาคม 2554 – 29 กุมภาพันธ์ 2555
[10] ก.เกษตรฯคลอดแผนชดเชยพื้นที่รับน้ำนอง ศูนย์ข่าวเพื่อชุมชน 30-03-55
[11] มีระเบียบการขึ้นทะเบียนว่า หากเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เช่น พ่อ , ลูก , ญาติ จะต้องมีทะเบียนบ้านคนละทะเบียน และผู้ขึ้นทะเบียนต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)