Skip to main content
sharethis

ความเดิมตอนที่แล้ว สัมภาษณ์ ไม้หนึ่ง ก.กุนที: (1) ทำไมถึงต้องแดง! บทวิเคราะห์แดง-เหลือง การเมืองเก่า-ใหม่

"ไม่ว่า SMEs OTOP แต่สิ่งที่พวกคุณคุ้นเคยยกตัวอย่างเรื่องไวน์
คุณคุ้นเคยกับการที่ทักษิณทำให้มีไวน์ออกมา 500 ยี่ห้อ
ผ่านไป 5 เดือนเหลืออยู่ 5 ยี่ห้อ แม่ง! นโยบายนี้เลว เฮ้ย! คุณวิปริตว่ะ
ถ้าเกิดคุณสรุปอย่างนี้ อันนี้คือปรัชญาพื้นฐานของการพัฒนาสังคม
ปริมาณไปสู่คุณภาพ ที่สุดตลาดจะเลือกคุณภาพ"

ประชาไท: ถ้าเราพุ่งเป้าว่าการเสียผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นแรงผลักดันที่ทำให้คนออกมา โดยอธิบายมุ่งไปที่นโยบายประชานิยมซึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างจิตสำนึกใหม่ๆของประชาชน คำถามคือ รัฐบาลต่อๆ จากทักษิณก็ไม่ได้ล้มประชานิยม สานต่อหลายอย่าง ผลิตใหม่หลายอย่างด้วยซ้ำ

ไม้หนึ่ง: ผมเถียงครับ อันที่จริงที่รัฐบาลเหล่านี้สานต่อหรือที่ทักษิณทำเองก็ยังเป็นที่กังขาว่า คุณทำแบบอาร์เจนติน่าหรือเปล่า ที่สุดคุณทำให้ประชาชนเป็นง่อยหรือเปล่า แต่ในมุมมองของผม ผมเติบโตในครอบครัวชาวนา พอวัยรุ่นครอบครัวชาวนาของผมยกระดับมาเป็นชาวสวน ชาวนาทำเพื่อกิน ชาวสวนทำเพื่อขาย ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ผมกลายมาเป็นพ่อค้า ผมยกระดับตัวเองมาตลอด แล้วผมก็มีการศึกษาระดับเดียวกับพวกคุณ ผมเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง ผมเห็นชีวิตคนที่มันเปลี่ยนไปด้วยทรัพยากร อำนาจ และโอกาส บางครั้งอำนาจกับโอกาส มันเป็นสิ่งเดียวกัน เงินกองทุนหมู่บ้านสองหมื่น ถึงแม้ว่าคนภาคใต้อาจจะเถียงว่าภาคใต้ไม่มีโอเค มันเพิ่งมีมา 6 ปี ต้องขยายเพิ่มด้วย ที่ผ่านมาใช้ฐานความคิดแบบนักการเมืองซึ่งล้าหลังแบบฐานคะแนนกูก็ให้ก่อน แต่คุณจะบอกว่ามันผิดไม่ได้ คุณต้องบอกว่ามันเป็นพลวัต ถ้ามันหมุนไปสู่จุดที่ดีก็ต้องบอกว่ามันถูก แต่ถ้ามันถอยไปสู่การที่แบ่งประเทศ อันนั้นมันก็เลวร้าย

เพราะฉะนั้น เงินสองหมื่นบาทมันทำให้คนเปลี่ยนจากชาวนาโดยไม่ต้องเป็นชาวสวนแบบผม แต่เป็นพ่อค้าบะหมี่ชายสี่ฯ ได้เลย แล้วคุณอาจจะถามผมว่า อ้าว แล้วความพอเพียงล่ะ...ความพอเพียงก็เป็นความลวง ในขณะที่ภววิสัยทางโลกเป็นทุนนิยม เป็นคลื่นกระแสที่เชี่ยวกราก คุณต้องทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน คือ คุณต้องพอเพียงในรสนิยม คุณควรจะมีมือถือในยี่ห้อที่ไม่ต้องใช้เน็ตได้ถ้าคุณเป็นชาวนา หรือว่าบางเงื่อนไขคุณไม่จำเป็นต้องใช้ ทุกอย่างต้องพอเพียงในรสนิยม แต่ในการทำมาหากินต้องสอดรับกับภววิสัยทางโลก

สรุปง่ายๆ ว่า ตอนนี้นักการเมืองเลว ที่สุดวิธีคิดการมองว่าสังคมชั่วร้าย คนยังด่าพ่อค้าคนกลางอยู่เลย ซึ่งมันถูก แต่พ่อค้าคนกลางคือใคร แทบเป็นเครือข่ายของชนชั้นสูงทั้งนั้น แต่ในขณะกระบวนทัศน์ของพรรคไทยรักไทย หรือวิธีคิดของพรรคไทยรักไทยพูดถึง SMEs และ OTOP สิ่งเหล่านั้นอย่าทำเป็นเล่นไป ชาวนาที่มีลูกจบ MBA มันไม่ยากเลยที่เขาจะมาแทรกตัวในการค้าเสรีแล้วส่งข้าวของพ่อเขาเองตามห้าง ทุกคนได้เงินสองหมื่น มีทรัพยากร มีทุน ได้โครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อการผูกขาดของชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง จริงๆ มันก็สรุปไม่ได้ว่าไม่เอื้อ แต่มันส่งเสริมรายย่อย ไม่ว่า SMEs OTOP แต่สิ่งที่พวกคุณคุ้นเคยยกตัวอย่างเรื่องไวน์ คุณคุ้นเคยกับการที่ทักษิณทำให้มีไวน์ออกมา 500 ยี่ห้อ ผ่านไป 5 เดือนเหลืออยู่ 5 ยี่ห้อ แม่ง! นโยบายนี้เลว เฮ้ย! คุณวิปริตว่ะ ถ้าเกิดคุณสรุปอย่างนี้ อันนี้คือปรัชญาพื้นฐานของการพัฒนาสังคม ปริมาณไปสู่คุณภาพ ที่สุดตลาดจะเลือกคุณภาพ

"นักคิดนักเขียนในสังคมไทย มุ่งผลิตวาทกรรมที่เหมือนกับว่าคนที่ทำมาหากินที่สุจริต
แต่ต้องการได้กำไรที่สอดรับกับภววิสัยทางโลกกลายเป็นคนเลวไปหมด
ที่สุดอันนี้ก็ยกระดับมาสู่ทักษิณ"

ถ้าคนเคลื่อนไหวเพราะผลประโยชน์ส่วนตัวที่ได้จากโครงการประชา นิยม รัฐบาลไหนก็ทำได้ ก็ทำประชานิยมสิ ทำไมคนจะต้องยึดติดกับไทยรักไทยด้วย หรือมันมีหลักการอะไรบางอย่างหรือเปล่าที่ทำให้เขาออกมา

ความจริงใจไง เอาง่ายๆ ทุกรัฐบาล คนที่ถือครองอำนาจรัฐ มันฉกชิงอำนาจและทรัพยากรไปจากคนทั้งนั้น แต่ความจริงใจจะทำให้ประชานิยมไปพ้นจากทฤษฎีสู่การปฏิบัติที่แท้จริง พูดตรงๆ นะ ไอ้ม็อตโต้ ที่บอกว่า จงอย่าเอาปลาไปให้ประชาชน แต่จงสอนประชาชนให้จับปลา มันเป็นวาทกรรมที่ใช้ไม่ได้กับเมืองไทย เพราะอะไรรู้หรือเปล่า มันเป็นม็อตโต้ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ จากสังคมที่ไม่มีความสมบูรณ์ ในเรื่องทรัพยากร ไม่มีความสมบูรณ์ในภูมิประเทศ เอ้า คุณ ดูง่ายๆ อย่างเมืองจีนและรัสเซีย เขามีพื้นที่เพาะปลูกได้กับพื้นที่เพาะปลูกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไอ้วิธีคิดอย่างนี้ถึงสอดรับกับภูมิประเทศของเขา แต่ของเราทุกวันนี้แทบไม่มีแล้วไอ้พื้นที่ที่จะต้องมีอีสานเขียวอยู่ มันแทบจะมีแต่พื้นที่น้ำท่วม เพราะปัญหาจากเขื่อน พูดง่ายๆ ว่าอย่าให้วาทกรรมนี้เข้ามา หรือเข้ามาได้แต่คุณศึกษากันในหมู่นักวิชาการ ทันทีที่คุณจะไปสู่การปฏิบัติ คุณต้องบอกใหม่ว่า จงคืนปลาสิบตัวให้แก่ประชาชนสักแปด คุณเอาไปแค่สองตัว

ปัญหาของเราคือ คุณไม่ต้องสอนประชาชนจับปลาหรอก ประชาชนทำมาหากินได้ เขาขาดแค่ปัจจัยบางอย่าง ที่ช่วงสังคมพัฒนาการมาเป็นสังคมสมัยใหม่ หรือสังคมนิคส์ เขาขาดโครงสร้างบางอย่างพังไปอย่างเช่น โครงสร้างแข็งแรงในเรื่องของทฤษฎีเกษตร

ทฤษฏีเก่าคือ ชาวนาชาวสวนถูกทำลายโดยเจียไต๋ ผมเติบโตมาในยุคนั้น เติบโตมาพร้อมกับเจียไต๋ ผมเติบโตที่นครชัยศรี สวนของเรามีนาด้วยเกือบ 80ไร่ เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงปลา ปลูกผัก แต่เราทำเพื่อรับใช้ปากท้องของพวกเรา ต่อมาถูกเปลี่ยนโดยบริษัทเมล็ดพันธุ์ บริษัทปุ๋ย ให้ลดพื้นที่การปลูกข้าวให้น้อยลงเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวหรือผักเชิงเดี่ยว เพื่อส่งขายปากคลองตลาดเราถูกทำให้อ่อนแอตั้งแต่ตรงนั้น ที่สุดประชาชนของเราจับปลาเก่งมาก แต่ปัญหาของเราที่แท้จริงไม่ใช่ประชาชนจับปลาไม่เป็น แต่คือการที่มีโจรช่วงชิงปลาของประชาชนไปตลอดเวลา ทุกวันนี้ประชาชนได้กินปลาแค่ 2 ตัว แต่อีก 8 ตัวมันถูกชิงไปไม่ว่าโดยอำนาจรัฐ จากชนชั้นสูง หรือกระบวนการบ้านเมือง อะไรก็ตามแต่ ตรงนี้สำคัญ

แล้วอีกอย่างหนึ่ง เงินทองของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง ใช้ไม่ได้กับภววิสัยปัจจุบัน ภววิสัยปัจจุบัน ในเมื่อโครงสร้างปัจจุบันของคุณถูกทำลายแล้ว ความแข็งแรงเรื่องที่นา สวนผัก สวนผลไม้ ถูกทำลายแล้ว คุณต้องมีเงิน คุณไม่มีต้นข่อยมาสีฟัน คุณต้องจ่ายเงินซื้อเดนทิสเต้ ใกล้ชิด ซอลท์ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่พวกคุณก็ถูกชี้นำแบบนี้ แม้แต่กับวงการวรรณกรรมก็ตาม

จะยกตัวอย่างเรื่องสั้นของคุณ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งที่คุณศุ บุญเลี้ยง วิจารณ์คุณกนกพงศ์ 3 ปีแล้วมั้ง ผมจำไม่ได้ ที่แพ่งนรา เนื้อเรื่องคือ คุณยายคนหนึ่งอยู่กับบ้านทำการเกษตร หักของเก็บผลผลิตทางการเกษตรมาขายหน้าบ้านโดยไม่เอากำไร การชี้นำอย่างนี้เป็นปัญหา อันตรายกับประชาชน ราษฎร พลเมืองอย่างที่สุด

สมมติว่าคุณยายอยู่พื้นที่ๆ หนึ่งไม่ได้ปลูกหมากเอง ไม่ได้ปลูกพลูเอง คุณยายต้องมีกำไรไหม คุณมองง่ายๆ ว่า เมืองไทยมันอุดมสมบูรณ์ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากดิน แล้วคุณเด็ดจากดินไปขาย 2-3 บาทก็ได้กำไรแล้ว มันไม่ใช่ไง คุณต้องอย่าส่งเสริมการเอารัดเอาเปรียบและกดขี่ เพราะมันมีบางคนที่จะเหมาผักของคุณยายหมดในเงิน 99 บาท ยังไม่ถึง 100 เลย หรือ 5 บาทมันยังจะเอาเงินถอนจากคุณยายเลย ผักบุ้งกำละ 5 บาท ผักบุ้งมันเอาของคุณยายมาทั้งหมด 10 บาท แต่มันเอามาขายได้ 30บาท ที่สุดคุณต้องทำให้สังคมดำเนินวิถีชีวิตสอดรับกับกลไกการตลาดที่เป็นจริง ไม่ใช่ส่งเสริมการเอารัดเอาเปรียบ

ที่สุดชุดวิธีคิดที่ว่า...เออ เสาร์-อาทิตย์นี้ทำ อะไรกันดีแม่...นี่ไปซื้อผักสิถูกมาก แล้วเราเอามาตั้งขายบ้านหน้าบ้านเราได้กำไร 5 เท่า...คุณส่งเสริมวิธีคิดแบบนี้กันอยู่ทุกวันนี้ ทำไมไม่ไปให้การศึกษาป้าล่ะว่าควรขายเท่าไรเป็นอย่างต่ำ เราขาดปัญญาชนที่จะไปรับใช้ประชาชน คุณลงหมู่บ้านก็จะไปเอาจากเขา นั่งดูป้า ใส่เสื้อผ้าสีนี้ เอาคุณลักษณะของเขามาเขียนเรื่องสั้นส่ง เอาเงินมาใช้ แต่ไม่ได้คืนอะไรให้กับประชาชนเลยแม้แต่ไอเดียในการดำเนินชีวิต และเรื่องสั้นเรื่องนี้ ศุ บุญเลี้ยง จึงวิจารณ์ว่า ถ้าผมเป็นคุณยายแล้วผมทำมาหากินแล้วได้กำไรไม่ได้เหรอ ผมชั่วเหรอ มันกลายเป็นว่านักวรรณกรรม นักคิดนักเขียนในสังคมไทย มุ่งผลิตวาทกรรมที่เหมือนกับว่าคนที่ทำมาหากินที่สุจริต แต่ต้องการได้กำไรที่สอดรับกับภววิสัยทางโลกกลายเป็นคนเลวไปหมด ที่สุดอันนี้ก็ยกระดับมาสู่ทักษิณ

"ผมมองว่าภาววิสัยทางโลก เราต้องส่งเสริมให้แปรรูปทุกอย่างเข้าตลาดให้หมด
โดยระบุไปในรัฐธรรมนูญเลยว่า สาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือทรัพย์ในดินสินในน้ำ
ทุกคนที่เกิดในอาณาเขตของเมืองไทย ทันที่ที่ลืมตาดูโลกแล้วแจ้งเกิด
มีรายชื่ออยู่ในสำมะโนประชากร จะต้องมีหุ้นส่วนในวิสาหกิจนั้น"

ถามจริงเมืองไทยทำไมเราถึงรู้ว่าทักษิณมันรวยนัก เพราะทักษิณมันต้องแจ้งยอดเงิน ต้องแจ้งอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกับผู้แทนทั้งปวง เวลาเข้าเป็นสมาชิกรัฐสภา แต่คนที่ไม่ต้องแจ้งล่ะ แล้วสามารถเอาเปรียบที่กดขี่ประชาชนได้อย่างซึมลึกแล้วก็ทุกเมื่อเชื่อวัน ทำเหมือนกับน้ำเซาะทราย แล้วคำว่า น้ำเซาะทรายของเขาไม่ใช่จากหนึ่งเป็นสอง แต่จากหนึ่งหมื่นล้านเป็นสองหมื่นล้านในสองอาทิตย์ พวกนี้ไม่มีกฎหมายให้เขาชี้แจง ซึ่งที่สุดโครงสร้างเศรษฐศาสตร์แบบก้าวหน้ามีตั้งแต่สมัยนายปรีดี หรือ อาจารย์ป๋วย เค้าโครงเศรษฐกิจหน้าเหลือง ที่สุดก็เป็น Satire เสียดเย้ยกับพรรคประชาธิปัตย์ ภาษีก้าวหน้า ภาษีมรดก ภาษีที่ดิน จริงๆ แล้วเราสามารถจูนสังคม ค่อยๆ เคลื่อนไปสู่ประโยชน์ของประชาชน หรือการดูแลซึ่งกันและกันของพลเมืองได้มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าโครงสร้างการเมืองหรือเศรษฐกิจมันก้าวหน้า คนรวย คุณต้องจ่าย

เมืองไทยมีวิธีคิดหนึ่งที่พวกฝักใฝ่มาร์กซิสม์ถูกด่ามาตลอด ซึ่งเป็นวิธีคิดแทรกซึมของคนชั้นสูงหรือผู้ไม่ต้องการเสียผลประโยชน์มัก กล่าวอ้างว่า คุณจะเป็นคอมมิวนิสต์ไปทำไม ทุกวันนี้ มีจนบ้าง รวยบ้าง คนชั้นกลางบ้าง ถ้าเป็นคอมมิวนิสต์ก็จะจนเท่าเทียมกันหมดจะเอาหรือ มันบ้า เพราะลองไปดูรัสเซียมีแต่น้ำค้างแข็ง ภูเขาเหน็บหนาว ไปดูจีนพื้นที่เพาะปลูกไม่มากมาย ไม่สอดรับกับปริมาณคน ประเทศไทยถ้าคุณจัดโครงสร้างดีๆ ทุกคนจะรวยเท่ากัน

ผมจะเสนอแนวคิดหนึ่งแนวคิดนี้แม้แต่กลุ่มเลี้ยวซ้ายที่มุ่งรัฐ สวัสดิการ เขาก็ยังมองไปอีกทาง ผมก็ไม่เห็นด้วยกับเขา กลุ่มเลี้ยวซ้ายจะมองว่าไม่ส่งเสริมการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ น้ำมัน ไฟฟ้า ประปา แต่ผมมองว่าภววิสัยทางโลก เราต้องส่งเสริมให้แปรรูปทุกอย่างเข้าตลาดให้หมด โดยระบุไปในรัฐธรรมนูญเลยว่า สาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือทรัพย์ในดินสินในน้ำ ทุกคนที่เกิดในอาณาเขตของเมืองไทย ทันที่ที่ลืมตาดูโลกแล้วแจ้งเกิดมีรายชื่ออยู่ในสำมะโนประชากร จะต้องมีหุ้นส่วนในวิสาหกิจนั้น เช่น ปตท. ผมส่งเสริมให้ ปตท.แปรรูปและทำกำไรแต่ประชาชนทุกคนมีชื่ออยู่ในหุ้นของ ปตท.ทันที ถามว่าอย่างนี้ไม่เละเหรอ คุณสามารถจัดสัดส่วนได้ว่าหุ้นที่เป็นของประชากรทั้งหมดเป็นเท่าไร หารได้ปีละ 500 บาทก็สมควร ได้ปีละ 2,000 บาทก็ยิ่งดี ซึ่งในระบบทุนนิยมมันมีแต่ได้ เพราะอะไร เพราะน้ำมันของ ปตท. ประชาชนส่วนใหญ่ต้องใช้ ผมว่าอันนี้เป็นข้อเสนอที่ก้าวหน้ายังไม่เคยมีใครเสนอคล้ายกับระบบสหกรณ์ ปตท.ที่แปรรูปแล้วอยู่ๆ กลายเป็นระบบสหกรณ์ ประชาชนกิน กำไรส่วนหนึ่งก็ให้ประชาชน แม้ว่ากำไรอีกบางส่วนต้องหมดไปกับการบริหาร มันทำได้ ทำไมแนวคิดนี้ไม่มีใครกล้าคิด มันขัดผลประโยชน์ใคร ทุกวันนี้คุณก็รู้ว่ารัฐวิสาหกิจทั้งปวงโบนัสเท่าไร ทำไมการรถไฟของเรามันถึงไม่ดีกว่านี้

เมื่อกี้พูดว่าตอนนี้ประชาชนสุกงอม แต่ดันขาดปัญญาชนแบบที่เคยมี อย่าง 6 ตุลา 14 ตุลา อะไรคือปัจจัยที่ทำให้พวกเขาจำนวนไม่น้อยเหวี่ยงกลับไปเป็นกลุ่มคอนเซอร์เวทีฟในยุคนี้

มันผิดตั้งแต่เราไปมองว่า 14 ตุลา 6 ตุลาเป็นฝ่ายก้าวหน้าแล้ว บอกให้ก็ได้ ทุกวันนี้คนที่ได้ตราประทับจากการเข้าป่า กลายเป็นอภิสิทธิ์ชนส่วนหนึ่ง

"ถ้ากลุ่มคนเหล่านั้นคิดไม่สอดรับกับพวก 14 ตุลา คุณจะเหยียดหยามเขา หรือจะยังไง
พวกคุณเหมือนฝูงหมาที่รวมกลุ่มกัน ปริมาณไม่เยอะหรอก แต่คุณเห่าเสียงดัง
แล้วคุณเข้าร้าน
pet shop คุณตัดแต่งขนอยู่เสมอ
มีความสะอาด ขนมัน ปากชมพู ยืนตรง ขี้เล่น ไม่ดื้อ
ในขณะที่คุณลืมไปว่าไอ้ทารกหมาป่าตัวจริง ทุกวันนี้มันก็ปรับตัวเข้ากับภววิสัยทางสังคม
จนที่สุดมันก็มาอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับคุณ
แล้วมันเห็นว่าคุณเป็นหมาไม่แท้ คุณเป็นหมาย้อมสี แล้วที่สุดคุณเป็นสัตว์เลี้ยง"

แต่ตอนนั้นเขาก็ก้าวหน้าไม่ใช่หรือ มีไอเดียของการต่อสู้เพื่อความเป็นเท่าเทียม เป็นธรรม
แต่มันยังมีความก้าวหน้าแบบจับพลัดจับผลู ไม่ได้ก้าวหน้าจริง ผมจะยกตัวอย่างให้ ระหว่างคนที่เข้าป่าสมัยนั้น พอป่าแตกออกมาทุกคนเหมือนจะมียศถาบรรดาศักดิ์ที่มองไม่เห็นอยู่ ประชาชนทั่วไปอาจไม่รับรู้ แต่วงวรรณกรรมรับรู้และให้เครดิตพวกเขา แล้วพวกเขาก็เติบโตมาเป็นอะไรต่อมิอะไร คุณไปให้ค่ากับปัญญาชนหรือนิสิตนักศึกษารุ่นนั้น ถ้ามองรายละเอียด หลังจากพวกเขากลับออกมาทำไมเขาจึงฟูมฟายตัดพ้อพรรค ทำไมเข้าไปแล้วไม่ได้เป็น ศ. ไม่ได้เป็นอะไรเลย คุณมีต้นทุนในเมือง แต่โดยทฤษฎีคุณไม่มีต้นทุนชนชั้น และยังไม่ได้รับการพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า มือนิ่มๆ ของคุณรับใช้พรรค รับใช้ประชาชนผู้เสียเปรียบได้แค่ไหน แล้วมันก็เกิดมายาคติเช่น ผมโตเป็นหนุ่มไม่ทัน 14 ตุลา 6 ตุลา ทันทีที่ทะลึ่งมาเป็นผู้ฝักใฝ่มาร์กซิสม์ คำที่ตามมาก็คือ ซ้ายใหม่ ซ้ายไร้เดียงสา เพราะไม่มีต้นทุน เด็กบางคนจนมันจบมหาวิทยาลัยมันอยู่ในเขตงานมาตั้งแต่เกิด ขณะที่คุณเข้าไปตากอากาศแค่ไม่กี่ปี ใครเป็นตัวจริงตัวปลอม ตรงนี้ไม่เคยมีใครมาพูด คุณมีแต่เรื่องเด็กหญิงหมวกดาวแดงที่เป็นลูกสาวของปัญญาชนที่เข้าไปมีเมียมี ลูกกันในนั้นแล้วก็ออกมา อ้าว! แล้วคุณเคยพูดถึงลูกหลานของสหายผู้ปฏิบัติงานไหมว่าไอ้พวกนั้นที่ทุกวันนี้ พ่อแม่มันก็ยังอยู่ในพื้นที่ แต่ลูกเต้าเติบโตมีวัยเด็กโดยอุดมการณ์การหล่อหลอมของช่วงเวลานั้น

ผมเคยตั้งคำถามกับวินัย อุกฤษณ์ หรือวารี วายุ ที่เกาะบูบู สมัยรัฐบาลทักษิณว่า พี่ ถ้าวันหนึ่งไอ้เด็กที่มันเคยวิ่งส่งข้าวส่งน้ำให้เพื่อนฝูงพี่ที่เข้าป่า แต่วินัยเขาไม่ได้เข้าป่านะ สมัยที่พวกเพื่อนฝูงพี่หนีอำนาจรัฐเข้าไปอยู่ในป่า เด็กพวกนั้นที่มันเป้ข้าวให้พี่ เพราะมือพี่บางเกินไป ถึงวันนี้มันกลายมาเป็นคนรักทักษิณ รักประชานิยม มีโทรศัพท์มือถือ ใช้ชีวิตสอดรับกับกระแสการค้าเสรีอย่างปัจจุบัน พี่จะว่ายังไง พี่วินัยบอกว่าก็ปล่อยมันไป เมื่อมันเหลวแหลกก็ปล่อยให้มันเหลวแหลกไป ตรงนี้ไงที่ทำให้เห็นว่าคุณยึดมั่นถือมั่นกับกลุ่มความคิดบางอย่างแบบแข็ง และไม่เป็นพลวัตเลย ฉะนั้น ผมว่าตอนนี้คุณภาพใหม่ของสังคมไทยอย่างหนึ่งก็คือ เด็กจากเขตงานพวกนั้นมีโอกาสการศึกษาที่สูง ไทยรักไทยอาจช่วยเป็นส่วนน้อยด้วยซ้ำ แต่พลวัตทางสังคมเป็นไปทางนั้น คุณตั้งคำถามถึงเด็กกลุ่มนั้นไหม ลูกเต้าเหล่ากอของผู้ปฏิบัติงานจริงที่เรียนสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วทุกวันนี้อาจจะมาเป็นนักวิชาการ เป็นคนชั้นกลาง หรือเป็นอภิชนที่นอกคอก มันเสือกประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ถ้ากลุ่มคนเหล่านั้นคิดไม่สอดรับกับพวก 14 ตุลา คุณจะเหยียดหยามเขา หรือจะยังไง

ประเด็นก็คือ พวกคุณเหมือนฝูงหมาที่รวมกลุ่มกัน ปริมาณไม่เยอะหรอก แต่คุณเห่าเสียงดัง แล้วคุณเข้าร้าน pet shop คุณตัดแต่งขนอยู่เสมอ มีความสะอาด ขนมัน ปากชมพู ยืนตรง ขี้เล่น ไม่ดื้อ ในขณะที่คุณลืมไปว่าไอ้ทารกหมาป่าตัวจริง ทุกวันนี้มันก็ปรับตัวเข้ากับภววิสัยทางสังคม จนที่สุดมันก็มาอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับคุณ แล้วมันเห็นว่าคุณเป็นหมาไม่แท้ คุณเป็นหมาย้อมสี แล้วที่สุดคุณเป็นสัตว์เลี้ยง ในขณะที่เด็กเหล่านั้นเป็นหมาจรจัด สุ่มเสี่ยงกับความอดอยากและอะไรหลายอย่าง ล่าเอง ไม่มีต้นทุน พ่อแม่ส่งให้เรียนแล้วจบ ขวนขวายเอาเอง พอไทยรักไทยมา พ่อแม่ก็บอกว่าเอ้า เงินกองทุนหมู่บ้านสองหมื่นไปเซ็นเอาซะ กลับมาในเมืองเปิดบริษัทคอมพิวเตอร์ เปิดเว็บไซต์ทำมาหากิน มันมีคุณภาพใหม่หลายอย่างที่เติบโตในช่วงที่รัฐบาลไทยรักไทยเข้ามาถือครอง อำนาจรัฐ แต่มันถูกทำลายโดยกลุ่มคนซึ่งพยายามชูภาพความเลวร้ายเก่าๆ ของนักการเมือง

ถ้าพูดถึงนักการเมืองอย่างจาตุรนต์ (ฉายแสง) มันก็โคตรเท่ห์ หน้าตาดี มีการศึกษา มีวิธีคิด มีต้นทุนจากการเคลื่อนไหวจากในอดีต แต่ทำไมเวลาทับถมนักการเมืองถึงพูดถึงแต่ประเภทเนวิน (ชิดชอบ) สุเทพ (เทือกสุบรรณ) เฉลิม (อยู่บำรุง) คุณไม่แฟร์กับผู้แทนราษฎร ซึ่งนั่นเท่ากับไม่แฟร์กับราษฎร

"การศึกษาของคนที่ผ่านมาถูกออกแบบโดยอภิชน
จึงตอบสนองความจอมปลอมเหล่านี้ทั้งสิ้น
เขาไม่ต้องการให้พลเมืองเข้าใจสัจจะความจริงทางสังคม
ฉะนั้น ทุกวันนี้มันจึงเป็นว่าทำไมนักสื่อสารมวลชน กวี นักคิด นักเขียน นักวิชาการ
นักอะไรทั้งหลายทั้งปวงที่มันเคยเป็นฝ่ายก้าวหน้า จึงไม่ยืนอยู่ข้างประชาชน
ถึงมีอยู่ก็ส่วนน้อยมาก"

แล้วมองอนาคตยังไง อย่างที่มีข้อเรียกร้องเรื่องขับไล่อำมาตย์ มองความเป็นไปได้ในอนาคตแค่ไหน
โอว ผมมีความหวังเต็มเปี่ยม ผมเป็นคนพุทธ สรุปรวบควบแน่นสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกวันนี้อภิสิทธิ์ชนสามารถเชิดชู สามารถเล่นทริกต่างๆ กับรัฐบาลที่อภิสิทธิ์ชนหนุนให้มามีอำนาจได้ มันเป็นไปตามกลไก คุณอาจจะเลือกอำนาจ 3 รัฐบาลเบิ้ลก็ได้ แต่ที่สุด คุณตั้งอยู่แล้วคุณต้องดับไป มันเป็นสัจจะ ฉะนั้นไม่มีใครละเมิดอันนี้ได้ ปีนี้เป็นปีที่ฝ่ายอภิชนรุ่งเรืองที่สุด โหมดการเคลื่อนของมันเคลื่อนไปสู่ความเสื่อม เมื่อถึงจุดหนึ่งประชาชนอาจขึ้นมารุ่งเรือง แล้วในที่สุดก็อาจเสื่อม หรือยกระดับ เปลี่ยนคุณภาพไป ที่สุด ประชาชนจะได้เป็นใหญ่อยู่แล้ว แต่มันอาจยืดเยื้อยาวนาน

ผมถึงเกริ่นเบื้องต้นถึงเวียดนาม โฮจิมินห์ หรือมีวีรบุรุษของเวียดนามเยอะแยะมากมายที่ต่อสู้มาเป็นร้อยปี เราไม่มีกระบวนทัศน์หรือสายธารประวัติศาสตร์ที่แจ่มชัดในประชาชนของเรา พูดง่ายๆ พวกเราเพิ่งสร้างชาติกันขึ้นมาไม่กี่ปี วัฒนธรรม ประเพณี คุณก็เพิ่งเซ็ตติ้งกันขึ้นมา หลายอย่างมันก็ไม่มีรากเหง้าแท้จริง มาจัดกันเอง ตกแต่งกันเอง

ฉะนั้น การศึกษาของคนที่ผ่านมาถูกออกแบบโดยอภิชน จึงตอนสนองความจอมปลอมเหล่านี้ทั้งสิ้น เขาไม่ต้องการให้พลเมืองเข้าใจสัจจะความจริงทางสังคม ฉะนั้น ทุกวันนี้มันจึงเป็นว่าทำไมนักสื่อสารมวลชน กวี นักคิด นักเขียน นักวิชาการ นักอะไรทั้งหลายทั้งปวงที่มันเคยเป็นฝ่ายก้าวหน้า จึงไม่ยืนอยู่ข้างประชาชน ถึงมีอยู่ก็ส่วนน้อยมาก อย่างแรกคือ คุณถูกเซ็ตติ้งรสนิยม ความเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง จะบอกให้ว่าผมสกปรกนะ ตั้งแต่หลังรัฐประหาร ข้อเขียนของผมรับใช้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในขณะที่เช่นเดียวกัน พันธมิตรฯ ก็มีนักคิดนักเขียนที่ยอมสกปรก คือรับใช้กลุ่มมวลชนของเขา แต่ผมกำลังพูดว่า ความสกปรกนี้ไม่ได้อยู่ในจริตของปัญญาชนชั้นกลาง ปัญญาชนชั้นกลางถูกสร้าง ถูกปลูกฝังให้รับใช้อภิชน ดังนั้น จริตเขาจะโน้มไปทางอภิชน สวย สะอาด บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

ผมมาเหยงๆ กลางเวที ประชาชนปรบมือให้ผม ให้ดอกไม้ ให้มาลัยผม มีเสียงตอบรับกังวานก้องสนามหลวง แต่คุณเอารูปมาดู มันไม่ถูกจริตคุณหรอก แต่ผมเป็นคุณภาพใหม่ของประชาชนในช่วงเวลานี้ และประชาชนก็ก้าวมาพร้อมกับผม คือ ไม่ใช่ผมคนเดียวที่เป็นกวี ส.ส. แม่งก็เป็นกวี ผู้นำ นปช. สามเกลอหัวแข็งบางเวลามันก็กลายเป็นกวีขึ้นมา เฉลิมก็แม่งแทบจะอภิปรายเป็นบทกวี ประชาชน 20 วันข้างทำเนียบผมเห็นอะไร มีคนที่คิดว่าทำงานบริการอยู่ที่พัทยา เห็นผมขึ้นเวทีอ่านกลอน เขาเลยแต่งเพลงมา 3 เพลง เพราะเหมือนทนไม่ไหว คือ แบบนี้กูก็ทำได้ แต่งมา 3 เพลง เพลงหนึ่งเพลงเพื่อประชาธิปไตย อีกเพลงหนึ่งอาจเป็นเพลงรักทักษิณ อีกเพลงหนึ่งพูดถึงความทุกข์ยากของตัวเอง เขามาขอร้องบนเวทีสดๆ มีแต่เนื้อมา นี่คือคุณภาพใหม่ แล้วก็มีการบันทึกบทกวีเอาใส่กระดาษไปอ่านกัน เหมือนเวียดนามในช่วงสร้างชาติ การให้การศึกษาของเขาไม่ใช่แค่การเมืองอย่างเดียว มีสิ่งที่ที่เรียกว่า "เคี่ยวให้ข้น" เพื่อ "ทำมวลสารให้งวด" แล้วก็เหมือนกับเป็นบัวหิมะหรือกำลังใจปลุกเร้ากันและกันในช่วงที่เหนื่อย ล้า

"คุณภาพใหม่อย่างหนึ่งในช่วงปัจจุบันคือ มันก้าวผ่านเข้าสู่แพทเทิร์นเดิม
ที่ออกมาต่อสู้ สูญเสีย เปลี่ยนอำนาจรัฐ ผมไม่ได้พูดว่าออกมาต่อสู้ สูญเสียแล้วชนะนะ
แต่ผมพูดว่าที่ผ่านมาเราถูกหลอกให้วนเป็นเขาวงกตว่า
ออกมาต่อสู้ สูญเสีย เปลี่ยนอำนาจรัฐ แล้วรัฐประหาร
เราเริ่มรู้ทันอภิชนหรืออำมาตย์แล้วว่า
การต่อสู้ในสเกลที่ใหญ่แต่ยืดเยื้อ ซุ่มซ่อน ต่อเนื่อง ยาวนาน
คือการต่อสู้ที่จำเป็นสำหรับประชาชน ซึ่งยังไม่มีทรัพยากร ไม่มีอำนาจ ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ"

อย่างนั้นควรส่งเสริมให้ประชาชนขึ้นเวทีไปอ่านกวี ไปทำกิจกรรมต่างๆ ไหม
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อ่อนมากใน นปช. ในขณะที่พันธมิตรฯ เขาทำแข็งมาก แต่เบื้องหลังที่ให้ขึ้นมาเขามีการจัดตั้งนะ ไม่ใช่ปล่อยให้พวกไร้สาระขึ้นมา แต่ของ นปช. มันมีคุณภาพใหม่อย่างหนึ่งของสังคมไทยที่เรายังสรุปไม่ได้ว่ามันดีหรือมัน เลว ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวกับอำนาจรัฐหรือการเมือง เรานำโดยภาคประชาชนมาตลอด ไม่ว่านิสิตนักศึกษา หรือช่วงพฤษภา 35 แต่ครั้งนี้มันมีอะไรที่มันเปลี่ยนไป จุดหนึ่งที่ชัดเจนคือ ฝ่ายพรรคการเมืองมานำในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย พรรคการเมืองมีความพร้อมทั้งฐานเสียง คือมวลชนที่เขาจัดตั้ง มีความพร้อมด้านทรัพยากร ค่าเช่าแสง สี เสียง เวที มีความพร้อมด้านคอนเน็กชั่นอำนาจรัฐ เขาสามารถพูดคุยกับตำรวจ ทหาร หรือมีเพื่อนฝูงอยู่ในเครือข่ายอภิชน พูดง่ายๆ ว่าถ้าไม่ถึงจุดที่ขัดแย้งรุนแรงกับสิ่งที่อยู่สูงสุดของขั้วการปะทะ เขาสามารถเคลียร์ความรุนแรงได้หมด

พูดตรงๆ ว่าทำไมสงกรานต์เลือดที่ผ่านมา เราถึงต้องยกเลิกในวันที่ 14 (เม.ย.) เพราะความขัดแย้งมันล่วงเลยการเผชิญหน้าในระดับที่พูดคุยกันได้ พูดง่ายๆ คือ ความขัดแย้งมันเลยเถิดถึงจุดยอดที่เขาไม่จำเป็นต้องแคร์คุณ เขามีแต่ออเดอร์ลง ไม่มีการสื่อสารที่สมบูรณ์ ฉะนั้น เขาไม่สื่อสารกับคุณ เขายื่นข้อเสนอว่าไม่เลิกก็ตาย มันก็จบ

จริงๆ แล้วผมมองว่าคุณภาพใหม่อย่างหนึ่งในช่วงปัจจุบันคือ มันก้าวผ่านเข้าสู่แพทเทิร์นเดิมที่ออกมาต่อสู้ สูญเสีย เปลี่ยนอำนาจรัฐ ผมไม่ได้พูดว่าออกมาต่อสู้ สูญเสียแล้วชนะนะ แต่ผมพูดว่าที่ผ่านมาเราถูกหลอกให้วนเป็นเขาวงกตว่า ออกมาต่อสู้ สูญเสีย เปลี่ยนอำนาจรัฐ แล้วรัฐประหาร เราเริ่มรู้ทันอภิชนหรืออำมาตย์แล้วว่า การต่อสู้ในสเกลที่ใหญ่แต่ยืดเยื้อ ซุ่มซ่อน ต่อเนื่อง ยาวนาน คือการต่อสู้ที่จำเป็นสำหรับประชาชน ซึ่งยังไม่มีทรัพยากร ไม่มีอำนาจ ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ

ผมสนับสนุนคุณวีระนะ ในสายตาผมเขาถูกทำให้สกปรก แต่วีระมีต้นทุนในการต่อสู้เพื่อประชาชน เพื่อประชาธิปไตยมาตลอด และเขาชัดเจนในการยุติการชุมนุมในวันนั้น นี่แหละคือคุณภาพใหม่ ดันทุรังต่อไปอีก 2 ชั่วโมงก็ตายกันแล้ว ก็เปลี่ยนอำนาจรัฐได้แล้ว แต่คุณภาพใหม่เกิดขึ้น คือเราไม่อยากเห็นการตาย ถึงบางคนจะมองว่าก็มึงก็ไม่อยากตายด้วย จะอย่างไรก็แล้วแต่มันคือคุณภาพใหม่ ต่อสู้ไม่ต้องสงครามครั้งสุดท้าย ไม่ต้องเสียหายกันวันนี้ แล้วก็เหมือนเป็นการสื่อสารนัยๆ ด้วยว่าอำนาจรัฐที่ถือครองนี้มันแค่ตุ๊กตา หนังหน้าไฟ นี่แหละทันทีที่ชัดว่าศัตรูคืออำมาตย์ การต่อสู้ที่ยาวนานยืดเยื้อเท่านั้นจึงจะทำให้สำเร็จผลจริงๆ

"ทศชาติชากดกเรื่องมโหสถมันเหมือนกับรัฐสมัยใหม่เปี๊ยบเลย
เป็นรัฐสวัสดิการ เป็นรัฐที่นิติรัฐแข็งแรง คนให้ความนิยมกับกษัตริย์อย่างจริงจัง
เพราะล้มล้างการกดขี่ ประชาชนเข้าถึงทรัพยากร
ใครก็แล้วแต่ถ้าต้องการเป็นที่นิยมของประชาชนในระดับสูงสุด
ต้องทำให้ความทุกข์ของประชาชนในเรื่องกายภาพนั้นมีน้อยที่สุด"

มีอีกส่วนที่อยากฝากไว้ มันไม่ใช่ส่วนของโครงสร้างหลัก แต่เป็นปฏิบัติการที่สามารถสนับสนุนประชาชน คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกได้ อย่างเช่น ชุมชนเมืองอย่างกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ถ้าเกิดประเทศเป็นประชาธิปไตยจริง ทั้งการเมืองเศรษฐกิจ มันก็คงจะเป็นประชานิยมมากกว่านี้ เป็นประชานิยมที่ถาวร แล้วในที่สุดมันจะมีพลวัตไปสู่การเป็นรัฐสวัสดิการ แต่ทุกวันนี้เรื่องรัฐสวัสดิการอาจดูไกลไป แต่ปฏิบัติการบางอย่างที่สามารถทำได้เลยโดยที่สำนักนายกรัฐมนตรีหรือประกาศ เป็นวาระเร่งด่วน เช่น การมีที่อยู่อาศัยให้กับคนจรเมือง การปลูกโรงนอนที่คุ้มแดดคุ้มฝนที่สนามหลวง มีห้องน้ำสาธารณะ ที่นอน พูดง่ายๆ เราก็จะไม่มีการไปถ่ายอุจจาระตามฟุตบาท เพราะประเทศไทยไม่ได้มีประชากรเยอะเหมือนอินเดีย

อีกส่วนหนึ่งคือ เปลี่ยนวิธีคิดการทำบุญ ทุกวันนี้เราต้องเห็นพ้องกันหลายส่วนว่า วัดในเมืองตักบาตรอาหารเหลือ ภิกษุต้องมีรถเข็นไปเอาอาหารที่คนใส่เกินความต้องการ แทบจะกินได้ทั้งหมู่บ้าน อธิบายถึงการล้นเกิน เราต้องการสร้างรสนิยมการทำบุญกระแสตรง ด้วยการให้ผู้ที่ต้องการกินอาหารที่แท้จริง จะเป็นกุศลที่แท้จริงด้วย เราจะมีทั้งโรงนอนและโรงทาน เปิดโอกาสให้คนมีเงินเยอะมาทำบุญให้อาหารคนในสนามหลวง คนที่ทำบุญเช่นนี้สัก 30 ครั้ง คุณจะได้เข็มเชิดชูจากรัฐบาล อีกส่วนหนึ่งเราจะให้โอกาสสำหรับคนที่ไม่ได้มีสันดานชั่วร้าย เปิดทางออกให้ประชาชน เปิดปั๊มอิฐดิน ทำเพื่อให้ปัญญาชนชั้นกลางในละแวกนั้นเข้ามาใช้แรงงานบ้าง ให้ได้เหงื่อบ้าง แล้วบันทึกชั่วโมงทำงานของคุณถึงจุดหนึ่งก็ได้เข็มเชิดชู ส่วนประชาชนที่ไม่มีเงินมาปั๊มอิฐดินก็ควรได้เงิน โดยรัฐจะจ่ายให้ก้อนละ 1 บาท เรียกว่ามีทางออกให้คนสิ้นไร้ไม้ตอกบ้าง อิฐดินตัวนี้อยู่ในกระแสที่ได้รับความนิยม คุณต้องจัดระบบการขายอิฐดิน และสร้างรสนิยมแพร่หลายในการสร้างบ้านดิน ซึ่งต้นทุนต่ำกว่าปูนซีเมนต์ อย่างนี้ครบวงจร สิ่งเหล่านี้ทำได้เลยไม่ว่ารัฐบาลไหน ถ้าพันธมิตรฯ เอาเรื่องนี้ไปชู ผมว่ามันเป็นมุมมองใหม่ แล้วพันธมิตรฯ จะได้มวลชนชั้นล่างในเมือง ประชาธิปัตย์ก็จะกินรวบฐานคะแนนในเมือง

อันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดเอง แต่ผมได้แรงบันดาลใจจากทศชาติชาดก ส่วนหนึ่งพูดถึงมโหสถ ซึ่งเป็นชาติหนึ่งที่น่าสนใจของพระพุทธเจ้า เขาเป็นปัญญาชนมารับใช้ชนชั้นสูงแต่ถึงที่สุดไปมีเมียเป็นชาวนา และในยุคสมัยของเขา เขาเลือกจะสร้างคณะผู้พิพากษาให้เที่ยงธรรมโดยใช้สติปัญญา มีโรงพยาบาลกลาง มันคือ 30 บาทรักษาทุกโรค มีโรงนอนพักค้างคืน มีโรงทาน อาหารสำหรับคนจร ฉะนั้น ไม่แปลกทำไมศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่ใหม่ ทำลายโครงสร้างเดิมของพราหมณ์และฮินดู วิธีคิดของสิทธารัตถะเรื่องรัฐสวัสดิการมันสั่งสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ผมอาจละเมิดมาร์กซิสม์ที่จิตนิยมเกินไปหน่อย แต่ผมอยากให้คนอ่านบทสัมภาษณ์นี้กลับไปอ่านเรื่องมโหสถ เขาพูดเรื่องการพูดด้วย กับเพื่อนบ้านทำอย่างไรไม่ให้มีสงคราม เราเทียบเคียงกับเรื่องเขมรได้เลย ทศชาติชาดกเรื่องมโหสถมันเหมือนกับรัฐสมัยใหม่เปี๊ยบเลย เป็นรัฐสวัสดิการ เป็นรัฐที่นิติรัฐแข็งแรง คนให้ความนิยมกับกษัตริย์อย่างจริงจัง เพราะล้มล้างการกดขี่ ประชาชนเข้าถึงทรัพยากร ใครก็แล้วแต่ถ้าต้องการเป็นที่นิยมของประชาชนในระดับสูงสุด ต้องทำให้ความทุกข์ของประชาชนในเรื่องกายภาพนั้นมีน้อยที่สุด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net