Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

บันทึกจาก ชนกนันท์ ร่วมทรัพย์ นักกิจกรรมทางการเมืองผู้แชร์รายงานข่าว ประวัติ ร.10 จนถูกแจ้งข้อหาเอาผิดตาม กม.อาญา ม.112 (ชนกนันท์ เป็นผู้ถูกแจ้งความดำเนินคดีเป็นรายที่ 2 ต่อจากกรณี ไผ่ ดาวดิน


ที่มาภาพ: แมน ปกรณ์ อารีกุล

บ่ายวันที่ 16 มกราคม 2561 เราตื่นบ่ายสองเหมือนทุกวัน ตื่นมาเจอแฟนทำกับข้าวให้กินเหมือนทุกวัน ลงมาเจอพ่อกับแม่เหมือนทุกวัน เพียงแต่วันนั้นมีใบให้ไปรับของที่ไปรษณีย์ เราก็คิดว่าเป็นหมายนัดศาลทหารคดีราชภักดิ์ เพราะมีนัดขึ้นศาลทหารวันที่ 26 ม.ค. แล้วปกติจะมีหมายนัดมาบ้านเป็นใบให้ไปรับที่ไปรษณีย์แบบนี้ เราก็ขับรถไปไปรษณีย์ พอรับจดหมายมาแล้วก็เปิดอ่าน ปรากฎว่าไม่ใช่หมายนัดศาลทหาร แต่เป็นหมายเรียกผู้ต้องหาจากสน.คันนายาว ตอนแรกเรายังไม่ได้อ่านดีๆ ก็ตกใจ นึกว่าขับรถแย่ โดนใบสั่งอีกแล้ว แต่พออ่านข้อกล่าวหาดีๆ เราก็อึ้งไปสักพัก งง ว่าเราโดน 112 จากอะไร ทำอะไรไม่ถูก ระหว่างขับรถกลับบ้านก็ยังพูดอะไรไม่ออก เหมือนตอนนั้นเรามีทางเลือกแค่ไม่กี่ทางทางคือ สู้คดี ติดคุก ลี้ภัย

เรากลับมาถึงบ้านแล้วได้คุยกับหลายๆคน ปรากฎว่าที่เราโดน 112 จากการแชร์ข่าว BBC ในเดือนธ.ค. ปี 59 ตอนที่เราอยู่บราซิล แล้วทหารที่ชื่อสมบัติ ด่างทา ได้ไปแจ้งความที่สน.คันนายาวตั้งแต่ ธ.ค. 59 แล้ว (จริงๆเราต้องโดนพร้อมไผ่) แต่สน.มีปัญหาภายใน เลยชะลอการออกหมาย พอทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็เอาคดีเก่าๆกลับมาออกหมายใหม่ ทำให้เราได้หมายในวันนั้น

พอรู้แบบนี้แทบจะทุกคนบอกให้ออก แต่สุดท้ายเราเองที่เป็นคนตัดสินใจอยู่ดี เวลาในการตัดสินใจตอนนั้นมันสั้นมาก กระชั้นชิดมาก เรามีเวลาไม่ถึง 30 นาทีในการตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไป มันยากตรงที่ไปครั้งนี้เราคงไม่ได้กลับมาแล้ว เราตัดสินใจลงไปบอกพ่อกับแม่ ทุกคนช็อค แต่ก็เห็นด้วย ไม่มีใครอยากให้เราติดคุก 5 ปี จากการโพสต์แชร์ข่าว BBC

จำได้ว่าแม่ถามว่าไปครั้งนี้คือไม่ได้กลับแล้วใช่มั้ย เราตอบว่า ใช่ แล้วก็ร้องไห้ แม่ก็เหมือนจะร้องไห้ไปด้วย แม่ไม่ค่อยแสดงออกว่าเป็นห่วงเวลาเดินทางไปต่างประเทศนานๆ คงเพราะรู้ว่าซักวันลูกก็ต้องกลับบ้าน แต่ครั้งนี้มันแปลก มันฟังดูห่างไกล มันฟังดูเหงามากๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไง

ส่วนพ่อ... พ่อรักเรามากที่สุดในโลก แล้วเราก็รักพ่อมากที่สุดในโลกเหมือนกัน พ่อรู้แล้วก็เศร้ามาก เครียดมาก เรารู้เพราะพ่อไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่วันนั้นมันแสดงออกมาทางสีหน้าชัดเจน พ่อสูบบุหรี่มวนต่อมวน แล้วกินเบียร์ไปเยอะมากภายในไม่กี่ชม.ที่รู้เรื่องจนถึงเวลาที่เราออกมา หลักๆคือเป็นห่วงว่าเราจะไปอยู่มุมไหนของโลก จะอยู่ยังไง จะใช้ชีวิตยังไง

เรามีเวลาไม่กี่ชั่วโมงเหมือนกันในการบอกลาเพื่อนสนิทไม่กี่คน ทุกคนมีอาการเดียวกันคือ ช็อค อึ้ง พูดไม่ออก ...เราก็เหมือนกัน

มาถึงที่นี่วันแรก เราเอาแต่ร้องไห้ เพราะหนทางมันมืดแปดด้าน ทุกอย่างดูสับสน กระชั้นชิด งง ไม่รู้จะจัดการยังไง เอาแต่ตั้งคำถามว่าเราคิดถูกแล้วใช่มั้ยที่เลือกจะลี้ภัย หรือเรากลับไปติดคุกแล้วออกมาเจอบ้าน เจอครอบครัว เจอเพื่อนเหมือนเดิม แต่ได้คำตอบว่ามันถอยไม่ได้แล้ว ถึงแม้เราจะลำบากมาๆ เราเชื่อว่าผู้ลี้ภัยหลายๆคนก็ลำบากแบบนี้เหมือนกัน มันไม่ได้สวยหรู ไม่ได้สบาย อย่างน้อยในตอนแรกเราก็พูดได้ว่ามันแย่มาก

ตั้งแต่ตอนนั้นเวลามีคนถามว่าเรารู้สึกยังไง เราก็ตอบไม่ถูก ความรู้สึกมันหลากหลายมาก เราทั้งหงุดหงิด ทั้งโกรธ เราโมโห เสียใจ คับแค้นใจ อึดอัด ผิดหวัง ผิดหวังมากๆกับหลายคน หลายอย่างที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีหวังก็สิ่งใหม่ๆที่เข้ามาในชีวิตเหมือนกัน

จนถึงตอนนี้ ในเวลาไม่กี่วัน หลายๆอย่างเริ่มเข้าที่แล้ว สภาพจิตใจเราดีขึ้นเมื่อได้เจอคนที่เรารัก ได้คุยกับพ่อแม่ ได้คุยกับเพื่อน ได้กำลังใจจากคนที่เข้าใจเราจริงๆ ทุกอย่างมันค่อยๆดีขึ้น เรากำลังจะโตขึ้น สิ่งใหม่ๆในชีวิตกำลังจะเข้ามาให้เราเรียนรู้มากขึ้นเหมือนกัน

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net