Skip to main content
sharethis



 


การชุมนุมของประชาชน ณ บริเวณท้องสนามหลวงและลานพระบรมรูปทรงม้า ได้กลายเป็นพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามาทำกิจกรรมสาธารณะร่วมกัน แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดทางการเมืองของแต่ละคน


 


น่ายินดีว่า ในการชุมนุมทุกครั้ง มีประชาชนเข้าร่วมอย่างหลากหลาย มีกระทั่งเด็กๆ เยาวชนตัวเล็กๆ วัยอนุบาลและประถมต้นๆ ช่วยเติมความสดใส มีชีวิตชีวา เป็นความหวังต่ออนาคตของชาติ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ


 


ผมเข้าไปร่วมอยู่ในการชุมนุมเกือบทุกครั้ง ได้เฝ้าสังเกตด้วยความสงสัยว่า เด็กๆ ที่พ่อแม่ผู้ปกครองพามาร่วมการชุมนุมนั้น จะเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างไร?


 


นึกถึงการชุมนุมเมื่อครั้งพฤษภาทมิฬ ปี 2535 ขณะนั้น ลูกสาวผมก็อายุพอๆ กับเด็กเหล่านี้ ราว 4- 6 ขวบ กำลังช่างสงสัย ช่างพูด ช่างซักถาม จำได้ว่าขณะนั้น ผมพยายามบอกเล่าถึงเหตุบ้านการเมืองให้ลูกได้เข้าใจ การจะอธิบายแบบตรงๆ คงดึงสมาธิและความสนใจของเด็กไม่ได้ จึงอาศัยจุดแข็งของเด็กวัยนี้ คือ "จินตนาการ" มาช่วยในการถ่ายทอดเรื่องราวบ้านเมือง


 


เมื่อมีการชุมนุมของประชาชนในครั้งนี้ ผมจึงนึกถึงวิธีการดังกล่าว และได้ใช้เล่าให้เด็กๆ ฟังถึงเหตุบ้านการเมืองในปัจจุบัน


 


เรื่องมีอยู่ว่า...


บ้านเมืองของเรา มี "ต้นไม้ประชาธิปไตย" มาแต่เก่าก่อน ช่วยให้ประชาชนได้อาศัยร่มเงา และดอกผล มาเนิ่นนาน


 


เวลาผ่านมา ไม้เก่าต้นนี้ ก็ถูกหนอนและแมลงบ่อนเซาะ ชอนไชทำลาย


 


ชาวบ้านต้องช่วยกันหาเมล็ดพันธุ์ดีๆ มาปลูกใหม่ ตั้งแต่ 11 ตุลาคม 2540 ประชาชนได้ช่วยกันบำรุงรักษา รดน้ำพรวนดิน ต้นไม้ประชาธิปไตยก็งอกงามขึ้นมาเรื่อยๆ


 


กระทั่งราวๆ ปี 2543 เป็นต้นมา ได้มีนักธุรกิจ ชื่อ "นายเหลี่ยมจัด" อาสาเข้ามาดูแลต้นไม้ อ้างว่ารวยพอแล้ว ไม่มีภาระทางบ้านแล้ว จะทำหน้าที่ดูแลต้นไม้ให้คนทั้งประเทศ โดยขอให้ไว้ใจ ขอให้เชื่อใจ หว่านล้อมว่าจะไม่เอาผลประโยชน์จากการดูแลต้นไม้ประชาธิปไตยเข้ากระเป๋าตัวเอง นายเหลี่ยมจัดได้จัดสมัครพรรคพวกเกือบ 400 คน เข้ามาอาสาดูแลต้นไม้ รับอำนาจจัดการดูแลแบบเบ็ดเสร็จ ยาวนานถึง 5 ปี แต่เมื่อใดต้นไม้ประชาธิปไตยผลิดอกออกผลก็จะเปิดทางให้ญาติพี่น้องและพวกพ้องของตนเองเข้ามาแอบกินแอบใช้ประโยชน์


 


อยู่มา ประชาชนเริ่มเอะใจ เพราะเห็นต้นไม้ประชาธิปไตยใบซีด สีเหลือง หล่นร่วง และแคระแกร็น เมื่อมาดูค่อยพบว่า มีหนอนมีแมลงชอนไช จนแทบจะตายทั้งยืนอยู่แล้ว


 


ในที่สุด เมื่อพินิจพิเคราะห์กันจริงๆ ประชาชนจึงได้รู้ทันว่า นายเหลี่ยมจัดไม่ได้ดูแลต้นไม้อย่างดี แต่กำลังใช้ต้นไม้หาผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองและพรรคพวก


 


ยอดของต้นไม้ประชาธิปไตยก็ถูกลูกชายลูกสาวของ "นายเหลี่ยมจัด" ตัดเอาไปขายให้ต่างชาติในราคา 73,000 บาท เปลือกของต้นไม้และรากของต้นไม้ก็พาสมุนมาลอกเลาะไปต้มกินต้มขายกันใหญ่ ดอกผลของต้นไม้ก็ไม่มีเหลือ เพราะญาติพี่น้องของนายเหลี่ยมจัดแอบจับจองทุกดอกทุกผลเอาไว้ก่อนใครเพื่อน


 


ต้นไม้ประชาธิปไตยถูกรุมทึ้ง แทบแห้งตาย


 


รากแก้วที่ยึดแผ่นดินไว้ยาวนาน เกือบจะถูกถอนราก


 


ประชาชนที่อยู่กลางเมือง อยู่ใกล้ต้นไม้ประชาธิปไตยมากกว่าคนอื่น สังเกตเห็นความเลวร้ายที่เกิดขึ้นก่อนคนอื่นๆ จึงได้ชักชวนกันมาชุมนุมเพื่อปกป้อง "ต้นไม้ประชาธิปไตย" ขับไล่นายเหลี่ยมจัด เพื่อว่าจะเอาต้นไม้ประชาธิปไตยกลับคืนมาช่วยกันดูแล ก่อนที่รากแก้วจะตายไปเสียก่อน


 


เมื่อเห็นประชาชนออกมาไล่ นายเหลี่ยมจัดก็โยนความผิดไปให้ลูกสมุนเกือบ 400 คนของตน โดยไล่ออกไปเอง แต่ยังเสนอหน้าว่าจะขอดูแลต้นไม้ต่อไป ขอให้ประชาชนเลือกเขาให้ดูแล "ต้นไม้ประชาธิปไตย" รอบใหม่ วางแผนให้ลูกสมุนเกือบ 400 คนของตัวกลับมาดูแลต้นไม้


 


เพราะถ้าเป็นคนใหม่เข้ามาดูแลต้นไม้ ก็กลัวว่าจะถูกขุดคุ้ย ว่าทำอะไรเลวๆ ไว้บ้าง


 


พยายามอ้างกับประชาชนว่า ถ้าขาดเขา แล้วจะไม่มีใครดูแลต้นไม้ประชาธิปไตย


 


ประชาชนทนไม่ไหว จึงชุมนุมขับไล่ "นายเหลี่ยมจัด" ครั้นจะจับ "นายเหลี่ยมจัด" แขวนคอเสียใต้ต้นไม้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี เป็นบาปกรรม จึงไม่ทำ


 


ประชาชนจึงพากันตะโกนขับไล่ ประณามหยามเหยียด "นายเหลี่ยมจัด" เพื่อหวังจะให้เกิดสำนึก ยอมทำเพื่อส่วนรวม ด้วยการออกไปเสีย เพื่อว่าประชาชนจะได้เข้ามาช่วยกันฟื้นฟู "ต้นไม้ประชาธิปไตย" ให้กลับมางอกงามอีกครั้ง


 


ประชาชนตะโกนด่าทอนายเหลี่ยมจัด ว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นพวก "ผีปอบ" และเรียกตระกูลที่เข้ามารุมทึ้งต้นไม้ของส่วนรวมนี้ว่า "ตระกูลผีปอบ" เพื่อแสดงการไม่ยอมรับ และขับไล่ "ผีปอบ" ออกไปเสียจากชุมชน


 


สิ่งที่ประชาชนกำลังทำอยู่นี้ ไม่ผิดกฎกติกาของบ้านเมือง แต่กระทำด้วยความเมตตา


 


มีแต่ "นายเหลี่ยมจัด" ที่ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน เพราะประชาชนอนุญาตให้เข้าไปดูแล "ต้นไม้ประชาธิปไตย" แต่กลับเข้าไปบ่อนทำลาย กอบโกย และพาญาติสนิทมิตรสหายเข้าไปรุมทึ้ง จนต้นไม้แทบจะยืนต้นแห้งตาย


 


เรื่องไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว เพราะตราบใดที่รากแก้วของต้นไม้ประชาธิปไตยยังฝังแน่นอยู่ในผืนแผ่นดิน แม้ต้นไม้นั้นจะถูกนายเหลี่ยมจัดปู้ยี่ปู้ยำขนาดไหน ประชาชนก็ยังสามารถช่วยกันดูแลรักษา เพื่อให้ต้นไม้ประชาธิปไตยกลับงอกงามขึ้นมาใหม่ได้เสมอ


 


แต่ก่อนอื่น คงจะต้องขับไล่ "นายเหลี่ยมจัด" ที่เป็นเหมือน "กาฝากของต้นไม้ประชาธิปไตย" ออกไปให้ได้เสียก่อน!

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net