Skip to main content
sharethis
มีการศึกษาประวัติและลักษณะนิสัยของเผด็จการป่วนโลกอย่าง 'คิมจองอึน' โดย 'จุง เอช ปัก' นักวิเคราะห์ผู้เขียนบทความให้บรูคกิงส์ในสหรัฐฯ ที่วิเคราะห์นิสัยใจคอแบบเด็กที่ได้รับอภิสิทธิ์ ถูกตามใจ แพ้ไม่เป็น เมื่อได้อำนาจแล้วก็แสดงความเหี้ยมโหดแบบฆาตกรต่อเนื่องภายใต้ฉากหน้าที่แสดงตัวเหมือนคนทันสมัยทันแฟชั่น ลักษณะนิสัยแบบนี้ของคิมจองอึนจะส่งผลกระทบต่อวิกฤตนิวเคลียร์ระดับโลกหรือไม่ และประเทศผู้นำโลกควรทำอย่างไรกับ 'เด็กเจ้าปัญหา' คนนี้
 
 
 
18 ก.พ. 2561 สถาบันวิจัยบรูคกิงส์ในสหรัฐฯ นำเสนอบทความศึกษาประวัติชีวิตและจิตใจของ คิมจองอึน ผู้นำจอมเผด็จการของเกาหลีเหนือ ที่ขึ้นมามีอำนาจต่อจากพ่อของเขาคิมจองอิลเมื่อปั 2554 ในช่วงนั้นเองที่คิมจองอึนเริ่มประกาศปิดพรมแดนประเทศและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะเดียวกันก็มีสัญญาณมานานตั้งแต่ก่อนหน้าปี 2554 แล้วว่ามีการเตรียมการให้คิมจองอึนขึ้นเป็นผู้นำ
 
ในช่วงระหว่างการเปลี่ยนผ่านอำนาจสู่คิมจองอึน ทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ก็ประชุมรับมือวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นและสหรัฐฯ ก็แสดงท่าทีกระชับพันธมิตรเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นผ่านถ้อยแถลง และท่ามกลางความไม่แน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นนั้นก็ทำให้มีการพยายามเก็บรวบรวมข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองว่าคิมจองอึนเป็นคนอย่างไรกันแน่ รวมถึงว่าชาวเกาหลีเหนือเองจะมีท่าทีแบบใดกับผู้นำคนใหม่นี้ ผู้ที่อายุยังน้อยอยู่ในวัยระหว่าง 20-30 ปี ที่ไม่มีทักษะความเป็นผู้นำอยู่เลย
 
มีการคาดการณ์ไปต่างๆ นานา รวมถึงเรื่องที่ว่าอาจจะมีการโค่นล้มคิมลองอึนโดยภายใน แต่ผ่านมา 6 ปีแล้ว คิมจองอึนยังคงอยู่และทำการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ 4 ครั้ง ทำให้เกาหลีเหนือทดลองนิวเคลียร์ทั้งหมดรวมแล้ว 6 ครั้ง รวมถึงมีการทดลองอาวุธอื่นๆ อีกหลายครั้ง และมีปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ขนานใหญ่รวมถึงบงการให้ใช้อาวุธเคมีทำลายระบบประสาทสังหารพี่ชายต่างมารดาของตน
 
ภาพลักษณ์ของคิมจองอึนในประเทศอื่นๆ มักจะถูกนำเสนอออกมาให้ดูเหมือนตัวการ์ตูนตลกๆ พร้อมฉายาเชิงเย้ยหยัน ทำให้เขาดูเป็น "เด็ก" ที่กำลังเล่นกับอาวุธต่างๆ ในความเป็น "เด็ก" นั้นก็พยายามจะสื่อให้เห็นว่าดูเป็นคนที่พฤติกรรมเอาแน่เอานอนไม่ได้ และเอาแต่ใจตัวเอง ลากคนอื่นไปเจอปัญหา แต่กระนั้นก็มีส่วนผสมของความน่าหวั่นใจในเรื่องสมรรถนะทางอาวุธและการโจมตีไซเบอร์ของเกาหลีเหนือในยุคของคิมจองอึน
 
 
อะไรทำให้คิมจองอิลเลือกคิมจองอึนขึ้นเป็นผู้นำแทนลูกคนอื่นๆ
 
คิมจองอิลมองว่าลูกชายคนโตของเขาคิมจองนัมไม่เหมาะแก่การขึ้นเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะมองว่าเขา "แปดเปื้อน" ด้วยอิทธิพลของต่างประเทศมากเกินไป และเคยเสนอให้เกาหลีเหนือปฏิรูปเปิดรับตะวันตกมากขึ้นซึ่งทำให้พ่อของเขาไม่พอใจ ส่วนอีกคนหนึ่งคือคิมจองชูลก็ถูกมองว่า "เป็นหญิง" มากเกินไป เพื่อนของจองชูลเคยบอกว่าเขาเป็นคนที่จะไม่ทำร้ายคนอื่น เป็นคนที่น่าคบหาเกินกว่าจะเป็น "ตัวร้าย" แต่ก็ดูเหมือนว่าคิมจองชูลก็มีบทบาทสนับสนุนรัฐบาลของน้องชายตัวเองอย่างไม่เปิดเผยตำแหน่ง
 
 
คิมจองอึนเติบโตมาอย่างไร
 
จากข้อมูลของเคนจิ ฟูจิโมโตะ อดีตพ่อครัวทำซูชิของคิมจองอิล บอกว่าจองอิลเลือกลูกชายคนสุดท้องของเขาเองให้เป็นคนสืบทอดมาตั้งแต่ปี 2535 แล้ว ดูจากลักษณะการจัดงานวันเกิดปีที่ 9 ที่ให้คนเล่นเพลงในทำนองว่าคิมจองอึนจะเป็นผู้นำชาติเกาหลีเหนือเดินหน้าต่อในอนาคตต่อไป 
 
คิมจองอึนเป็นคนที่โตมาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงระดับโลกหลายอย่าง เช่นการล่มสลายของสหภาพโซเวียตที่ทำให้การช่วยเหลือใหญ่ๆ จากโซเวียตนยุคนั้นหายไป ความสัมพันธ์กับจีนที่ดูน่าสงสัยตลอดเวลาและดูเหมือนจะอยากเชื่อมสัมพันธ์กับเกาหลีใต้มากกว่าเกาหลีเหนือ เหตุการณ์เจรจากับสหรัฐฯ อย่างตึงเครียดในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ นอกจากนี้ยังมีเหตุความอดอยากแร้นแค้นและภัยแล้ง รวมถึงการถูกคว่ำบาตรหนักขึ้น
 
อย่างไรก็ตามคิมจองอึนเติบโตมาในแบบที่เต็มไปด้วยอภิสิทธิ์และห่อหุ้มปกป้องให้เขาทำอะไรตามอำเภอใจ เขาไม่ได้อยู่ในประเทศในช่วงที่มีวิกฤตจาดแคลนอาหาร แต่ใช้ชีวิตอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ด้วยความหรูหราโอ่อ่า มีทั้งม้า ลานโบว์ลิง สระว่ายน้ำ อาศัยอยู่ในรีสอร์ทส่วนตัวของครอบครัวช่วงฤดูร้อน มีรถหรูๆ ขับตั้งแต่เด็ก ไปเที่ยวเล่นสกีว่ายน้ำในแหล่งหรูๆ ของยุโรปได้ ในด้านอารมณ์ของคิมจองอึนดูจะเป็นคนโมโหง่าย ไม่ยอมพ่ายแพ้ มีรสนิยมชอบภาพยนตร์ฮอลลิวูดและนักกีฬาบาสเก็ตบอลอย่างไมเคิล จอร์แดน
 
ฟูจิโมโตะบอกว่าแม่ของจองอึนไม่เคร่งเรื่องการศึกษาของเขามากนัก เขาไม่เคยถูกสั่งให้ต้องไปเรียนเลย เพื่อนร่วมชั้นของคิมจองอึนก็พากันบอกว่าจองอึนเป็นคนที่ไม่ได้สนใจผลการเรียนตัวเองนัก ครูที่เห็นผลการเรียนแย่ๆ ของจองอึนแล้วก็ได้แต่ปล่อยให้เขาอยู่ในสภาพนั้น คิมจองอึนไม่สนใจผลการเรียนในห้องเรียนเลยแต่สนใจฟุตบอลและบาสเก็ตบอลมากกว่า
 
และด้วยการที่คิมจองอึนรู้โชคชะตากำหนดของตัวเองอยู่แล้วว่าจะได้เป็นผู้นำคนถัดไป ทำให้เขาเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงมาตั้งแต่เยาว์วัย และครอบครัวเผด็จการของคิมจองอึนเองก็สร้าง "ลัทธิบูชาตัวบุคคล" ที่ขึ้นกับตัวเขาไว้อย่างบรรจงแบบเดียวกับที่เคยทำกับผู้นำก่อนหน้านี้ผ่านการเน้นย้ำการแสดงอำนาจข่มขู่คุกคามให้ผู้คนหวาดกลัว ได้รับการติดยศและเดินใส่ชุดทหารพร้อมปืนโคลท์เดินไปมาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ
 
มาร์ค โบว์เดน นักเขียนอเมริกันเคยเขียนไว้ว่าในวัย 5 ขวบของเด็กทุกคน มักจะเริ่มเห็นว่าพวกเขาเป็นศูนย์กลางของจักรวาลแล้วก็มีทุกอย่างทั้งครอบครัว บ้าน เพื่อนบ้าน โรงเรียน ประเทศ หมุนรอบตัวเขา และคนส่วนใหญ่ก็จะค่อยๆ เรียนรู้เรื่อยๆ ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่บน "บัลลังก์" ศูนย์กลางจักรวาล แต่กับคิมจองอึนไม่เป็นเช่นนั้น กลุ่มคนรอบตัวเขาทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีฐานันดรศักดิ์พร้อมทั้งกั้นไม่ให้เขาเห็นสภาพความเป็นจริงของเกาหลีเหนือและโลกภายนอกตั้งแต่เด็กๆ ขณะที่โฆษณาชวนเชื่อของรัฐก็สร้างการยกยอปอปั้นให้เขาดูเหนือคนอื่นไปทุกด้าน
 
นอกจากนี้ยังมีการเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นเป็นผู้นำของคิมจองอึนด้วยการวางเครื่องมือในการกดขี่ปราบปรามคนอื่นทางการเมืองไว้พร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นคุกหรือค่ายกักกันแรงงานที่เต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งการข่มขืน ทุบตี ทารุณกรรม จนหน่วยงานของสหประชาชาติเคยสรุปไว้ในปี 2557 ว่าเกาหลีเหนือมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางเป็นระบบและร้ายแรง เพื่อพยายามครอบงำชีวิตทุกส่วนของผู้คนโดยการสร้างความหวาดกลัวจากภายใน
 
 
การสร้างภาพของเผด็จการแห่งคริสตศตวรรษที่ 21
 
จุง เอช ปัก นักวิเคราะห์ผู้เขียนบทความให้บรูคกิงส์มองว่าขณะที่คิมจองอึนได้สถานะดั่งสมมุติเทพจากพ่อและปู่ ตัวเขาเองก็พยายามจะทำอะไรในแบบของตัวเองอยู่บ้าง มีบางส่วนที่เขาโหยอดีตจากยุคปู่ที่ยังได้รับการสนับสนุนจากโซเวียต และเคยพูดต่อหน้าประชาชนว่าจะเน้นนโยบายสนับสนุนกองทัพเกาหลีเหนือมาก่อนอย่างอื่นแบบรุ่นพ่อ แต่ขณะที่พ่อของเขาปกปิดตัวเองมากกว่า คิมจองอึนดูจะแสดงตัวเองออกมาให้เห็นและเข้าถึงได้มากกว่า มีการเปิดเผยตัวภรรยารีโซลจูที่ดูนำแฟชั่น อีกทั้งยังแสดงภาพลักษณ์ของตัวเองออกมาในทำนองเข้าหา "เป็นมิตร" กับผู้คนรวมถึงเด็กๆ ขณะที่รัฐบาลที่ดูเปิดเผยมากขึ้นมีการยอมรับว่าปล่อยดาวเทียมผิดพลาดในปี 2555
 
ในเรื่องของการสร้างภาพผู้นำนั้น เราจะเห็นคิมจองอึนอยู่ในภาพทำท่าเชิงให้การอบรมทั้งในด้านเศรษฐกิจ, การทหาร สังคม และวัฒนธรรม แบบเดียวกับที่พ่อและปู่ของเขาเคยทำมาก่อน แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือคิมจองอึนยังเปิดเผยภาพตัวเองในเชิงไลฟ์สไตล์อย่างการนั่งรถไฟเหาะ และพยายามแสดงให้เห็นว่าเขาใช้เทคโนโลยีได้ รวมถึงมีภาพกำลังมองการทดลองนิวเคลียร์
 
จากการที่คิมจองอึนเป็นคนที่มีอภิสิทธิ์มาโดยตลอดเลยมีความคิดว่าจะทำอะไรก็เป็นไปได้จึงพยายามกำหนดนโยบายที่คิดว่าจะพัฒนานิวเคลียร์ไปพร้อมๆ กับส่งเสริมความมั่งคั่ง ทั้งนี้ก็ไม่วายพยายามรักษาแบรนด์ตัวเองด้วยการสร้างภาพว่ามี "ด้านอ่อนโยน" ดูมีสไตล์และมีอารมณ์ขันเพื่อปกปิดความโหดร้ายและความทนทุกข์อดอยากของผู้คน
 
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือการนำเสนอภาพลักษณ์ของภรรยารีโซลจู ที่ทำให้เธอดูเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมบริโภคสัญญะและให้ความสำคัญกับวัตถุ เพราะตัวคิมจองอึนเองก็เคยแสดงความคิดเห็นช่วงพาภรรยาไปทัวร์โรงงานผลิตเครื่องสำอางค์ว่าอยากให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ของเกาหลีเหนือ "แข่งขันในระดับโลก" ได้ นอกจากนี้คิมจองอึนยังพยายามพูดถึงการพัฒนาแบบเดียวกันกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น รีสอร์ทสกี, ลานสเก็ต, สวนสนุก, สนามบินใหม่ และสวนสัตว์น้ำ อาจจะเป็นเพราะมองเรื่องนี้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของ "ความเป็นสมัยใหม่" หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขาอยากให้ผู้คนชาวเกาหลีเหนือเข้าถึงสิ่งที่เขาเคยมีอภิสิทธิ์ในการเข้าถึงได้บ้าง
 
คำอธิบายอีกอย่างหนึ่งที่เป็นไปได้คือการที่คิมจองอึนพยายามสร้างภาพลักษณ์ของประเทศตัวเองให้ดูเหมือนว่าพวกเขาเข้าถึงความหรูหราได้ แทนคำอธิบายจากภายนอกที่ให้ภาพเกาหลีเหนือดูกำลังเน่าจากภายในและเต็มไปด้วยความอดอยาก หรือเป็นการต้านทางอิทธิพลจากต่างประเทศไปด้วยเช่น การลอบนำเข้าวัฒนธรรมจากเกาหลีเหนือทั้งเคป็อบและละครที่จะเปลี่ยนความคิดอ่านของผู้คน เป็นภัยต่อระบอบของคิมจองอึนเอง
 
แต่เมื่อเปิดหน้ากากการสร้างภาพเหล่านี้ออกมาแล้ว คิมจองอึนก็เป็นเผด็จการที่เหี้ยมโหดคนหนึ่ง เขาสั่งลงโทษและประการชีวิตผู้คนจำนวนมาก โดยมีตัวเลขคนถูกประหารชีวิต 340 ราย บางคนถูกประหารด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นแค่ถูกมองว่าปรบมืออย่างไม่เต็มใจ หรือเผลอหลับในช่วงประชุม รวมถึงมีการสังหารกระทั่งญาติตัวเองด้วยวิธีโหดร้าย แสดงท่าทีไม่อยากให้ใครมาท้าทายตัวเองอย่างชัดเจน ภาพจริงหลังฉากที่ดูสมัยใหม่ของคิมจองอึนจึงเต็มไปด้วยความอำมหิตและการกดขี่เพื่อหล่อเลี้ยงภาพลวงตาและความใฝ่ฝันที่ยกตัวเองสูงส่งยิ่งใหญ่และพรหมลิขิตของเกาหลีเหนือ
 
 
ตัวร้ายในสายตานานาชาติ
 
นับตั้งแต่คิมจองอึนปกครองประเทศตลอด 6 ปีที่ผ่านมาเขาทำอะไรเหมือนพยายามทดสอบความอดทนของนานาชาติเสมอแล้วนึกว่าเขาจะรับมือกับการโต้ตอบได้ อย่างกรณีการทดลองนิวเคลียร์ที่ดูจริงจังขึ้นถึงแม้ว่าจะส่งผลกระทบทางการเงินของประเทศผ่านการคว่ำบาตรจากต่างชาติ
 
อย่างไรก็ตามถึงแม้ในเกาหลีเหนือจะมีการแก้รัฐธรรมนูญให้คิมจองอึนมีอำนาจเกี่ยวกับการพัฒนานิวเคลียร์มากขึ้น แต่ตัวแทนของทางการเกาหลีเหนือในเวทีโลกก็บอกว่าการทดลองนิวเคลียร์ของพวกเขาเป็นไปเพื่อป้องปราบและ "ถ่วงดุลย์อำนาจนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ" เท่านั้นโดยอ้างการออกกฎหมายของเกาหลีเหนือเองในปี 2555
 
นอกจากอาวุธนิวเคลียร์แล้วสิ่งที่คิมจองอึนใช้เป็นเครื่องมือยุยงท้าทายคือการโจมตีทางไซเบอร์ รวมถึงอาวุธเคมี และอาวุธชีวภาพ พร้อมทั้งการแสดงออกของผู้นำเองที่เป็นไปในทางยั่วโมโหหลังจากถูกกดดันจากต่างชาติ รวมถึงขู่กลุ่มที่นำเสนอภาพลักษณ์แย่ๆ ของเกาหลีเหนือ เช่น ภาพยนตร์ The Interview ที่มีฉากการพยายามลอบสังหารผู้นำเกาหลีเหนือถูกนำเสนอแบบตลกๆ แต่ผู้นำเกาหลีเหนือก็โต้ตอบว่ามันเป็น "การประกาศสงคราม" และขู่ว่าจะใช้การโจมตีทางไซเบอร์ระดับ 9/11 จัดการกับโรงภาพยนตร์ที่ฉายภาพยนตร์นี้ 
 
แม้ว่าการโจมตีดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นในระดับ 9/11 แต่แฮกเกอร์ของเกาหลีเหนือก็สามารถเจาะเข้าไปป่วนข้อมูลของโซนีพิกเจอร์เอนเตอร์เทนเมนต์ที่ผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ รวมถึงเอาข้อมูลภายในบริษัทไปปล่อยภายนอก ข้อมูลกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ระบุว่าเกาหลีเหนือมีแฮกเกอร์อยู่จำนวน 6,000 ราย ที่ไม่ได้มีฐานปฏิบัติการในเกาหลีเหนือแต่อย่างเดียวแต่มีฐานปฏิบัติการกระจายออกไปในที่อื่นๆ เช่น จีน, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแหล่งอื่นๆ ด้ว
 
อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์ของสถาบันบรูคกิงส์ก็ระบุว่าคิมจองอึนไม่ใช่พวกที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเสี่ยงตัวเองให้โดนโต้ตอบด้วยกำลังจากชาติอื่น แต่การโจมตีต่างๆ ของเกาหลีเหนือมีการวางแผนเอาไว้แล้วอย่างดี ไม่ล้ำเส้นในระดับที่ทำให้สหรัฐฯ หรือชาติพันธมิตรจัดการได้ เป็นไปได้ว่าเพราะรัฐบาลเกาหลีเหนือรวมถึงคิมจองอึนเองรับรู้ถึงจุดจบของเผด็จการไม่คิดหน้าคิดหลังจากมุมมาร์ กัดดาฟี และความระแวงต่อจุดจบของผู้นำลิเบียผู้นี้เองก็อาจจะทำให้เขายึดเกาะกับอาวุธนิวเคลียร์โดยไม่ยอมปล่อยให้เกิดการปลดอาวุธนิวเคลียร์พวกเขาง่ายๆ
 
นอกจากนั้นความมั่นใจในตัวเองทางด้านอาวุธนิวเคลียร์ก็มาจากการที่คิมจองอึนเองยังไม่เคยเผชิญกับวิกฤตการณ์แบบที่พ่อกับปู่ตัวเองเคยเผชิญ เขาถึงใช้แต่วิธีการแสดงอำนาจทางทหารและการยั่วยุในการแก้ไขปัญหา แต่ไม่มีประสบการณ์เรื่องศิลปะในการเจรจา ประนีประนอม และการทูตเลย นอกจากนี้สภาพการปราบปรามคนขัดขืนภายในก็ทำให้คิมจองอึนเหลือแต่คนรอบตัวที่อวยเขาก็ทำให้เกิดความคิดหลงผิดภายในกลุ่ม (groupthink) 
 
กระนั้นในยุคปัจจุบันคิมจองอึนก็อยู่ในสภาพต้องดิ้นรนสูงเช่นกัน ทั้งปัจจัยจากภายนอกที่นานาชาติกดดันเกาหลีเหนือมากเป็นประวัติการณ์ และปัจจัยจากภายในที่คนเกาหลีเหนือเรื่องรับรู้โลกภายนอกมากขึ้นจากรูรั่วของข้อมูลข่าวสารที่เข้าไปในประเทศ การปล่อยให้เกิดระบบตลาดและบริโภคนิยมก็ทำให้เกิดชนชั้นคนมีเงินจะกลายเป็นสิ่งที่กดดันรัฐบาลคิมจองอึนในอีกทางหนึ่งด้วย การกดดันทางการเงินจากภายนอกจะทำให้คิมจองอึนใช้ทรัพย์สินปูนบำเหน็จให้ลิ่วล้อรอบข้างได้น้อยลงด้วย สำนักวิจัยอินเตอร์มีเดียก็สำรวจพบว่าชาวเกาหลีเหนือเริ่มรับข้อมูลข่าวสารจากช่องทางของรัฐบาลลดลงเหลือเพียงแค่ร้อยละ 1-3 เท่านั้น แต่เริ่มรับวิทยุต่างชาติมากขึ่นและมีถึงร้อยละ 71 ที่รับข่าวสารจากการบอกเล่าปากต่อปาก
 
ทั้งหมดนี้จะทำให้คิมจองอึนสงบเสงี่ยมเจียมตัวลงหรือไม่ ปักมองว่าเมื่อพิจารณาจากท่าทีจองหองของผู้นำอายุน้อยที่แสดงออกเมื่อไม่นานมานี้แล้ว เขาอาจจะยิ่งมีความมั่นใจสูงที่จะสั่งทำอะไรรุนแรง กลุ่มประเทศอย่างสหรัฐฯ และพันธมิตร รวมถึงประเทศอย่างจีนก็ควรจับตามองการเปลี่ยนท่าทีมาเป็นรุกของเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิด รวมถึงเตือนว่าการมองเกาหลีเหนือว่าแค่เปลี่ยนท่าทีมาเป็น "การทูตแบบขู่บังคับ" นั้นอาจจะเป็นการสรุปจากข้อมูลที่ไม่มากพอและต้องไม่ลืมว่าเกาหลีเหนือไม่ใช่ประเทศที่นิ่งเฉยอยู่นอกเหนือประวัติศาสตร์แต่เป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลง ฝ่ายผู้จับตามองเกาหลีเหนือเองก็ไม่ควรจองหองนิ่งนอนใจเกินไป
 
นอกจากการเก็บข้อมูลที่มากขึ้นแล้วจึงมีการเสนอให้สหรัฐฯ ควรพยายามลดภัยนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือด้วยวิธีการที่จะไม่กระตุ้นให้พวกเขายกระดับอาวุธตัวเอง และควรจะทำให้คิมจองอึนเรียนรู้ เข้าใจเสียใหม่ว่าเขามีความสามารถในการรับมือแรงกดดันจากภายนอกไม่ได้มากเท่าที่เขาคิด ไปพร้อมๆ กับวิธีอื่นๆ อย่างการตัดทรัพยากรที่พวกเขาจะเอาไปใช้กับโครงการนิวเคลียร์ เพิ่มการส่งผ่านข้อมูลข่าวสารจากโลกภายนอกเข้าไปในเกาหลีเหนือ และสร้างความตระหนักรู้ว่าเผด็จการอย่างเกาหลีเหนือละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไร สร้างวิสัยทัศน์ที่สวยงามเกี่ยวกับเกาหลีเหนือหลังยุคคิมจองอึนเพื่อสนับสนุนให้เกิดการแปรพักตร์
 
"คิมจองอึนยังคงกำลังเรียนรู้ ทำให้แน่ใจว่าเขาจะเรียนรู้บทเรียนที่ถูกต้อง" ปักระบุในบทความ 
 
 
เรียบเรียงจาก
 
THE EDUCATION OF KIM JONG–UN, Brookings Institution, 02-2018
 
UNDERSTANDING KIM JONG UN, THE WORLD’S MOST ENIGMATIC AND UNPREDICTABLE DICTATOR, Vanity Fair, 03-2015

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net