Skip to main content
sharethis
หมายเหตุ: เมื่อวานนี้ (15 มี.ค.) ที่รัฐสภา นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ได้อภิปรายภาพรวมของญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเป็นคนแรก และต่อมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายรัฐบาล อภิปรายชี้แจง

000

 

มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ
ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย

"ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา 27 คนของในประเทศไทยก่อหนี้ไว้ 8.6 แสนล้านบาท แต่นายกฯอภิสิทธิ์ กู้และก่อหนี้ 1.4 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย นายกฯ จะใช้หนี้อย่างไร เพราะมีแต่การกู้และการทุจริตเท่านั้น นอกจากนี้รัฐบาลยังสร้างหนี้นอกระบบ โดยผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง และตอนนี้ดอกเบี้ยทะลุ 2 แสนล้านบาทแล้ว ดังนั้นนายกฯ ไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้อีกต่อไปแล้ว"

 

การอภิปรายต่อจากนี้ไปจะเป็นการอภิปรายการบริหารงานที่ล้มเหลวของนายกฯ ที่ทำให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศไทย และก่อให้เกิดการทุจริตอย่างมากมาย ความล้มเหลวดังกล่าวนอกจากทำให้เกิดการทุจริตการไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิด ผลเสียอย่างกว้างขวาง ทั้งเศรษฐกิจระบบจุลภาคและมหัพภาค ทั้งข้าวยากหมากแพง ก่อให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เริ่มจากเรื่องปากท้องประชาชน ข้าวยากหมากแพง อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะเรื่องปาล์มน้ำมัน เครื่องมือเครื่องใช้และสบู่ถูกตัวและสินค้าอื่นๆ ที่ขึ้นราคา และยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อน้ำมันไบโอดีเซล และที่สำคัญกระทบราคาน้ำมันทั้งระบบ และกำลังจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นราคาแก๊สหุงต้มและเอ็นจีวี จึงอยากให้ประชาชนรับฟังข้อมูลอย่างเป็นธรรม

การขาดแคลนน้ำมันปาล์มทำให้เกิดผลกระทบหลายอย่าง อยากตั้งข้อสังเกตว่า สต๊อกน้ำมันปาล์มลดลงต่ำกว่าระดับเฝ้าระวังต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 และสต๊อกน้ำมันน้ำมันปาล์มลดลงสู่จุดวิกฤต ในเดือนธันวาคม 2553 แต่ทำไมเพิ่งมาอนุมัติการนำเข้าเมื่อเดือนมกราคม 2554 และสังเกตไม่ว่าผู้ปลูกปาล์มและส่งออกรายได้ของโลกประกอบด้วย มาเลเซีย อินโดนีเซียและไทย

แต่มาเลเซีย อินโดนีเซียมีการกำหนดประเภทของน้ำมันปาล์มหลากหลายมีมาตรฐานราคาที่ชัดเจน แต่ทำไมรัฐบาลไทยตัดสินใจนำเข้าจากพ่อค้าคนกลางของสิงคโปร์ซึ่งถือว่าเป็น นัยยะสำคัญในการทุจริต ทั้งที่ผลผลิตปาล์มในประเทศไทยพอต่อการบริโภคและส่งออก แบ่งไปทำไบโอดีเซลได้ แต่ปรากฏว่ารัฐบาลนี้ทำให้พัง ประชาชนต้องแบกค่าใช่จ่ายน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกระทบค่าครองชีพอย่างรุนแรงน้ำกระทบต่อโครงสร้างของน้ำมัน และดูเหมือนว่าเกิดวิกฤตรุนแรงราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่อยู่ๆ ก็มีเจตนาดีแต่เป็นเจตนาดีประสงค์ร้าย เมื่ออยู่ๆ ก็มีน้ำมันขวดสีชมพู ขอตั้งเครื่องหมายคำถามว่าเงินไปตกอยู่ที่ใคร เพราะราคาโครงสร้างน้ำมันผันผวนอย่างหนัก และเกิดหนี้ก้อนใหญ่ที่ค้างอยู่จะสะเทือนสถานะของปตท.แน่นอน เมื่อรัฐบาลเอาเงินกองทุนน้ำมันมาใช้จนหมด อย่างก๊าซแอลพีจีถ้าไม่ช่วยราคาจะขึ้นแบบก้าวกระโดด การบริหารแบบนี้ถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหาศาล หากท่านหยุดชำระหนี้ ท่านจะสร้างหนี้ผูกพันมหาศาล

มีการสำรวจไปถามคน 100 คน ปรากฏว่าคน 72 คนบอกว่าเป็นการขาดแคลนน้ำมันปาล์มที่เกิดจากการทุจริต และมีข่าวลือว่ามีการนำน้ำมันปาล์มเถื่อนเข้ามาก่อน จาก 3 บริษัท ซึ่งเรื่องนี้จะมีการอภิปรายแน่นอน และอยากทราบว่าการอนุมัติปาล์มเข้ามา 30,000 ตันจริงแล้วต้องผลิตได้ 60 ล้านขวด แต่เหตุใดจึงผลิตได้เพียง 44 ล้านขวด แล้ว 16 ล้านขวดหายไปไหน

ตอบง่ายๆ ท่านขาดประสบการณ์หรือบริหารไม่เป็นหรือกำลังปล้นประชาชน ถ้วนหน้าไม่เว้นเศรษฐีหรือยาจก เรื่องทั้งหมดจะส่งไปยังป.ป.ช. และต้องยอมรับว่าความล้มเหลวในการบริหารน้ำมันปาล์มปฏิเสธไม่ได้ว่าเชื่อม โยงกับการบริหารกลไกน้ำมันและก๊าซของประเทศ นายกฯต้องการตรึงนราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 30 ต้องใช้เงินอุดหนุนลิตรละ 5 บาท สมมติว่าเราใช้น้ำมัน 7 ส่วน 2 ส่วนเป็นน้ำมันเบนซิน อีก 5 ส่วนเป็นน้ำมันดีเซล เพราะฉะนั้นถ้าน้ำมันดีเซลเกิดผลขึ้นประชาชนต้องมีผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งการบริหารน้ำมันปาล์มทำให้โครงการไบโอดีเซลเกือบจะระงับยับยั้งลง รัฐบาลต้องนำเงินไปอุดหนุนลิตรละ 5 บาท วันนี้เงินกองทุนน้ำมันถึงวันที่ 14 มี.ค. 54 เหลือไม่ถึง 4,800 ล้านบาท ใช้ได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์สิ้นเดือนมี.ค.เงินจะหมดในกระเป๋าแล้ว ขอย้ำไม่มีอีกแล้ว ซึ่งฐานะกองทุนน้ำมัน ตัวเลข ณ วันที่ 14 มี.ค.54 เงินสดในบัญชีอ้างว่ามีอยู่ 32,082 ล้านบาท ปรากฏมีหนี้สินกองทุนต่างๆ ไม่ได้ชำระ 14,282 ล้านบาท

เพราะฉะนั้นถ้าหักฐานะของกองทุนทั้งหมดเบื้องต้นจะเหลือ 17,800 ล้านบาท แต่ฐานะของกองทุนที่มีมติไปแล้วว่าต้องชำระหนี้แต่ยังไม่มีการเบิกจ่ายอยู่ 13.000 กว่าล้านบาท เพราะฉะนั้นสถานภาพของกองทุนสุทธิจึงมีไม่ถึง 4,800 ล้านบาท ขอยืนยันตัวเลขแท้จริงปรากฏเป็นหลักฐานสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ไม่บิดเบี้ยวหรือเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นภายในไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้น้ำมันดีเซลจะเกิดอะไรขึ้น

ตัวเลขน่าสะพรึงกลัวที่รัฐบาลกำลังทำไว้กับประชาชน กองทุนน้ำมันสะท้อนการบริหารจัดการและฝีมือในการบริหารจัดการประเทศ เงินไหลออกจากกองทุนน้ำมัน 1 วัน 300 ล้านบาท 10 วัน 3,000 ล้านบาท 1 เดือนจ่ายออก 9,000 ล้านบาท วันนี้กองทุนน้ำมันไม่ถึง 4,800 ล้านบาทเพราะฉะนั้นน้ำมันดีเซลจะเข้าสู่ภาวะวิกฤตแน่นอน ยกเว้นจะไปกู้หนี้ยืมสินแบบมโหฬารครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์อีกครั้งเอามาโปะ ราคาน้ำมัน ตัวเลขนี้ต้องการเตือนสติในการแก้ไขปัญหา ถ้าไม่ท่านไม่พร้อมในการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคฝ่ายค้าน พรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจให้ดีท่านต้องการผู้ใดขึ้นมาบริหารประเทศ”

ถ้าเงินกองทุนหมดรัฐบาลจะเกิดการชักดาบ ขณะนี้ ปตท.ถูกสถาบันมูดี้ส์ลดความน่าเชื่อถือทางการเงินลง นั่นเป็นการสั่นสะเทือนสถานภาพของปตท.เรียบร้อย และจะต้องลดลงไประยะยาวถ้าปตท.ไม่ชำระหนี้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเงินกองทุนน้ำมันจะมีผลต่อค่าใช้อย่างรุนแรงและไม่เคย ปรากฏก่อน เพราะฉะนั้นราคาน้ำมันดีเซลขึ้นไปถึง 36บาทแน่นอน และก๊าซแอลพีจีก็จะราคา 30 บาทคนหุงต้มจะอยู่ได้อย่างไร นี่มหันตภัยอย่างรุนแรง ดังนั้นรัฐบาลคงไม่ปล่อยต้องกู้เงินมาเพิ่มเพื่อเสริมสภาพคล่องเข้าไป 2-3 เดือน เป็นหนี้มหาศาลให้รัฐบาลต่อไปรับภาระ ทั้งๆ ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์โชคดีมีเวลาทำงาน 800 วันในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบไม่แพงเมื่อเทียบกับรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ สมัยท่านราคาน้ำมันดิบอยู่ 32 เหรียญต่อบาร์เรลถือว่าโคตรถูกเมื่อเทียบกับรัฐบาลนายสมัครราคาน้ำมันดิบ อยู่ที่ 110 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ไมได้ทำให้คนไทยมีความสุขให้ประชาชนแม้แต่น้อย และจะทำให้ในอนาคตเราต้องกินไข่เจียว 20 บาทเป็น 30 บาทแน่นอน

ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ที่น้ำมันราคาแพง เพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ขึ้นเพดานภาษีสรรพสามิต น้ำมันดีเซลจาก 4 บาทเป็น 10 บาทและน้ำมันเบนซินจาก 5 บาทเป็น 10 บาท จึงขอยืนยันว่าบัญชีมีสองหน้า รัฐบาลนี้จะหมดสิ้นงบประมาณในกองทุนน้ำมันหมดในสิ้นเดือน มี.ค.แน่นอน

จะเห็นว่ารัฐบาลนี้ล้มเหลวในการบริหารน้ำมันอย่างสิ้นเชิง วันนี้ทุกไทยทุกคนจะต้องลิ้มรสข้าวยากหมากแพงขึ้นทุกขณะ เพื่อยืนยันข้อมูลตรงนี้ไม่ต้องให้กองงานโฆษกหรือรองนายกฯหรือนายกฯ มาแก้แต่อย่างใด เพราะข้อมูลกองทุนน้ำมันเปิดเผยชัดเจน ตนไม่ได้บิดเบือนข้อมูล ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พูดมาเป็นจุดวิกฤต จุดเสื่อมสลายความอ้อนด้อยในการบริหารและหายนะกำลังพุ่งเข้ามา มองเผินๆ ราคาน้ำมันปาล์มราคาสูงไม่มีอะไร แต่กองทุนน้ำมันกำลังจะหมด สภาพคล่องกำลังจะหมดไป

ปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ นายมิ่งขวัญได้มีการเปรียบเทียบราคาข้าวสมัยนายมิ่งขวัญเป็น รมว.พาณิชย์ดูแลเรื่องข้าวซึ่งมีราคาสูงกว่าสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ โดยนายมิ่งขวัญกล่าวว่า สมัยตนราคารับจำนำข้าวเปลือกข้าวเจ้า 14,000 บาทต่อเกวียน ขณะที่ข้าวสารอยู่ที่ 30,000 บาทต่อเกวียน แต่รัฐบาลนี้ประกันราคาข้าวอยู่ที่ 10,000 บาทต่อเกวียน แต่ขายได้จริงๆ อยู่ที่เกวียนละ 6,000-7,000 บาท บางจังหวัดได้ 5,700 บาท ทำให้ชาวบ้านเอาข้าวมาเทที่ถนนก่อนที่รัฐบาลจะแถลงนโยบาย 3 วันเท่านั้น ถามว่าอีก 4,000-5,000 บาทหายไปไหน เพราะในสมัยรัฐบาลสมัคร มีการรับจำนำ 1.4 หมื่นบาท โดยราคาขายจริงมากกว่า 1.4 หมื่นบาท สถานการณ์แบบนี้พ่อค้าคนกลางกดราคาใช่หรือไม่

อีกทั้งยังมีปัญหาสต็อกลมที่นางพรทิวา นาคาศรัย รมว.พาณิชย์บอกว่ามี 6 ล้านตัน แต่กลับไม่มีข้าวจริง และการประกาศขายข้าว 4 ล้านตัน ก่อนการเก็บเกี่ยวมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง และมีการทุจริตเกิดขึ้น เรื่องนี้จึงเป็นความอัปยศในการค้าข้าว นอกจากนี้ได้อภิปรายในประเด็นการแก้ไขไข่แพง ด้วยการนำไข่มาชั่งกิโลขาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรากำลังเข้าสู่ปัญหาข้าวยากหมากแพง และยืนยันว่าตนเป็นผู้นำในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และตนพยายามทำให้เป็นระบบ และข้าราชการเขาทนไม่ได้ที่มีการทุจริตเกิดขึ้น ทำให้ตอนที่ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายนั้นมีเอกสารหลักฐานการทุจริตหลั่งไหลเข้า มา ดังนั้นการอภิปรายครั้งนี้จะไม่มีการขี่ม้าเลียบค่ายแน่นอน

นายมิ่งขวัญ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ ล้มเหลวเรื่องการบริหารการเงินการคลัง เพราะทำให้เกิดหนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติการณ์ โดยเฉพาะการตั้งงบ 2.07 ล้านบาทในปีงบประมาณล่าสุดที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะรัฐบาลฟุ่มเฟือย โดยมีงบลงทุนเพียง 16% เพียง 3.4 แสนบาท สร้างเศรษฐกิจให้เติบโตไม่ได้ 

ทั้งนี้เพราะทุกรัฐบาลที่ผ่านมา 27 คนของในประเทศไทยก่อหนี้ไว้ 8.6 แสนล้านบาท แต่นายกฯอภิสิทธิ์ กู้และก่อหนี้ 1.4 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย นายกฯ จะใช้หนี้อย่างไร เพราะมีแต่การกู้และการทุจริตเท่านั้น นอกจากนี้รัฐบาลยังสร้างหนี้นอกระบบ โดยผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง และตอนนี้ดอกเบี้ยทะลุ 2 แสนล้านบาทแล้ว ดังนั้นนายกฯ ไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้อีกต่อไปแล้ว

ยังมีกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าไปแทรกแซงองค์กรในกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินคดีผู้กระทำผิดในคดีอาญาใน ข้อหาแสดงภาษีอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี กรณีบริษัทฟิลิป มอร์ริส ซึ่งทำให้รัฐเสียประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีเป็นเงิน 68,881,394,278.69 บาท ทำให้รัฐเสียหาย เรื่องนี้ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้อภิปราย ซึ่งหากนายกฯ ตอบเรื่องนี้ไม่ได้ต้องลาออกกลางสภาฯ

การอภิปรายครั้งนี้จะมีการอภิปรายการทุจริตในหลายๆ เรื่อง ทั้ง การทุจริต รถเมล์เอ็นจีวี หวยกาชาด รวมถึงเรื่องการออก พ.ร.ก.เงินกู้ไทยเข้มแข็ง 400,000 ล้าน ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนการใช้งบประมาณเพิ่มเติมที่ใช้เงินเกินงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพราง นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่นายกฯสั่งสลายม็อบ ซึ่งเป็นการฆ่าประชาชน ใครทำอะไรไว้ต้องรับ สิ่งเหล่านั้นต้องได้รับการเปิดเผย

การอภิปรายครั้งนี้ขอให้ประชาชนเปิดใจกว้างรับฟังข้อมูลทั้งสองฝ่าย อย่าปิดบังอย่าเซนเซอร์ข้อมูลแล้วจะรู้ว่าความจริงคืออะไร สุดท้ายนี้อยากฝากบอกนายกฯว่า หมดเวลาก่อหนี้ หมดเวลาอยู่ต่อไป และหมดเวลาของนายอภิสิทธิ์แล้ว และเชื่อว่าจะคืนไมโครโฟนให้ผมได้พูดอีกครั้งในเวลา 21.00 น.ของวันศุกร์ แล้วตนจะรอฟังการชี้แจงของนายกฯและรัฐมนตรีอย่างใจจดใจจ่อ

 

000

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี

“ผมยืนยันว่าการที่เรากู้ มาและกระตุ้นเศรษฐกิจจนรายได้ฟื้น และขณะนี้ฐานะทางเงินคงคลังดีขึ้น และรัฐบาลก็ยืนยันในการเดินเข้าสู่การมีงบสมดุลในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เป็นแนวทางที่ถูกต้องในการบริหารเศรษฐกิจ” 

 

ท่านประธานที่เคารพกระผมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีโดยข้อเท็จจริงแล้ววันนั้นผมก็ตอบท่านด้วยไมตรี ไม่นึกว่าจะเป็นความแค้นถ้ามีความแค้นจะเกิดขึ้นก็คงต้องบอกว่าไม่ได้เกิด ขึ้นจากผม เกิดขึ้นจากความจริงที่ผมได้นำเสนอเท่านั้นเอง วันนี้ก็เช่นกัน ผมอยากจะกราบเรียนว่าผมไม่ใช่คำเดิม แต่ผมต้องใช้ว่าข้อมูลของท่านก็ยังเป็นข้อมูลที่มีการตกแต่งหรือตัดต่อ เพราะข้อเท็จจริงที่จะต้องมีการดำเนินการต่อไป คือการมาดูภาพรวมอย่างชัดเจน ท่านอภิปรายไว้ 5 ประเด็น ประเด็นสุดท้ายท่านเน้นกลับไปในเรื่องเดิมซึ่งผมเคยชี้แจงแล้วในเรื่องของ ปัญหาการกู้ และปัญหาหนี้สิน ตัวเลขท่านพูดถูก บอกว่าเอามาจากหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้ แต่วิธีการนำเสนอการใช้เหตุผลประกอบ หรือการชวนให้คนคิดไปสู่ข้อสรุปที่ไม่ตรงข้อเท็จจริงต่างหาก คือปัญหาที่จำเป็นจะต้องพูดกัน และผมดีใจ ผมดีใจว่าวันนี้ท่านพูดชัดเจนว่าท่านพูดที่ท่านเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีเรา ก็จะได้เปรียบเทียบแนวคิดหลักการ วิสัยทัศน์ ในการบริหารประเทศ

ผมเองก็กราบเรียนว่าเรื่องที่ท่านพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ทั้ง สิ้น เพียงแต่ว่าท่านไม่ได้อภิปรายครอบคลุมเป็นถึงประเด็นอื่น ๆ ที่เพื่อนสมาชิก ฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติมาและก็เป็นเรื่องหลักในการถอดถอนผมก็คือเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ก็เข้าใจว่าคงจะมีสมาชิกท่านอื่นมาอภิปรายว่า แต่ผมกราบเรียนว่าที่ท่านบอกว่าจำเป็นต้องมาอภิปรายซ้ำในปีนี้ ผมก็ขอเรียนว่าในฐานะที่ท่านจะเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีท่านก็ควรจะมีจุดยืน ที่ชัดเจนเช่นเดียวกันว่า ท่านมีความคิดอย่างไร ต่อการปลุกระดมให้เกิดการเผาบ้านเผาเมือง ท่านมีความคิดอย่างไรกับการที่มีความพยายามที่จะเอาสร้างความแตกแยกเพิ่ม เติมในสังคม เพราะผมเชื่อว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีที่จะมีความ สำคัญมากที่จะบริหารประเทศต่อไป แต่ผมจะผ่านประเด็นนั้นไปก่อน เพราะว่าจะชี้แจงในช่วงที่มีการอภิปรายในเรื่องนั้น กลับมา 5 เรื่องหลักที่ท่านพูด

เรื่องแรกเรื่องหนี้ผมจะใช้วิธีย้อนกลับไป เรื่องหนี้สิน เรื่องการกู้เงินท่านก็พยายามพูดบอกว่าผมในฐานะนายกรัฐมนตรีกู้มากที่สุด เปรียบเทียบเป็นปีได้เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง แต่ไม่รู้จักวิธีการหาเงิน ทำไมท่านไม่เอาตัวเลขการหาเงินเข้าประเทศ เรื่องการส่งออก กับการท่องเที่ยวมาให้พี่น้องประชาชนทราบ ว่าปี 2553 ที่ผ่านมาการท่องเที่ยวมีตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้ามาจากต่างประเทศสู่ประเทศ ไทยสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ ทำไมท่านไม่พูดบ้างล่ะครับว่าตัวเลขของการส่งออกเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดใน ประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน และพูดง่าย ๆ ก็คือการหารายได้เข้าประเทศ ถ้าดูจากบัญชีการส่งออก และการบริการก็เป็นการมีรายได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน ท่านเอาที่ไหนมากล่าวหาว่ารัฐบาลนี้ไม่หารายได้ และท่านก็ต้องเข้าใจดีอยู่แล้วตัวเลขจะเป็น งบประมาณ จะเป็นรายได้ จะเป็นการส่งออก การท่องเที่ยว หนี้สิน มันเติบโตของมันโดยลำดับอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ถ้ารองท่านเองเรื่องของการหารายได้มาบอกเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง ผมก็ได้หมดอีกแหละครับ แต่ท่านไม่พูด ท่านพูดให้เกิดความเข้าใจว่ามันเป็นเฉพาะเรื่องหนี้สินเป็นเรื่องของการกู้ เงิน ไม่ใช่ครับ และตัวเลขที่ท่านพูดวันนี้ก็สะท้อนวิสัยที่ต่างกันระหว่างท่านกับผม

ผมบริหารประเทศผมทราบดีว่าไม่เหมือนบริหารธุรกิจ ตัวเลขการขาดดุลรายได้ ตัวเลขการตัดสินใจการกู้ยืมเงินของรัฐบาลมันคิดแบบธุรกิจไม่ได้ วิสัยทัศน์ซึ่งผมไม่ทราบว่าท่านโต้แย้งหรือไม่ก็คือว่ายามใดที่เศรษฐกิจตก ต่ำประชาชนยากลำบากรัฐบาลต้องเข้าไปเป็นหนี้ และถ้าเราทำอย่างนี้แล้วเศรษฐกิจฟื้นเร็วในที่สุดหนี้ของรัฐบาลก็จะลดลง ในทางตรงกันข้ามในยามที่ยากลำบากวันที่ฝ่ายท่านออกจากตำแหน่งไป และเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ถ้าวันนั้นรัฐบาลไม่เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจกู้หนี้ยืมสินแล้ว พี่น้องประชาชนจะยากลำบากมาก คนจะตกงานอย่างที่ท่านเคยพูดไว้ 1 ล้านคน 2 ล้านคน เขาจะไม่มีรายได้ แล้วในที่สุด รัฐบาลก็เป็นหนี้อยู่ดี เพราะเขาจะไม่มีภาษีจ่ายให้กับรัฐบาล ถ้าพูดถึงเรื่องวิสัยทัศน์แนวคิดทางเศรษฐกิจต้องพูดกันอย่างนี้ และผมก็ยืนยันว่าจากการที่เรากอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2551 ปลายปีมาจนถึงปัจจุบัน สถานะการเงินของประเทศ การคลังของประเทศ ไม่ได้แย่ลงอย่างที่ท่านพูด และตัวเลขท่านวันนี้ท่านก็มาแก้ตัว 2 จุดที่พยายามเอาตัวเลขว่าของผมสูงกว่านายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ รวมกัน

ประการแรกท่านบอกว่าที่ท่านนายกทักษิณกู้ 7 แสนล้านไม่ให้นับก็เป็นความคิดของท่าน ผมเพียงแต่ถามว่ากู้มา 7 แสนล้าน ความจริงกู้จริงก็ประมาณ 6 แสนกว่าล้านในวันนั้น เอามาใช้หนี้เพื่อช่วยภาคธนาคารเลยไม่ต้องนับใช่ไหมครับ แต่ผมกู้มาเพื่อสร้างงานให้ประชาชนให้ประชาชนมีรายได้ ให้โรงเรียนมีการปรับปรุง โรงพยาบาลมีการปรับปรุง มีถนนไร้ฝุ่น มันผิดใช่ไหมครับ ทำแหล่งน้ำให้ประชาชนมันผิดใช่ไหมครับ ต้องกู้มาใช้หนี้ให้นายธนาคารจึงจะไม่นับเป็นหนี้อย่างนั้นเหรอครับ นี่ก็ 7 แสนล้านที่ท่านบอกว่าของท่านไม่นับ ออกไปดื้อ ๆ เลยครับ แต่ผมก็ยืนยันว่าหนี้ก็คือหนี้ เพียงแต่ว่าจะมาใช้อะไรเป็นคนละประเด็นกับเสถียรภาพว่าหนี้หรือไม่มีหนี้ ผมยืนยันว่าการที่เรากู้มาและกระตุ้นเศรษฐกิจจนรายได้ฟื้น และขณะนี้ฐานะทางเงินคงคลังดีขึ้น และรัฐบาลก็ยืนยันในการเดินเข้าสู่การมีงบสมดุลในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เป็นแนวทางที่ถูกต้องในการบริหารเศรษฐกิจ

นอกจากนั้นท่านยังบอกอีกว่าที่ท่านยกว่าหนี้ของปีงบประมาณ 2552 ที่บอกว่ามีการกู้เงิน 4 แสนกว่าล้านที่มานับรวมให้ยอดในการกู้ในช่วงรัฐบาลผมสูง วันนั้นผมก็ชี้ให้เห็นว่ามันไม่ค่อยเป็นธรรม เพราะว่าเป็นงบประมาณที่รัฐบาลท่านเป็นคนผ่านออกมาเป็นกฎหมาย และก็ขาดดุลไปแล้ว 350,000 ล้าน หรือ 3 แสนล้าน วันนี้ท่านแสดงออกถึงภาวะความเป็นผู้นำของท่าน ท่านบอกว่า 3 แสนล้านนี้ถึงแม้ท่านเป็นคนวางแผนผ่านออกมาเป็นกฎหมายออกมาเป็นงบประมาณไว้ ผมเข้ามามีสิทธิ์ที่จะไม่ใช่ ท่านครับ แปลว่าตอนที่ท่านจัดแล้วขาดดุล 3 แสนล้าน ท่านจัดไว้อย่างนั้นใช่ไหมครับ ไม่ใช้ก็ได้ใช่ไหมครับ แล้วมีเจตนาอะไร ที่จัดไว้ถึง 3 แสนกว่าล้านที่ขาดดุล ถ้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ เจตนาคืออะไร ความรับผิดชอบอยู่ตรงไหน วุฒิภาวะคืออะไร ผมถึงบอกว่าตัวเลขเนี่ยท่านเอามาบวกแบบของท่าน แต่มันไม่ได้บ่งบอกอะไรเลย แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นประเด็นหลักที่เราน่าจะต้องดูมากกว่าเป็นบรรทัดสุด ท้ายในการประเมินว่าที่ทำมาทั้งหมด ในที่สุดแล้วฐานะของบ้านเมืองของประเทศ และในเรื่องของความมั่นคงทางการเงินการคลังเป็นอย่างไร มันไม่ได้จะหายนะอย่างทีท่านพูดหรอกครับ หลักสำคัญที่สุดก็คือว่าหนี้สาธารณะ คือการกู้เงินทั้งหมด การบริหารเงินทั้งหมดของประเทศ เขาดูกันว่าเทียบกับรายได้ของประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวม ผลิตภัณฑ์ประชาชาติ หรือจีดีพี สัดส่วนมันเท่าไหร่ วันที่รัฐบาลท่านายกทักษิณ เพราะว่านั่นเป็นรัฐบาลที่ท่านชอบเปรียบเทียบด้วย ออกไปจากตำแหน่งสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี คือ ร้อยละ 42.75 วันนี้หรือเอาตัวเลขเดือนมกราคมปีนี้ ที่พวกผมบริหารอยู่ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีคือร้อย 41.94 ฐานะประเทศมั่นคงกว่าเมื่อปี 2549 รัฐบาลที่ท่านบอกว่าบริหารการเงินการคลังได้วิเศษสุดมีเวลาบริหารอยู่ 6 ปี ในภาวะซึ่งไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจ แต่พวกผมบริหารในภาวะซึ่งมีวิกฤตเศรษฐกิจและทั่วโลก พี่น้องประชาชนที่ดูข่าวต่างประเทศจะทราบว่ามีกี่ประเทศที่เข้าสู่วิกฤตหนี้ สาธารณะ แต่ผมรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อรายได้ของประเทศให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า วันที่รัฐบาลนายกทักษิณที่ท่านบอกว่าบริหารได้ดีที่สุดออกไปจากตำแหน่ง

ผมเคยกราบเรียนท่านประธานในวันที่ท่านอภิปรายเรื่องนี้ในวันพิจารณางบ ประมาณกลางปี เช่นเดียวกันว่านอกเหนือจากตรงนี้แล้วที่ต้องดูอีกก็คือว่า ถ้าบ้านเมืองนี้กำลังจะล่มสลายคนที่เขาให้กู้เงินกับรัฐบาลเขาจะบอกว่าเรา ไม่น่าเชื่อถือ เราไม่ควรที่จะเป็นคนที่ได้รับการกู้เงิน เขาจะจัดลำดับ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า เครดิตเรทตี้ ตกต่ำลง แต่ที่ผมบริหารขณะนี้เขาปรับเราดีขึ้น แสดงว่าเขายอมรับว่าฐานะของประเทศไทยในขณะนี้มั่นคงขึ้น ผมเชื่อว่าท่านส.ส.มิ่งขวัญท่านเป็นคนติดตามข่าวสารในเรื่องนี้ท่านทราบดี แต่ท่านเลือกจะไม่พูดที่จะนำเสนอตัวเลขทีมาตรฐานของสากล ที่นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการเขาใช้กันในการประเมินฐานะของประเทศ เพื่อมาบอกความจริงให้พี่น้องประชาชนทราบ ไม่หายนะหรอกครับ และที่ท่านบอกว่าเมื่อมีการกู้เงินบริหารกันมาอย่างนี้ผมต้องก้มหน้ารับ ผมยืนยัน ผมจะรับผิดชอบตรงนี้ ถ้าท่านคิดว่าตัวเลขอย่างนี้บริหารแล้วหายนะท่านบอกประชาชน ผมจะไปบอกประชาชนในการเลือกตั้งว่าผมบริหารให้มั่นคงได้ต่อไปอย่างแน่นนอน ผมยินดีที่จะรับผิดชอบตรงนี้ต่อไป เพราะผมมั่นใจว่าขณะนี้แนวทางการแก้ปัญหาในเรื่องความมั่นคงของเศรษฐกิจใน ภาพรวมนั้นเป็นเรื่องที่เราได้ดำเนินการมาเป็นที่ยอมรับ และสามารถบริหารจัดการต่อไปได้ แต่แน่นอนปัญหาในเรื่องของความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เรื่องของแพง เรื่องรายได้ เป็นเรื่องที่เรายังต้องเผชิญ ซึ่งกระผมก็จะได้กราบเรียนต่อไป แต่ประเด็นที่ท่านพูดเป็นประเด็นที่ 5 เรื่องหนี้ เรื่องการกู้ ผมว่ามันชัดเจนแล้ว วาทกรรมมันเป็นเรื่องของการพยายามเอาคำพูดมาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้คนเข้าใจ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง การมาตอกย้ำเรื่องการกู้ของท่านคือวาทกรรมอย่างแท้จริง แต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจต้องวัดกันด้วยมาตรฐานที่นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญการเงินการคลัง สถาบันการเงิน และคนที่เขาวิเคราะห์เศรษฐกิจเขาว่ากัน ผมไม่เอาวาทกรรม ผมเอาของจริง ผมเอาตัวเลขสั้น ๆ เพราะว่าผมไม่มีโอกาสที่จะไปเตรียม 119 รูป ไปขออนุญาตท่านประธานไม่ทัน แต่บอกสั้น ๆ ว่าช่วงแรกที่ผมตอบ ผมยืนยันที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดเรื่องการกู้ เรื่องหนี้ ทำให้คนคิดว่าเกิดหายนะจากการบริหารการเงินการคลังตรงกันข้าม

ประเด็นที่ 4 ที่ท่านอภิปราย เรื่องนี้ผมไม่พูดมาก เพราะว่าท่านบอกว่าจะมีเพื่อนสมาชิกมาอภิปรายในรายละเอียด คือปัญหาเรื่องการเก็บภาษีบุหรี่จากบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ ผมเรียนสั้น ๆ ว่าที่ท่านเอาตัวเลขมาเปรียบเทียบ เพื่อที่จะให้ประชาชนเกิดความสงสัยว่ามีพิรุธก่อนท่านเอาการนำเข้าของบริษัท ที่ขายสินค้าปลอดอากรมาเปรียบเทียบกับการขายตามติด คนที่นำเข้ามาขายตามปกติ ซึ่งท่านทำธุรกิจมาก่อนท่านน่าจะทราบ ว่ามาเปรียบเทียบกันอย่างนี้เฉย ๆ ไม่ได้ แต่ว่ารายละเอียดไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะชี้แจง และท่านก็ท้าผมบอกว่าถ้าผมตอบไม่ได้ ผมลาออก เดี๋ยวผมจะตอบ และพี่น้องประชาชนจะต้องตัดสินว่าผมตอบได้หรือไม่ได้ แต่ที่ท่านกล่าวหาว่าผมไปแทรกแซง ไปสั่งข้าราชการ ไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่แน่นอน และก็สับสนมาก เพราะว่าผมไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคดี ที่ผมสั่งการให้มีการประชุมเป็นคนละเรื่องกัน คือเรื่องของ WTO ไม่ ใช่เรื่องของคดีภายในประเทศ กรุณาอย่าหยิบตรงนั้นมาชนตรงนี้ จับแพะชนแกะ แล้วทำให้เกิดความไขว่เขว ความสับสน ไม่เป็นไรเดี๋ยวจะต้องมีคำถามมาอีก ผมจะไปลงรายละเอียดตอนนั้น แต่ว่าท่านบอกว่าถ้าผมตอบไม่ได้ให้ผมลาออก ถ้าผมตอบได้ ผมไม่เรียกร้องท่านลาออก เอาว่าถ้าผมตอบได้ท่านอยู่ต่อไปเถอะครับ เสนอตัวแข่งขันกับผมต่อไปในฐานะนายกรัฐมนตรี

ท่านประธานที่เคารพ ประเด็นที่ผมจำเป็นต้องชี้แจงยาวเป็นพิเศษมี 2 เรื่อง ที่เป็นเรื่องที่มีความหมายและมีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้อง ประชาชน นั่นก็คือเรื่องข้าวกับเรื่องของการบริหารจัดการในเรื่องน้ำมันกับพลังงาน ซึ่งผมก็แปลกใจเหมือนกันว่าถ้ารัฐบาลบริหารกันเสียหายในเรื่องของพลังงาน ขนาดนี้ก็แปลกที่ท่านไม่อภิปรายท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเลย อ้างว่าผมรักษาการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเดียว กฎหมายที่ท่านพูด 2516 คือดูแลไม่ให้น้ำมันขาดแคลนในประเทศ กองทุนน้ำมันผมไม่ได้เป็นกรรมการนะครับ แต่ไม่เป็นไรผมดูแลนโยบาย ผมรับผิดชอบ และจะอธิบายและชี้ให้เห็นว่าวิสัยทัศน์ แนวทางการบริหารจัดการมันต่างกันอย่างไร แต่ว่าเอาเรื่องข้าวก่อน ท่านผู้อภิปรายคุณมิ่งขวัญภาคภูมิใจมากเลยว่าท่านบริหารข้าวจนประสบความ สำเร็จเป็นปีทองของข้าว ที่จริงผมคิดว่าคนที่จะเป็นผู้นำประเทศควรจะทำความเข้าใจที่ถูกต้องกับพี่ น้องประชาชนก่อนว่าสินค้าหลายตัว โดยเฉพาะสินค้า อย่างเช่น สินค้าการเกษตร ภาวะตลาดโลกมีความสำคัญมากต่อราคา ถ้าท่านคิดว่าปี 2551 ราคาข้าวที่ได้ดี เพราะฝีมือ แปลว่าฝีมือท่านทำให้ราคาข้าวทั่วโลกเลยเหรอครับสูงขึ้น ผมอ่านอย่างไรเขาก็วิเคราะห์กันว่าย้อนกลับไปปี 2551 ที่ราคาข้าวมันสูง เพราะเกิดปัญหาภัยพิบัติต่าง ๆ ทำให้ผลผลิตในโลกลดลงมาก ที่สำคัญที่สุดภาวะในเรื่องของการขาดแคลนอาหารเข้าสู่วิกฤตถึงขั้นที่มีหลาย ประเทศมีมาตรการห้ามส่งออกข้าว เวียดนาม อินเดีย หลายประเทศ เขาห้ามส่งออกข้าว เพราะฉะนั้นที่มันเป็นปีทองเหตุผลคือตรงนี้ เพราะใครจะซื้อข้าวก็ต้องวิ่งมาซื้อจากเรามากที่สุด เพราะหลายประเทศไม่ยอมส่งออก นี่คือลักษณะของความจริงที่เราควรจะให้พี่น้องประชาชนได้รับรู้รับทราบ

นอกจากนั้นก็จะเห็นว่าท่านได้พูดว่าภาวะตอนนั้นดี และนโยบายที่ท่านทำผมก็เรียนยืนยันว่าวันนี่ผมพร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้ง แล้วก็บอกพี่น้องประชาชนว่าเลือกพวกผม ประกันรายได้เดินหน้าต่อ เลือกพวกท่านยกเลิกโครงการนี้ พร้อมสู้ เพราะผมมั่นใจว่าแนวทางที่ทำอยู่ขณะนี้เป็นแนวทางที่ช่วยเหลือพี่น้อง เกษตรกรได้ครอบคลุมทั่วถึง และเป็นธรรมมากกว่า และตรงกันข้ามกับที่ท่านพูด บิดเบือนกลไกตลาดน้อยกว่าท่าน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วันเสาร์ที่ผ่านมาประทานโทษผมไปตรัง แต่ไปคุยกับพี่น้องชาวศรีษะเกษ ซึ่งเวลาที่เขาว่างเว้นจากการทำนา เขาก็จะไปหางานที่ภาคใต้ เขาไปก่อสร้าง จำได้ว่ามีทุกคนที่นั่งคุยกับผมที่บ้านทำนาหมด ก็คุยกันเรื่องนี้ ถามว่าประกันรายได้กับจำนำเป็นอย่างไร ผมจำได้ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อปู บอกว่าจำนำข้าวประกาศราคาสูง ๆ ดีทั้งนั้น แต่เขาไม่เคยได้ไปไม่ทัน ไปจำนำไม่ได้ มีอีกคนหนึ่งบอกว่าที่บ้านทำนาจริง ปลูกข้าวจริง ข้าวเหนียว แต่ว่าปลูกแล้วเก็บไว้รับประทานเอง บริโภคเอง กินเอง จะจำนำเท่าไหร่ก็เท่านั้นล่ะ แต่ว่าถ้าประกันรายได้ ถ้าราคาในตลาดต่ำกว่าราคาประกันเขาได้ เพราะฉะนั้นตัวเลขเวลาท่านพูดว่าเกษตรกรขายได้เท่านั้น เท่านี้ ตามราคาที่ท่านประกาศว่าจำนำมันไม่จริง มันจริงเฉพาะเกษตรกรประมาณ 1 ใน 4 เท่านั้นเอง แล้วที่สำคัญข้าวจากการจำนำที่เก็บมาในสมัยท่านแล้วเมื่อผมเข้ามาในช่วงรอย ต่อจำเป็นต้องจำนำข้าวต่อ แล้วเก็บเป็นสต๊อกของรัฐบาล ตัวนี้และคือตัวที่บิดเบือนกลไกตลาดอย่างแท้จริง เพราะไปซื้อเขามาราคาสูง เก็บไว้ในสต๊อก เก็บไว้สักพักข้าวก็เสื่อมสภาพ พ่อค้าทั่วโลกรู้ว่ารัฐบาลไทยมีข้าวในสต็อกเยอะ ๆ ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องแย้งซื้อข้าวและทำให้ข้าราคาขนยับขึ้น เพราะสต็อกมันทับอยู่ รู้ว่ายังไงก็ต้องขายออกมาวันหนึ่ง เพราะว่าเก็บไว้ก็เสื่อมก็หายไปเฉย ๆ ขายก็ขายอยาก เพราะว่าเป็นรัฐบาลเข้ามาซื้อไปซื้อไว้แพง ๆ พอจะขาดต้องขาดทุนก็มีปัญหาลังเลกันตลอดว่าขายแล้วขาดทุนจะถูกต่อว่า จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจกันหรือป่าว

นี่คือระบบจำนำของท่าน แต่ประกันรายได้ทุกคนขึ้นทะเบียนปลูกข้าว จะขาย จะรับประทานเอง จะน้ำท่วม ภัยแล้ง แมลงศัตรูพืช ได้รับการชดเชยถ้าราคาตลาดต่ำกว่าราคาประกัน นี่คือความแตกต่าง และโดยข้อเท็จจริง ท่านพูดพูดแต่เฉพาะข้าวขาว ท่านเทียบราคาตำนนี้ก็ได้ข้าวเหนียว ข้าวหอมมะลิ พี่น้องยากจนที่สุดอยู่อีสาน ราคาข้าวในช่วงที่เราเข้ามารับผิดชอบต่ำกว่ายุคของท่านที่เป็นยุคทอง ราคาใกล้เคียงกันมากมีแต่ข้าวขาวเท่านั้นที่เรากำลังบริหารจัดการอยู่ แต่เมื่อพี่น้องเดือดร้อนต้นทุนเพิ่มขึ้น เราก็เพิ่มราคาประกันให้ เพราะฉะนั้นผมก็ยืนยันว่ามันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าไหน ๆ ท่านพูดแล้วว่ายุคของท่านเป็นยุคทองของการบริหารจัดการ และบอกว่าผมอ่อนด้อยประสบการณ์ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการ ผมก็จำเป็นต้องพูดว่าท่านนะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์บริหาร ข้าวอย่างไร ใช่ครับ ท่านเก็งตลาด บอกหมดเลยพี่น้องเกษตรกรชาวนาอย่างเพิ่งขายข้าว รอให้ถึง 30,000 ก่อน เชื่อท่านไปหลายคน เสียหายไปเยอะ เพราะราคาข้าวตกในที่สุดสมัยที่ท่านอยู่ แล้วท่านก็บริหารข้าวในสต็อกเสียหายมาก เพราะที่เก็บไว้ 2 ล้านไม่ยอมขาย ไม่ยอมขายเวลาราคาดี สุดท้ายรัฐบาลของพรรคพลังประชาชนชุดต่อมาต้องมาขายขาดทุน เพราะราคาตกไปแล้ว ผมจำได้การบริหารของท่านตอนนั้นที่ท่านบอกว่าท่านเก่งกว่าผมมีประสบการณ์ มากกว่าผม แล้วไปชักชวนชาวนา ชักชวนพ่อค้าทุกคนว่าให้ทำอย่างนี้ สุดท้ายท่านเก็งตลาดผิด จำไม่ได้เหรอครับ ข้าวตก และช่วงนั้นก็ทะเลาะขัดแย้งกันมากในรัฐบาลของท่านเอง เอาข้าวออกมาทำข้าวถุง และสุดท้ายคนที่ตัดสินท่านไม่ใช่พวกผม แต่พรรคของท่านเองปรับท่านออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผมอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมจำได้ผมต้องทำหน้าที่พูดสรุป ผมสรุปประโยคเดียวเลยว่าคำอภิปรายไม่ไว้วางใจนายมิ่งขวัญในฐานะรัฐมนตรีว่า การกระทรวงพาณิชย์ที่มีน้ำหนักมากที่สุด ต้องขอประทานโทษที่เอ่ยนามท่านก็คือคำอภิปรายของท่านนายกสมัคร สุนทรเวช ที่ตำหนิท่านชัดเจน และในสื่อมวลชนก็ลงเอาไว้วางเป็นอย่างไร มีเรื่องข้าว ผมเพียงเตือนความจำพี่น้องประชาชนจะได้รับทราบว่าท่านกำลังบอกว่าสมัยท่าน เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์เป็นยุคทอง แต่ความจริงคืออะไร แล้วเราก็จะได้มีการพิสูจน์กัน อย่าลืมนะครับเข้าสู่เวทีหาเสียงกรุณาไปยืนยันว่าท่านจะยกเลิกโครงการประกัน รายได้

ท่านประธานที่เคารพครับ ถัดมาคือเรื่องของการบริหารเรื่องของการพลังงาน เรื่องน้ำมัน ไปโอดีเซล แล้วก็บอกว่าจะทำให้เดือดร้อนทั้ง ดีเซล ทั้ง LPG ทั้ง อะไรเดี๋ยวพี่น้องประชาชนจะแตกตื่น เหมือนที่ท่านอภิปรายเรื่องหนี้ว่าจะนำไปสู่ความหายนะของประเทศ ประเด็นแรกที่ผมคิดว่าท่านคงลืมไป ท่านบอกว่ารัฐบาลชุดนี้อ่อนประสบการณ์ไม่มีวิสัยทัศน์ และก็กำลังจะทำให้กองทุนน้ำมันติดลบ ซึ่งหมายถึงไม่กู้ก็หนี้ ก็จะทำให้เกิดความเดือดร้อนมากมาย ปตท.จะมีปัญหา คนนั้นคนนี้จะอยู่ไม่ได้ ท่านลืมไปแล้วหรือครับประวัติของกองทุนน้ำมัน ท่านทราบไหมว่ากองทุนน้ำมันเคยติดลบสูงสุดเท่าไหร่ ทราบไหมครับ เกือบ 9 หมื่นล้าน และท่านทราบไหมว่าใครเป็นคนบริหารให้กองทุนน้ำมันติดลบไป 9 หมื่นล้านบาท นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ 9 หมื่นล้านนั้นล่ะครับก็บริหารกันจนในที่สุดรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ ต้องมาคอยใช้หนี้ที่กู้เงินไป เพื่อที่จะทำให้กองทุนน้ำมันกลับมาเป็นบวกได้ เพราะฉะนั้นถ้าท่านว่าผมว่าจะทำกองทุนน้ำมันติดลบ ไม่ตำหนิท่านนายกทักษิณสักนิดเลยเหรอครับ ว่าบริหารอย่างไรติดลบไปตั้ง 9 หมื่นล้าน แต่หลักคิดที่ผมบริหาร ผมไม่ตั้งใจที่จะให้กองทุนน้ำมันติดลบ 9 หมื่นล้านละครับไม่ล่ะครับ และผมจึงอธิบายแนวความคิดผมชัดเจน วันที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีราคาสูง หลักคิดของผมก็คือว่าเราจะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เราจะเก็บภาษีสรรพสามิต มันก็ยิ่งเพิ่มภาระให้แก่ประชาชน ช่วงเวลาที่น้ำมันดิบแพง ๆ เราจึงต้องยอม ยอมในการลดภาระที่รัฐบาลเก็บจากประชาชน แต่เมื่อไหร่ที่น้ำมันดิบราคาลดลง เมื่อนั้นเราก็ต้องเก็บเงินไว้เหมือนกับเป็นคลังเพื่อที่เราจะใช้ในวันที่ น้ำมันแพง หลักคิดอย่างนี้ผมว่าคนส่วนใหญ่เห็นด้วย เพราะฉะนั้นช่วงหาเสียงที่ผมบอกว่าต้องลดเงินการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เพราะตอนนั้นราคาน้ำมันดิบสูง แต่ช่วงที่ผมเข้ามาบริหารช่วงเรก ราคาน้ำมันดิบต่ำ ผมถึงต้องพยายามเก็บเงินไว้ก่อน นี่คือหลักของการรักษาเสถียรภาพ แต่ถ้าเราบอกว่าช่วงไหนแพงเราช่วย ช่วงไหนถูกเราก็หาเสียงกันต่อนั่นแหละครับ คือการบริหารที่ไม่มีความรับผิดชอบ แล้วท่านก็บอกว่าคนเดือดร้อนกันทั้งประเทศ เพราะว่าผมช่วยแต่เรื่องของดีเซล

ท่านประธานครับ พวกท่านต่อว่าพวกผมมาตลอดว่าไม่ค่อยช่วยคนจน ผมถามว่าคนจน คนรวย ใครใช้ดีเซล ใครใช้เบนซิน ผมต้องยอมเสียคะแนนกับคนที่มีฐานะที่เก็บเงินเบนซินแพงหน่อย เพราะผมต้องการช่วยคนจน เกษตรกรใช้ พี่น้องประชาชนที่พอเริ่มมีฐานะขึ้นมาใช้ รถที่ใช้ในการเกษตร รถปิดอัพ ที่พี่น้องพอเริ่มมีฐานะลืมตาอ้าปากได้ใช้คนเหล่านี้ผมช่วย และผมก็ต้องเก็บเงินจากคนซึ่งใช้เบนซิน 95 ใครใช้ ท่านบอกผมมาคนจนคนไหนใช้เบนซิน 95 หลักการบริหารผมจึงชัดเจน ยามที่เราเผชิญกับเรื่องที่เป็นปัญหาของแพงเราต้องลดภาระให้ประชาชน เมื่อใดก็ตามซึ่งภาวะธรรมชาติมันค่อนข้างที่จะต่ำ เอื้อเราต้องเก็บเงินเข้ามา ถ้าต้องเลือกระหว่างจะช่วยก็ต้องช่วยคนที่ยากลำบากก็ต้องช่วยคนที่ยากลำบาก คือคนจน และอาจจะต้องเก็บจากคนรวยบ้าง ถ้าท่านไม่เห็นด้วยก็ไปหาเสียงเลย ว่าเอ้าท่านจะเปลี่ยนก็ได้เก็บเงินจากคนใช้ดีเซลไปอุ้มคนใช้เบนซิน ให้มันแตกต่างชัดเจนกันไปเลย ว่าสิ่งที่ผมทำมามันผิด ผมกราบเรียนว่าการบริหารตรงนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านว่า เริ่มต้นมาความจริงถ้าเอาฐานะของกองทุน เพิ่งลืมตา อ้าปากคนที่ผมเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่ผมอาศัยช่วงที่ท่านบอกว่าผมโชคดี ประธานโทษคำพูดท่านว่าน้ำมันโคตรถูกอะไรนั่นแหละ ผมก็อาศัยช่วงนั้นในการจัดระบบเก็บเงินเข้ากองทุน และในส่วนของภาษีสรรพสามิต ซึ่งท่านยกเลิกการเก็บไปดื้อ ๆ เนี่ย เอากลับเข้ามาสู่โครงสร้างเสียก่อน และสะสมฐานะเงินตรงนี้ขึ้นมาจนกระทั่งขึ้นไปถึงประมาณ 30,000 ล้าน ทำไมไม่พูดล่ะครับข้อมูลที่เสนอใช่ แต่ทำไมเสนอไม่หมด ความเที่ยงตรงความเที่ยงธรรมต่อการเสนอข้อมูลอยู่ตรงนี้ต่างหาก 30,000 ล้าน พอเรามีปัญหาราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นขณะนี้ เราจึงนำมาช่วยกัน แล้วที่ท่านพูดสรุปเรื่อง B5, B3, B2 ท่านสับสนมาก ถ้ายังคงบี 3 หรือ บี5 เรายิ่งเงินไหลออกจากกองทุน เพราะการชดเชยตรงนั้นสูงกว่า แต่ที่เราปรับบี5 ลงมาเป็นบี3 ลงมาเป็นบี2 นอกเหนือจากการที่จะทำให้มีน้ำมันปาล์มเข้าไปสู่ค่าอาหารแล้ว ยังเป็นการประหยัดภาระของเงินกองทุนน้ำมันด้วย ไม่น่าผิดพลาดง่าย ๆ อย่างนี้เลย

ที่อภิปรายไปเมื่อสักครู่ เพราะฉะนั้นเนี่ยขณะนี้เราก็ดำเนินการในการที่จะใช้เงินกองทุนช่วยน้ำมัน ดีเซล ท่านบอกเงินเหลือแค่ 4,000 กว่าล้าน เพราะหักภาระหลายอย่าง ท่านไม่บอกด้วยล่ะครับว่าภาระตรงนั้นรวมถึงการที่เราชดเชยเรื่องของก๊าซหุง ต้มไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนาไม่ใช่ปัจจุบัน ชดเชยไปถึงสิ้นเดือนมิถุนา ทำไมไม่อ่านด้วยว่าเงินตรงนี้อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเรากำลังเปลี่ยนลด LPG เป็น NGV ที่ท่านบอกว่าไม่มีวิสัยทัศน์ในการที่จะไปบอกว่าให้คนทำเลย ทำครับ และตัวเลขท่านก็มีอยู่ในมือถึงได้เสนอตัวเลขสรุปมาได้ ทำไมไม่พูดโครงการที่มีการเปลี่ยนแท็กซี่จาก LPG เป็น NGVที่ทำให้มีหนี้ของกองทุนตรงนี้ แต่ไม่มีใครตอบได้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะขึ้นจะลงมากน้อย แค่ไหนอย่างไร แต่ผมยืนยันว่าถึงสิ้นเดือนเมษายนเรายังทำได้แน่นอน โดยอาศัยการบริหารในเรื่องของกองทุนเป็นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด ที่สำคัญก็คือว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านพูดว่าผมใช้เงินกองทุนจนสนุก เพราะว่าจะหาเสียง ถึงมีมติและประชุมกันเร็ว ๆ นี้ เพราะผมก็พูดเอาไว้ว่าเงินกองทุนที่แตะที่ประมาณหมื่นล้าน หรือต่ำกว่าหมื่นล้านเท่าไหร่มาคุยกัน ถ้าผมไม่สนใจผมก็ปล่อยแบบสมัยท่านนายกทักษิณ ขาดทุนไปเกือบแสนล้าน และก็ทิ้งให้รัฐบาลชุดต่อไปเข้ามาใช้หนี้ ผมไม่ทำหรอกครับ ผมมีความรับผิดชอบต่อประเทศ ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต การดูแลน้ำมันดีเซลตรงนี้ผมจึงอยากจะกราบเรียนว่าถ้าในภาวะซึ่งเป็นไปตามอุป สงค์ อุปทาน ตามปกติ ผมคิดว่าเราอาจจะปรับแต่งในเรื่องของกองทุน ในเรื่องของระบบภาษีอยู่เล็กน้อยก็น่าจะตรึงได้ ท่านไม่สังเกตเหรอครับ ท่านพยายามจะแสดงให้เห็นว่าน้ำมันเบนซินมันแพงอย่างไร แต่ผมยันน้ำมันดีเซลถูกกว่าท่าน แม้ในราคาน้ำมันดิบที่สูงกว่าแล้ว เพราะผมรู้ว่าถ้าดีเซลเกิน 30 มันไม่ใช่รัฐบาลเดือดร้อน ประชาชนเดือดร้อน ค่าขนส่งจะขึ้น สินค้าทุกตัวจะอ้างค่าขนส่งเป็นการขึ้นราคา นี่คือเหตุผลที่ต้องตรึง ก๊าซหุงต้มผมเป็นรัฐบาลแรกที่ประกาศชัดเจนว่าก๊าซหุงต้นที่เราใช้กันในครัว เรือน พี่น้องประชาชนควรซื้อได้ในราคาถูก เพราะปริมาณก๊าซที่ออกมาจากของเรากับปริมาณที่ใช้อยู่ในครัวมันไม่ได้ห่าง กันมากหรอกครับ มันพอทำไมจะต้องให้พี่น้องประชาชนไปซื้อในราคาเดียวกับอุตสาหกรรม

ถึงกำลังจะปรับโครงสร้างตรงนี้ทั้งหมด และวันที่ผมเข้ามารับตำแหน่ง เขาคิดจะให้ผมขึ้นราคาก๊าซหุงต้มสำหรับพี่น้องประชาชน ผมตัดสินใจแน่นอนว่าไม่ขึ้น และวันนี้ก็ยังตัดสินใจว่าไม่ขึ้น ผมฟังท่านอภิปราย ผมไม่ทราบว่าตัวท่านไปทางไป เพราะบางช่วงบอกว่าทำไมตอนนั้นไม่ปล่อย LPG ลอยตัว แต่อีกทีก็มาบอกว่า เดี๋ยวปล่อย LPG ลอยตัวประชาชนจะเดือดร้อน ผมบริหารแบบของผมเนี่ยหล่ะครับ ยามใดราคาสูงผมก็พยายามบริหารกองทุนน้ำมันในลักษณะที่จะช่วยประชาชน เมื่อไหร่ลดต่ำผมก็จำเป็นในการที่จะต้องเก็บเงินเข้า และก็จะรักษาระดับก๊าซสำหรับครัวเรือนหุงต้มเอาไว้ เอาเลยพฤษภายุบสภาปั๊บท่านประกาศเลยท่านจะลอยตัว LPG ที่ต่อว่าว่าผมไม่ทำ ผมก็จะหาเสียงว่าผมไม่ลอยตัว LPG ผมต้องการให้พี่น้องประชาชนซื้อก๊าซหุงต้มในราคาเท่าเดิม และไม่เสียวินัยการเงินการคลัง และผมจะบริหารกองทุนน้ำมันกับระบบภาษีให้ได้ เพราะท่านพูดเหมือนบอกว่าไม่มีทางแล้วเป็นอย่างนี้ดีเซลต้องขึ้น 6 บาท LPG ต้องขึ้นกี่บาท ผมยืนยันว่าผมจะบริหารตามแนวทางนี้ เครื่องมือยังมี และจะบริหารจัดต่อไป แล้วเราไปถามประชาชนกันว่าจะเอาแบบไหน นี่ก็เป็นเรื่องของการบริหารน้ำมันคราว เพราะว่าผมไม่ต้องการจะใช้เวลามา

ส่วนเรื่องปาล์มเดี๋ยวจะมีรายละเอียดไม่เป็นไร เพราะว่าคงจะมีผู้ที่จะต้องชี้แจง ความจริงเรื่องนี้ก็เป็นการยื่นถอดถอนท่านนายกรัฐมนตรี ท่านรองนายก ไม่ได้ยื่นถอดถอนนายกนะครับ แต่ว่าผมสะดุดอยู่คำหนึ่ง ท่านบอกว่าน้ำมันที่ขึ้นจาก 38 บาท เป็น 47 บาท บริหารไม่เป็น หรือปล้นประชาชน ผมไม่มีเวลาทำสไลด์เยอะ ๆ อย่างท่านหรอกครับ ของสไลด์เดียว ๆ ไม่ทราบท่านประธานจะอนุญาตไหมครับ ไม่รู้เพาเวอร์พ้อยท์ทำทันหรือเปล่า แต่เอาเร็ว ๆ ง่าย ๆ ท่านเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ชาวสวนปาล์มได้ราคา 5.90 บาท ผมเป็นนายกรัฐมนตรีชาวสวนได้ 8.63 นี่ต้นทุน น้ำมันปาล์มดิบท่านเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์อยู่ที่ 35.98 บาท สมัยผมขึ้นไป 51.48 บาท ต้นทุนห่างกันเยอะมาก สมัยผมแพงกว่าเยอะมาก แต่สมัยผมอนุญาตให้ขายน้ำมันปาล์มน้ำมันพืชแก่พี่น้องประชาชนขวดละ 47 บาท ของท่าน 47.50 บาท บริหารไม่เป็นหรือใครปล้น เพราะก่อนขึ้นเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์น้ำมันพืชขวดก็ประมาณ 40 บาท หลังท่านเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ก็ประมาณ 40 บาท มีเฉพาะช่วงท่านเป็นแพงที่สุดคือ 47.50 บาท ในขณะที่ชาวสวนปาล์มได้ 5-6 บาท ทั้งที่ยุคนี้ได้ 8-9 บาท ในช่วงที่เกิดวิกฤต

ท่านประธานที่เคารพสิ่งที่ท่าน ส.ส.มิ่งขวัญได้อภิปรายมาไม่ว่าจะเป็นเรื่อง หนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารพลังงานไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้าว แม้กระทั่งจะต้องมีการอภิปรายต่อไปเรื่องปาล์มและเรื่องบุหรี่นั้นรัฐบาล พร้อมชี้แจงว่าได้ทำหน้าที่ในการดูแลรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และที่สำคัญผมยังยืนยันว่าการนำเสนอข้อมูลต่อสภาแห่งนี้ ต้องให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ เรื่องตลาดโลก เรื่องต้นทุนที่แท้จริง เรื่องปัจจัยต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องของวาทกรรมอย่างแน่นอน ข้อมูลที่ท่านเสนอวันนี้ตัดต่อ ตัดตอน แต่งเติม แต่ผมเอาความจริงมาหวังว่าจะไม่เพิ่มความแค้นให้ท่านครับ ขอบคุณครับ

 

ที่มา: เรียบเรียงจากวิทยุรัฐสภา มติชนออนไลน์ โพสต์ทูเดย์ และ พรรคประชาธิปัตย์

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net