Skip to main content
sharethis

29 ม.ค. 2558 องค์กรภาคประชาชน 45 แห่งและคนทำงานด้านสิทธิ 6 ราย รวมถึงอดีตกรรมการสิทธิฯ ออกแถลงการณ์คัดค้านการควบรวมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอวานนี้ โดยระบุว่า แม้ทั้งสององค์กรจะเป็นองค์กรอิสระ และมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการร้องเรียนเช่นเดียวกัน แต่เนื้อหาและวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบมีความแตกต่างกัน โดย กสม. มุ่งตรวจสอบและคุ้มครองการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเกิดจากการกระทำของบุคคลใด ส่วนผู้ตรวจการแผ่นดินนั้นมุ่งตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมายโดยการกระทำดังกล่าวอาจจะไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ได้

รายละเอียดแถลงการณ์มีดังนี้


แถลงการณ์
คัดค้านการควบรวมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและผู้ตรวจการแผ่นดิน


ตามที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ในหมวด 2 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐส่วนที่ 5 องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตอนที่ 4 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตอนที่ 5 ผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยเสนอให้มีการควบรวมทั้งสององค์กรเข้าด้วยกันเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2558 โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณามีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าให้รอการพิจารณาไว้ก่อนโดยไปศึกษาข้อดี ข้อเสียในการควบรวมทั้งสองหน่วยงานเข้าด้วยกันเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในคราวต่อไป และมีมติให้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่งเพื่อศึกษาแนวทางในการควบรวมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและผู้ตรวจการแผ่นดินเข้าด้วยกันนั้น

สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) และองค์กรที่มีรายชื่อท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ ขอคัดค้านการควบรวมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและผู้ตรวจการแผ่นดินเข้าด้วยกัน โดยขอแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะประกอบความคิดเห็นดังต่อไปนี้

1. ที่มาและเจตนารมณ์ของการก่อตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและผู้ตรวจการแผ่นดินในระดับสากล

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติถือเป็นสถาบันระดับชาติด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามหลักการปารีส (Paris Principles -ดูเอกสารสหประชาชาติ A/RES/48/134) ซึ่งเกิดขึ้นจากผลการประชุม International Workshop on National Institutions for the Promotion and Protection of Human Rights ในปีค.ศ.1991 และได้รับการรับรองตามมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่ 48/134 ลงวันที่ 20 ธันวาคม 1993 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ปัจจุบันมีสถาบันระดับชาติด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกว่า 106 ประเทศทั่วโลก

ในขณะที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือ Ombudsman นั้น มีที่มาจากประเทศสวีเดน ก่อตั้งขึ้นในราวปี 1809 ให้ทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าแผ่นดิน บรรเทาทุกข์เดือดร้อนของประชาชนที่เกิดจากความอยุติธรรมอันเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อประเทศสวีเดนเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย แนวคิดเรื่อง Ombudsman จึงยังคงอยู่แต่องค์กรผู้ใช้อำนาจนี้ คือ สภาผู้แทนราษฎร จึงเรียกว่า “ผู้ตรวจการรัฐสภา” คือ ทำหน้าที่แทนฝ่ายนิติบัญญัติในการเยียวยาแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนอันเกิดจากการกระทำที่ไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ อันเป็นบทบาทขององค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐที่สำคัญองค์กรหนึ่งที่ยึดโยงกับตัวแทนของผู้ใช้อำนาจอธิปไตย [1]

เมื่อพิจารณาจากที่มาขององค์กรทั้งสองในระดับสากลจะเห็นว่าเจตนารมณ์ของการจัดตั้งและภารกิจนั้นแตกต่างกัน กล่าวคือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมุ่งแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่วนผู้ตรวจการแผ่นดินนั้นมีวัตถุประสงค์ตรวจสอบการใช้ฝ่ายปกครองมิให้ใช้อำนาจตามอำเภอใจในการดำเนินการบริหารบ้านเมือง

2.อำนาจหน้าที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย

ในประเทศไทยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้ตรวจการแผ่นดิน มีที่มาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่สำคัญ คือ การตรวจสอบและรายงานการกระทําหรือการละเลยการกระทํา อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญ หรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ ประเทศไทยเป็นภาคีและเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทําหรือละเลยการกระทําดังกล่าว การเสนอนโยบายกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการส่งเสริมการศึกษาสิทธิมนุษยชน

ส่วนอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่สำคัญ คือ ในการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีการร้องเรียนว่า ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือการปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชนโดยไม่เป็นธรรม รวมถึงการตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ไม่รวมถึงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล

เมื่อพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่ดังกล่าว แม้ทั้งสององค์กรจะเป็นองค์กรอิสระ และมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการร้องเรียนเช่นเดียวกัน แต่เนื้อหาและวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมุ่งตรวจสอบและคุ้มครองการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญ หรือตามสนธิสัญญาที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นจะเกิดจากการกระทำของบุคคลใด ส่วนผู้ตรวจการแผ่นดินนั้นมุ่งตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมายโดยการกระทำดังกล่าวอาจจะไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ได้

อย่างไรก็ตามแม้มีบางกรณีที่สามารถร้องเรียนได้ทั้งสององค์กรคือกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เมื่อมีการตรวจสอบหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบของทั้งสององค์กรย่อมมีความแตกต่างกัน เพราะนอกจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนจะต้องตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายแล้ว ยังต้องพิจารณาว่ากรณีดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่อย่างไร ซึ่งจะนำไปสู่ข้อเสนอในเชิงนโยบายและกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีดังกล่าว ประชาชนจึงย่อมได้รับความคุ้มครองสิทธิมากกว่าการพิจารณาโดยอาศัยบทบัญญัติทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว

สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และองค์กรข้างท้ายนี้ เห็นว่าการที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาควบรวมหน่วยงานทั้งสองเข้าด้วยกัน โดยอ้างว่าเป็นเพราะอำนาจหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานคล้ายคลึงกันนั้น ย่อมเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเจตนารมณ์และภารกิจขององค์กร และขอเสนอแนะให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พิจารณายกร่างบทบัญญัติให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นหน่วยงานอิสระแยกจากกันเป็นสองหน่วยงาน อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และ 2550 และจะนำไปสู่การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนต่อไป

ด้วยความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
1. สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
2. สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)
3. มูลนิธิส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (Prorights Foundation)
4. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF)
5. มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.)
6. มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw)
7. มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ
8. มูลนิธิศักยภาพชุมชน
9. คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)
10. มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (Homenet)
11. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.)
12. ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติธรรม (สสธ.)
13. คณะทำงานไทยเพื่อกลไกสิทธิมนุษยชนอาเซียน
14. พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย
15. เครือข่ายผู้หญิงอีสาน
16. ศูนย์กฎหมายสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา
17. มูลนิธิพิทักษ์สตรีและเด็ก
18. มูลนิธิชุมชนไท
19. ศูนย์ศึกษาและฟื้นฟูนิเวศวัฒนธรรมชุมชนเทือกเขาเพชรบูรณ์
20. เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน
21. เครือข่ายทรัพยากรภาคเหนือตอนล่าง
22. สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ(สกน.)
23. เครือข่ายสลัมสี่ภาค
24. ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ ภาคอีสาน
25. กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา
26. ศูนย์ส่งเสริมศักยภาพประชาชนนครราชสีมา
27. สถาบันชุมชนอีสาน
28. โครงการป่าชุมชน
29. โครงการทามมูน
30. ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย
31. สมาคมผู้หญิงเพื่อสันติภาพ
32. สมาคมลุ่มน้ำสายบุรี
33. สมาคมส่งเสริมสิทธิชุมชน
34. คณะทำงานวาระทางสังคม
35. เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก
36. คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
37. ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
38. สมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (สคส.)
39. เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย
40. สภาชนเผ่าพื้นเมืองประเทศไทย
41. สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย
42. สมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (สคส.)
43. มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม
44. สมาคมส่งเสริมศักยภาพสตรีพิการ
45. เครือข่ายพิทักษ์สิทธิชุมชนเขาคูหา อ.รัตภูมิ จ.สงขลา
46. นายสมชาย หอมลออ
47. นางสุนี ไชยรส
48. ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี
49. นายชำนาญ จันทร์เรือง
50. นางสาวดาราราย รักษาสิริพงศ์
51. นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์

[1] สรุปความจากบทสัมภาษณ์ ศาสตราจารย์ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ วารสารผู้ตรวจการแผ่นดิน ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2556 หน้า 7-8

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net