ประเด็น “ศาลกับการยอมรับความเป็นรัฏฐาธิปัตย์และการตรวจสอบการใช้อำนาจของ คสช.” นิฐินี ทองแท้ เปิดการศึกษาทั้งก่อนการรัฐประหาร 2557 และหลังรัฐประหาร 2557 ผ่านคำพิพากษาคดีต่างๆ
คลิปการนำเสนอหัวข้อ “ศาลกับการยอมรับความเป็นรัฏฐาธิปัตย์และการตรวจสอบการใช้อำนาจของ คสช.” นำเสนอโดยนิฐินี ทองแท้
นิฐินี ทองแท้ อาจารย์ประจำสาขาวิชานิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร
18 ก.พ.2561 ในการเสวนาวิชาการ "ตุลาการธิปไตย ศาล และรัฐประหาร" จัดที่ห้องประชุมริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ช่วงเสนอบทความ “ศาลกับการยอมรับความเป็นรัฏฐาธิปัตย์และการตรวจสอบการใช้อำนาจของ คสช.” โดย นิฐินี ทองแท้ อาจารย์ประจำสาขาวิชานิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร
ศึกษาการยอมรับความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของศาลยุติธรรมทั้งก่อนการรัฐประหาร 2557 และหลังรัฐประหาร 2557 ผ่านคำพิพากษาคดีต่างๆ โดยพบว่า
ก่อนการรัฐประหาร 2557 หลักเกณฑ์ที่ศาลจะยอมรับความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของคณะรัฐประหารนั้นจะต้องผ่านขั้นตอนเหล่านี้คือ 1.ยึดอำนาจสำเร็จ 2.มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง 3.มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญและมีรัฐธรรมนูญชั่วคราวยกเว้นความผิดคณะรัฐประหาร โดยทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่เกิน 1-2 วันภายหลังรัฐประหาร เวลามีคดีขึ้นศาลในการโต้แย้งความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ศาลก็พิพากษาวินิจฉัยว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังรัฐประหาร 2557 หลักเกณฑ์เหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไป ดูได้จาก คดีแรก คดีที่สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด หรือ หนูหริ่ง โต้แย้งความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของ คสช. เนื่องจากมีช่องว่างบางประการ เพราะหลังการรัฐประหารยังไม่ได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งทันที ผ่านเวลาไปอีกหลายวัน จึงเป็นข้อโต้แย้งในคดีสมบัติว่าการรัฐประหารสำเร็จเรียบร้อยหรือยัง นอกจากนี้ยังไม่มีรัฐธรรมนูญมายกเว้นความผิดที่ทำรัฐประหารด้วย แต่ศาลเองกลับเป็นคนอธิบายเพิ่มเติมว่า ในเมื่อคณะรัฐประหารยึดอำนาจสำเร็จแล้ว คสช.ย่อมเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว เพราะไม่มีการต่อต้านจากประชาชน ส่วนพระบรมราชโองการนั้นไม่ได้เป็นกฎเกณฑ์แต่อย่างใด
ส่วนคดีที่กลุ่มนักกิจกรรมตรวจสอบโครงการราชภักดิ์ฟ้องโต้แย้งความเป็นรัฎฐานธิปัตย์ของ คสช. คดีนี้ศาลไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมเป็นพิเศษ ศาลให้ความเห็นตามกรอบเดิมว่าเมื่อยึดอำนาจสำเร็จเรียบร้อยก็ถือเป็นรัฏฐาธิปัตย์
ดังนั้นในการตีความความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ศาลจะมองว่ายึดอำนาจการปกครองสำเร็จ ได้รับการยอมรับจากประชาชน แม้ไม่ใช่ประชาชนทั้งหมด ได้เท่านี้ก็มีอำนาจออกกฎหมายหรือทำอะไรต่างๆ แล้ว ถ้าเทียบกันก่อนหน้านั้นจะเห็นว่าต้องมีพระบรมราชโอกางแต่งตั้ง ยกเลิกและประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่ยกเว้นความผิดให้รัฐประหาร
ประเด็นที่สอง แม้เมื่อเป็น คสช.เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ศาลได้ทำหน้าที่ตรวจสอบความชอบของคำสั่งหรือการออกคำสั่งหรือไม่อย่างไร ดูจากคำพิพากษาของศาลปกครอง ศาลทหาร ศาลยุติธรรม ข้อสังเกตคือ ก่อนรัฐประหาร 2557 ตัวคณะรัฐประหารจะไม่ได้ออกคำสั่งหรือประกาศอะไรเยอะเท่าตอนนี้ แต่คสช.ออกประกาศคำสั่งเยอะมาก รวมถึงออกมาตรา 44
อันแรก ศาลปกครอง มีคดีตัวอย่างที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งคสช.ที่ 4/2559 และ 24/2558 เป็นเรื่องการยกเว้นการทำผังเมืองและประมงอวนรุน ทั้งสองคดีนี้อาศัยคำสั่งหัวหน้าคณะ คสช.ตามมาตรา 44 ผู้ฟ้องขอให้เพิกถอนเพราะไม่เข้าเงื่อนไขมาตรา 44 แต่ศาลปกครองวินิจฉัยว่า กฎพวกนี้อาศัยอำนาจจากมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ออกจากกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ จึงไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ศาลปกครองจึงไม่รับฟ้องทั้งสองคดี
อันที่สอง ศาลทหารในคดีราชภักดิ์ เป็นการตรวจสอบเรื่องเขตอำนาจศาล โดยโต้แย้งว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีที่จะขึ้นสู่ศาลทหาร แต่ศาลทหารบอกว่ามาตรา 47 บอกว่าการกระทำของ คสช.ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว เรียกได้ว่าศาลไม่ตรวจสอบเลยว่าคดีนี้ควรอยู่ในอำนาจศาลทหารจริงหรือเปล่า ใครฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ก็เหมือนกับฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. จึงต้องขึ้นศาลทหาร
อีกตัวอย่างหนึ่งที่สู้กันเรื่องเขตอำนาจของศาล คดีสิรภพในความผิดตามมาตรา 112 จำเลยระบุว่าโพสต์ข้อความก่อนมีประกาศให้ความผิดนี้ขึ้นศาลทหาร แต่ศาลทหารมองว่าการกระทำความผิดเกิดขึ้นก่อนก็จริงแต่ข้อความยังอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์จนมีประกาศ อย่างไรก็ต้องขึ้นศาลทหาร
อันที่สาม ศาลยุติธรรม เป็นกรณีที่พลเมืองโต้กลับฟ้องหัวหน้า คสช.กับพวกในฐานะเป็นกบฏ ศาลเองไม่ได้ตรวจสอบว่า คสช.เป็นกบฏหรือเปล่า ศาลตอบเพียงว่า มาตรา 44 บัญญัติให้การกระทำของหัวหน้าคสช. และคสช.ไม่ว่าจะผิดกฎหมายอย่างไรก็พ้นจากความผิดโดยสิ้นเชิง
ทั้งสามศาลจะพบว่ามีแนวทางแบบเดียวกัน มีคำสั่ง มาตรา 44 ออกมาแล้วก็ยึดถือตามนั้น รัฐธรรมนูญยกเว้นความผิดไว้แล้วยังไงก็ไม่ผิด
ประเด็นสุดท้าย จะดูแนวคำพิพากษาของศาลในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งคสช. ที่เรียกคนมารายงานตัวและคำสั่งที่ 3/58 (ห้ามชุมนุม) กับอีกส่วนหนึ่งคือคดี 112 เพื่อดูลักษณะของคำพิพากษาที่ออกมาว่าไปในทิศทางไหน
สรุปได้ว่า คดีขัดคำสั่งไม่รายงานตัวศาลมักจะลงโทษแต่ให้รอการลงโทษ ส่วนคดีฝ่าฝืนคำสั่ง 3/58 อาจจะปรับทัศนคติ เป็นการลงโทษทางการเมือง มุ่งผลในทางการเมืองเป็นหลัก ส่งผลต่อการคุกคามเสรีภาพของประชาชนในสังคมมากกว่าจะลงโทษแบบจำคุก ส่วนคดี 112 ส่วนใหญ่ลงโทษจำคุก
ศาลในฐานะที่เป็นองค์กรหนึ่งในการตรวจสอบการใช้อำนาจ เท่าที่ดูจากคดีที่ผ่านมาพบว่า ศาลยังไม่ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหารสักเท่าไร และมีแนวโน้มให้การรับรองคณะรัฐประหารตราบเท่าที่ยึดอำนาจสำเร็จ
ตุลาการธิปไตย ศาลและรัฐประหาร
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)