ข้าพเจ้าต้องการปฏิรูปกองทัพเพียงสองประการ ประการแรกคือความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับประชาชน ประการที่สองคือความโปร่งใสและความมีเกียรติของกองทัพ
ในประการแรก กล่าวคือความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับประชาชน ความขัดแย้ง หวาดระแวง หมางเมิน ที่กองทัพและประชาชนต่างมีต่อกันและกันนั้น เกิดมาจากความห่างเหินและไม่ยึดโยงกัน ในหลาย ๆ แง่ ทหารนั้นก็เหมือนนักบวช ฝึกฝนอบรมอยู่ในโลกของตนเองจนขาดความเข้าใจต่อโลกภายนอก ยิ่งกองทัพมีอำนาจ ก็ยิ่งไม่ฟังเสียงประชาชน ยิ่งกองทัพจมปลักอยู่กับความคิดยุคสงครามเย็น กองทัพก็ตามไม่ทันยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง
การปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับกองทัพให้ดีขึ้น ทหารต้องออกมาคลุกคลีกับประชาชนให้มากขึ้น นักศึกษาทหารควรออกมาเรียนในมหาวิทยาลัยทั่วไปรวมกับพลเรือน พวกเขาควรได้เรียนรู้แนวคิดทางสังคมศาสตร์ ได้รับรู้แนวคิดที่แตกต่างหลากหลาย ได้เข้าใจว่าคนเราสามารถคิดไม่เหมือนกัน แต่ก็อยู่ร่วมกันได้ ทหารจะได้ไม่ตกใจจนขวัญหนีเมื่อพบว่าพลเรือนมีความคิดแตกต่างจากตน ทหารควรเข้าใจว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่คู่สังคม มันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องไม่พึงประสงค์ และบางครั้งความขัดแย้งก็เป็นแรงผลักให้สังคมก้าวหน้า ตราบที่การแก้ไขความขัดแย้งไม่ใช้วิธีการรุนแรงและไม่กดปราบมันไว้
หากนักศึกษาทหารได้ออกมาเรียนรู้โลกกว้าง พวกเขาจะเข้าใจว่าความรักชาติรักสถาบันมีหลายแบบ การวิจารณ์ผู้อยู่ในอำนาจและชนชั้นนำไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความเกลียดชังหรือการล้มล้างใด ๆ อีกทั้งผู้วิจารณ์ก็มีความรักในแบบของเขา ทหารไม่พึงตั้งตัวเป็นผู้ผูกขาดความรักที่มีต่อชาติและสถาบัน ไม่พึงตั้งตัวเป็นผู้ผูกขาดการนิยามและวิธีแสดงออกของความรัก แล้วผลักคนอื่นที่รักต่างจากตนให้กลายเป็นศัตรู
กองทัพยุคใหม่ควรก้าวพ้นจากแนวคิดแบบสงครามเย็น กองทัพควรเลิกใช้แนวคิดแบบยุคสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ เลิกหวาดระแวงประชาชน อย่ามองประชาชนเป็นศัตรู อย่ามองประชาชนเป็นเพียงผู้อยู่ใต้อาณัติที่กองทัพต้องคอยชี้ซ้ายชี้ขวา กองทัพควรเข้าใจแนวคิดของ “รัฐประชาชาติ” รัฐที่คนทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของ ไม่ว่าคนคนนั้นจะยากดีมีจนแค่ไหน ทุกคนต้องได้เป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน มีสิทธิ์มีเสียงมีอำนาจในการกำหนดชะตากรรมตัวเองร่วมกัน กองทัพไม่ควรกีดกันประชาชนจากความเป็นเจ้าของประเทศ ไม่ควรหวงประเทศจากประชาชนของตัวเอง และควรเข้าใจด้วยว่าประเทศชาติใด ๆ ก็มิอาจดำรงอยู่ได้หากประชาชนถูกพรากจากศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าของประเทศ
กองทัพควรเข้าใจด้วยว่าโลกเรานั้นอนุวัตรตามโลกาภิวัตน์มาหลายสิบปีแล้ว สังคม การเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศไทยผูกร้อยแน่นแฟ้นกับประเทศเพื่อนบ้านและโลกภายนอก การปิดประเทศอยู่เพียงลำพังอย่างพอเพียงเป็นแค่ความเพ้อฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง การมองชนชาติอื่นเป็นศัตรูกลับจะยิ่งสร้างภาวะอ่อนแอให้ประเทศไทย เราจำเป็นต้องพึ่งพิงแรงงานข้ามชาติ เราจำเป็นต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีจากโลกตะวันตก เราจำเป็นต้องค้าขายและพึ่งพิงสินค้าจากประเทศอื่น เราจำเป็นต้องเชิดหน้าชูตาได้อย่างมีเกียรติบนเวทีโลก “ความเป็นไทย” ที่อุปโลกน์ขึ้นมาและไม่อนุวัตรตามโลกาภิวัตน์จะไม่ช่วยให้ประเทศของเราอยู่รอด แต่กลับจะเป็นเครื่องถ่วงให้ประเทศของเราล้าหลังและอาจถึงขั้นจมดิ่งอยู่ในปลักตม
กองทัพต้องเลิกผูกความสำคัญของการดำรงอยู่ของกองทัพไว้กับการมีศัตรู กองทัพควรมีความมั่นใจในตัวเอง ประชาชนยังต้องการกองทัพเสมอแม้เมื่อไม่มีศัตรูภายในหรือภายนอกบ้านก็ตาม ประชาชนยังคงต้องการหลักประกันความปลอดภัยและความมั่นคงตามชายแดน ความช่วยเหลือยามภัยพิบัติ ต่อให้โลกนี้ไม่มีสนามรบอีกแล้ว กองทัพก็ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดเสียมิได้ของประเทศอยู่ดี ไม่มีความจำเป็นต้องกุสร้างศัตรูปลอม ๆ ขึ้นมาหลอกหลอนตัวเองและประชาชนเพียงเพื่อสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง
กองทัพต้องยอมรับว่า การสั่งสมความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์และพิชัยสงครามย่อมแลกกับการมีความรู้ความเชี่ยวชาญน้อยกว่าพลเรือนในด้านอื่น ๆ เช่น ด้านการบริหารประเทศ การบริหารเศรษฐกิจ ฯลฯ ดังเห็นได้จากตัวอย่างที่มีมากมายว่า รัฐบาลทหารไม่ว่าในประเทศไหน ๆ ก็ไม่สามารถบริหารประเทศชาติให้รุ่งเรืองยั่งยืนได้ แม้กระทั่งองค์กรเล็ก ๆ เช่น รัฐวิสาหกิจ ก็ไม่ปรากฏว่าการมีทหารไปนั่งเป็นกรรมการจะทำให้รัฐวิสาหกิจไหนมีกำไรหรือมีประสิทธิภาพ การยอมรับความจริงพื้นฐานของชีวิตข้อนี้จะช่วยให้กองทัพสามารถโฟกัสไปที่สิ่งที่ตัวเองควรทำได้ดีที่สุด มิใช่พยายามเข้าไปก้าวก่ายในสิ่งที่ตัวเองแทบไม่มีความรู้ความชำนาญเลย
หากยอมรับความจริงพื้นฐานข้อนี้ได้แล้ว ก็จะทำให้กองทัพยอมรับการยึดโยงกับประชาชนในแง่ที่สำคัญที่สุด นั่นคือ กองทัพควรอยู่ใต้อำนาจของกระทรวงกลาโหมที่มีพลเรือนเป็นรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย การอยู่ใต้อำนาจพลเรือนไม่ใช่การเสื่อมเกียรติ แต่เป็นการสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ประชาชนจะไว้วางใจทหารที่ถืออาวุธได้อย่างไรหากไม่มั่นใจว่าทหารจะยึดโยงกับประชาชนเสมอ? กองทัพไม่ควรหวาดระแวงหรือดูหมิ่นว่าพลเรือนไม่รู้เรื่องการทหาร การอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนเป็นเพียงแค่การยอมรับอำนาจชี้นำของประชาชนเกี่ยวกับทิศทางของประเทศในภาพกว้างเท่านั้น ถึงอย่างไรกองทัพก็ยังเป็นผู้รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับการสงครามและการจัดกำลังพล พลเรือนย่อมเคารพกองทัพในแง่นี้ กองทัพก็ควรเคารพประชาชนในแง่ของการบริหารประเทศเช่นกัน
เมื่อแบ่งงานกันทำแล้ว กองทัพจึงไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองและเศรษฐกิจ ประเด็นนี้ควรบัญญัติไว้เป็นกฎหมาย เพื่อสกัดกั้นความทะเยอทะยานส่วนตัวของนายทหารบางคน โครงสร้างการวางกองกำลังของกองทัพจึงควรอยู่ภายใต้เงื่อนไขทางภูมิศาสตร์และยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศอย่างเคร่งครัด กองทัพควรประจำการตามแนวชายแดน อาวุธของทหารควรหันปากกระบอกระวังภัยให้ประชาชน มิใช่หันปากกระบอกมาคุมเชิงประชาชนไว้ กองทัพต้องปฏิบัติตามและอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการยกร่าง การรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญถือเป็นกบฏอย่างไม่มีเงื่อนไข
การควบคุมด้านความมั่นคงภายในประเทศ เช่น การปราบจลาจล ฯลฯ ควรเป็นหน้าที่ของตำรวจ (ซึ่งควรถูกปฏิรูปเช่นกัน) ต้องมีการตรากฎหมายห้ามมิให้ทหารนำอาวุธสงครามเข้ามาในเมือง เพื่อป้องกันการรัฐประหารและสงครามกลางเมือง กองทัพไม่จำเป็นต้องมีหน่วยงานด้านข่าวกรอง กองทัพถืออาวุธไว้ในมืออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงใครอีก งานข่าวกรองควรอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากประชาชน ความมั่นคงของชาติควรเป็นสิ่งที่สมาชิกทุกคนในชุมนุมชนรับผิดชอบร่วมกันและตัดสินใจร่วมกันว่าอะไรคือความมั่นคง กองทัพไม่มีสิทธิ์ผูกขาดการกำหนดนิยามความมั่นคงไว้เพียงฝ่ายเดียว
เรื่องสำคัญประการที่สองก็คือ กองทัพต้องมีความโปร่งใสและมีเกียรติ ความโปร่งใสอันดับแรกสุดก็คือการจัดทำงบประมาณ รัฐบาลพลเรือนควรมีส่วนร่วมและรับรู้ รวมถึงท้วงติงการจัดทำงบประมาณของกองทัพได้ การจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพต้องมีการดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้และมีผู้รับผิดรับชอบ กองทัพไม่ควรเป็นแดนสนธยาของการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ กองทัพต้องไม่ครอบครองธุรกิจหรือมีผลประโยชน์ในธุรกิจใด ๆ การปล่อยให้กองทัพครอบครองคลื่นสัญญาณวิทยุโทรทัศน์มากมายเช่นทุกวันนี้คือช่องทางแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
สถาบันกองทัพไม่ใช่ทางผ่านเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวของใคร กองทัพควรมีแต่ทหารอาชีพ ไม่ใช่บันไดไปสู่การนั่งเป็นกรรมการหน่วยงานรัฐหรือเอกชน ทหารต้องทำหน้าที่ของทหารเท่านั้น หากต้องการเข้าสู่วงการการเมืองหรือธุรกิจ ก็ต้องลาออกและละทิ้งยศตำแหน่ง เฉกเช่นเดียวกับนักบวชที่ต้องลาสิกขาเมื่อต้องการใช้ชีวิตทางโลก
การไต่เต้าในเส้นทางอาชีพของทหารควรตัดสินกันที่ความรู้ความสามารถ ไม่ใช่ที่นามสกุล รุ่น เพื่อนพ้อง เส้นสาย ประทวนหรือสัญญาบัตร รัฐสภาหรือหน่วยงานอิสระควรเข้ามามีบทบาทในการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร มิใช่มองว่าเป็นการล้วงลูก แต่เป็นการดึงคนนอกเข้ามาวัดผลการทำงาน มิใช่ปล่อยให้คนในกองทัพตัดสินกันเองด้วยอคติหรือฉันทาคติ นี่คือการลดการใช้เส้นสายพวกพ้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กองทัพ ทุก ๆ ปีมีเยาวชนไทยหัวกะทิเก่ง ๆ จำนวนมากก้าวเข้าสู่กองทัพ อย่าให้กองทัพกลายเป็นหลุมดำที่นำคนเก่ง ๆ เหล่านี้ไปฝังไว้ในระบบที่เทอะทะไร้ประสิทธิภาพ
กองทัพต้องมีความสามัคคี ในเมื่อเรียกร้องให้ประชาชนสามัคคีกัน แต่เหตุใดกองทัพจึงแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า เป็นบูรพาพยัคฆ์ เป็นวงศ์เทวัญ เป็นรุ่นเท่านั้นเท่านี้ เป็นคนสนิทของบิ๊กคนนั้นคนนี้ ทหารทุกคนต้องเป็นทหารของชาติของประชาชน ไม่ใช่แบ่งแยกแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันเช่นในปัจจุบัน ประชาชนจะฝากความหวังไว้กับกองทัพที่ไม่มีความสามัคคีกันได้อย่างไร
ทหารทุกคนต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีของทหารและมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เครื่องแบบทหารจะมีเกียรติได้อย่างไรหากพลทหารกลายเป็นคนรับใช้ตามบ้านของผู้บังคับบัญชา ทหารควรมีเงินเดือนเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมต่อการทำงานเสี่ยงชีวิตเพื่อประชาชน ชีวิตความเป็นอยู่ของทหารทุกคนควรมีความสุขสบายตามอัตภาพและไม่เหลื่อมล้ำอย่างน่าเกลียดระหว่างทหารชั้นผู้ใหญ่กับทหารชั้นผู้น้อย
การเพิ่มเงินเดือนให้ทหารอย่างเหมาะสมย่อมทำได้หากลดจำนวนทหารลง ในโลกยุคปัจจุบัน เราสามารถยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้แล้ว หากอาชีพทหารเป็นอาชีพที่มีเกียรติและได้รับค่าตอบแทนมากเพียงพอ เชื่อว่าจะมีประชาชนพร้อมใจกันสมัครเป็นทหารจำนวนมาก การใช้งบประมาณของกองทัพก็จะคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ เมื่องบประมาณของกองทัพไม่บานปลายมากเกินไป ประเทศก็จะมีงบประมาณมาใช้พัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตัวทหารเองในฐานะที่เป็นประชาชนของประเทศเช่นกัน
ประเทศไทยผ่านความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับกองทัพมาหลายครั้ง ในช่วงชีวิตเดียวของข้าพเจ้าได้ประสบพบเห็นการสังหารหมู่ประชาชนครั้งใหญ่หลายครั้ง ไม่นับครั้งย่อย ๆ อีกนับไม่ถ้วน นับตั้งแต่การสังหารหมู่ประชาชนครั้งที่ 1 ใน พ.ศ. 2516 การสังหารหมู่ประชาชนครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2519 การสังหารหมู่ประชาชนครั้งที่ 3 ใน พ.ศ. 2535 การสังหารหมู่ประชาชนครั้งที่ 4 ใน พ.ศ. 2547 การสังหารหมู่ประชาชนครั้งที่ 5 ใน พ.ศ. 2553 ห้าครั้งก็มากเกินไปแล้วสำหรับชีวิตเดียว ข้าพเจ้าหวังว่าจะไม่ต้องเห็นครั้งที่ 6 ครั้งที่ 7 ครั้งที่ 8....อีก
ประชาชนไทยอยากได้กองทัพที่สามารถพึ่งพิงได้ในยามทุกข์เข็ญ มิใช่กองทัพที่สร้างความทุกข์เข็ญให้แก่ประชาชน กองทัพที่สง่าภาคภูมิด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง มิใช่กองทัพที่กระทำการลับ ๆ ล่อ ๆ เพราะหวาดกลัวเพื่อนร่วมชาติ กองทัพที่รักษาสัตย์เพื่อชาติ มิใช่กองทัพที่ตระบัดสัตย์เพื่ออำนาจของคนไม่กี่คน