'ศูนย์ทนายสิทธิ' รายงาน คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการรับรองความคิดเห็นในกรณีของศศิพิมลและ ใหญ่ แดงเดือด ผู้ขังคดีตามมาตรา 112 ในการประชุม 21-25 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่าเข้าข่ายเป็นการควบคุมตัวบุคคลโดยพลการ ขัดต่อกติการะหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวทั้งสองคนโดยทันที
20 ต.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการ (Working Group on Arbitrary Detention) ซึ่งเป็นกลไกพิเศษภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Council) ได้รับรองความคิดเห็นในกรณีของศศิพิมล (สงวนนามสกุล) และกรณีของเธียรสุธรรม (สงวนนามสกุล) หรือ “ใหญ่ แดงเดือด” สองผู้ขังคดีตามมาตรา 112 ในการประชุมครั้งที่ 79 ระหว่างวันที่ 21-25 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยคณะทำงานฯ ลงมติเห็นว่าการควบคุมตัวทั้งสองคนเข้าข่ายเป็นการควบคุมตัวบุคคลโดยพลการ ขัดต่อกติการะหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวทั้งสองคนโดยทันที
ก่อนหน้านี้คณะทำงานฯ เคยมีความเห็นที่เป็นทางการต่อกรณีผู้ต้องขังตามมาตรา 112 ว่าเป็นการควบคุมตัวโดยพลการ มาแล้วทั้งหมด 4 กรณี ได้แก่ กรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข (ปีพ.ศ.2555) กรณีปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม (ปีพ.ศ.2557) และภรณ์ทิพย์ มั่นคง (ปีพ.ศ.2558) สองนักกิจกรรมในคดีเจ้าสาวหมาป่า และกรณีของพงษ์ศักดิ์ (ปีพ.ศ.2559) ส่วน กรณีของศศิพิมลและเธียรสุธรรมนั้น เป็นสองกรณีผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ล่าสุด ที่คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดย ได้จัดทำรายงานความคิดเห็นที่เป็นทางการออกมาอีกสองฉบับ (ความคิดเห็นอันดับที่ 51/2017 รับรองเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2560 และความคิดเห็นอันดับที่ 56/2017 รับรองเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2560)
สำหรับกรณีของศศิพิมล หรือก่อนหน้านี้รายงานในชื่อ “ศศิวิมล” แม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสองคน อดีตพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เธอถูกกล่าวหาจากกรณีการใช้เฟซบุ๊กชื่อ “รุ่งนภา คำพิชัย” โพสต์ข้อความที่เข้าข่ายมาตรา 112 จำนวน 7 ข้อความ แม้เธอยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว แต่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหว่านล้อมและกดดันให้ยินยอมรับสารภาพ โดยไม่มีญาติหรือทนายความอยู่ด้วย ก่อนจะมีการสั่งฟ้องต่อศาลทหาร โดยเธอไม่ได้รับการประกันตัว ทำให้ต่อมาได้ยินยอมรับสารภาพในชั้นศาล ก่อนที่เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2558 ศศิพิมลได้ถูกศาลทหารเชียงใหม่พิพากษาจำคุก 56 ปี ให้การรับสารภาพ ลดโทษเหลือจำคุก 28 ปี และจนถึงปัจจุบันเธอยังถูกควบคุมตัวอยู่ภายในเรือนจำ
กรณีของเธียรสุธรรม หรือ “ใหญ่ แดงเดือด” นักธุรกิจในกรุงเทพฯ ถูกกล่าวหาจากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กจำนวน 5 ข้อความ โดยเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2557 เขาและภรรยาถูกเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ปอท. จับกุมตัวจากบ้านพักไปยังมณฑลทหารบกที่ 11 ก่อนที่ภรรยาจะได้รับการปล่อยตัว ส่วนเขาถูกควบคุมตัวต่อ ก่อนจะถูกนำตัวมาแจ้งข้อหาตามมาตรา 112 โดยไม่ได้รับการประกันตัว หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2558 เธียรสุธรรมถูกศาลทหารกรุงเทพพิพากษาจำคุก 50 ปี ให้การรับสารภาพ ลดโทษเหลือจำคุก 25 ปี จนถึงปัจจุบันยังถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำเช่นกัน
ทั้งสองกรณีนี้ จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาเนื่องจากเกิดขึ้นในขณะการประกาศกฎอัยการศึก และทั้งสองกรณีนับได้ว่าเป็นคดีที่ศาลทหารมีการลงโทษจำคุกสูงเป็นอันดับต้นๆ เท่าที่เคยมีมาในข้อหาตามมาตรา 112 โดยนอกจากกรณีของพงษ์ศักดิ์ ที่ถูกศาลทหารพิพากษาจำคุก 60 ปี ให้การรับสารภาพ ลดโทษเหลือจำคุก 30 ปี ซึ่งคณะทำงานฯ ของสหประชาชาติเคยมีความเห็นว่าเป็นการควบคุมตัวโดยพลการมาก่อนหน้านี้แล้ว ล่าสุดยังมีกรณีของ “วิชัย” จากกรณีการปลอมเฟซบุ๊กและโพสต์ข้อความเข้าข่ายมาตรา 112 จำนวน 10 ข้อความ ได้ถูกศาลทหารพิพากษาจำคุก 70 ปี ให้การรับสารภาพ ลดโทษเหลือจำคุก 35 ปี
คำชี้แจงของรัฐบาลไทย
รายงานระบุด้วยว่า ภายใต้กลไกการรับข้อร้องเรียนรายกรณี หลังจากคณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการได้รับข้อร้องเรียนและได้พิจารณาข้อมูลแล้ว จะมีการสอบถามกลับไปยังรัฐบาลต่างๆ ที่ถูกร้องเรียน เพื่อเปิดโอกาสให้ชี้แจงกลับมา ในระยะเวลา 60 วัน ก่อนจะมีการส่งคำชี้แจงดังกล่าวไปยังผู้ร้องเรียนสำหรับให้ความเห็นกลับมาอีกครั้ง แล้วคณะทำงานฯ จึงจะจัดทำความเห็นจากข้อมูลต่างๆ ดังกล่าว
ในกรณีของศศิพิมลและเธียรสุธรรมที่มีการร้องเรียนไป ทางคณะทำงานฯ ได้สอบถามกลับมายังรัฐบาลไทยเช่นกัน แต่ในกรณีของศศิพิมล ทางรัฐบาลไม่ได้มีการตอบกลับใดๆ ต่อข้อร้องเรียนที่คณะทำงานฯ สอบถามไปเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2560
กรณีของเธียรสุธรรม คณะทำงานฯ ได้สอบถามไปยังรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2560 และรัฐบาลไทยได้ชี้แจงกลับมาเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2560 โดยยืนยันว่าประเทศไทยสนับสนุนและให้คุณค่ากับเสรีภาพในการแสดงออกที่เป็นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม สิทธินี้ไม่สมบูรณ์และจะต้องแสดงออกภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ไม่กระทบต่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสามัคคีในสังคม หรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น ตามข้อ 19 (3) ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
คำตอบของรัฐบาลไทยยังระบุว่าการบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 เป็นไปตามหลักการดังกล่าว โดยที่สถาบันกษัตริย์ถือได้ว่าเป็นเสาหลักของสังคมไทย และกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์มีไว้เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือชื่อเสียงของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เช่นเดียวกันกับกฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อยับยั้งสิทธิในการแสดงออกของประชาชน
ต่อมา ผู้ร้องเรียนที่ไม่มีการเปิดเผยชื่อได้ระบุข้อมูลเพิ่มเติมกับคณะทำงานฯ ว่าคำชี้แจงของรัฐบาลไทยเป็นไปในลักษณะเดิมซ้ำกับคำชี้แจงในกรณีอื่นๆ ที่มีการสื่อสารกับผู้รายงานพิเศษหรือคณะทำงานฯ ต่างๆ ของสหประชาชาติก่อนหน้านี้ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดถึงเหตุผลว่าทำไมจึงควรเชื่อว่าการดำเนินคดีบุคคลตามมาตรา 112 ซึ่งได้รับการลงโทษอย่างต่อเนื่องโดยการจับกุม คุมขัง และถูกจำคุกอย่างยาวนาน เป็นการสอดคล้องกับข้อ 19 ของกติกา ICCPR และรัฐบาลก็ไม่ได้อธิบายถึงการใช้ศาลทหารต่อพลเรือน ซึ่งขัดแย้งกับข้อ 14 ของกติกานี้
ผู้ร้องเรียนยังแสดงความกังวลว่าการละเมิดสิทธิผ่านมาตรา 112 ยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีการลงโทษจำคุกอย่างรุนแรงจากศาลหลังการรัฐประหาร 2557 โดยยกตัวอย่างถึงกรณี “วิชัย” ที่ศาลทหารมีการกำหนดโทษสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
การใช้ ม.112 มีความคลุมเครือ-ตีความกว้างขวาง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)