Skip to main content
sharethis
24 ตุลาคม 2557 - บริษัทที่ปรึกษากฎหมายจากกรุงลอนดอน และศูนย์การศึกษากฏหมายเพื่อชุมชน (Community Legal Education Centre ; CLEC) ในนามตัวแทนของชาวบ้านจำนวน 200 ครอบครัวในจังหวัดเกาะกงของกัมพูชาเพื่อดำเนินการทางกฏหมายในข้อพิพาทระหว่างชาวบ้านกับบริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลเกาะกง (Koh Kong Sugar Industry Company) บริษัทสวนป่าเกาะกง (Koh Kong Plantation Company) และเทตแอนด์ไลล์ (Tate & Lyle) บริษัทน้ำตาลยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ส่งจดหมายถึงบริษัทน้ำตาลเกาะกง เชื้อเชิญให้ทำการพูดคุยอย่างเป็นทางการเพื่อแก้ไขข้อพิพาท
 
ชาวบ้านกัมพูชา ในขณะนี้กล่าวหาบริษัทน้ำตาลเกาะกงว่าละเมิดกฏหมายกัมพูชาโดยการขับไล่ประชาชนออกจากที่ดินของพวกเขาเอง และกล่าวหาบริษัทเทตแอนด์ไลล์ว่า แสวงหาผลกำไรจากการกระทำอันผิดกฏหมายในการไล่ที่ชาวบ้านโดยผิดกฎหมาย
 
บริษัทที่ปรึกษากฏหมายที่ตั้งในสหราชอาณาจักร ลี เดย์ (Leigh Day) เป็นตัวแทนชาวบ้านในกัมพูชา ในการดำเนินการกับบริษัทเทตแอนด์ไลล์และบริษัทน้ำตาลทีแอนด์แอล (T&L) ซึ่งตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร ในขณะที่ศูนย์การศึกษากฏหมายเพื่อชุมชน (CLEC) เป็นตัวแทนประชาชน ช่วยเหลือในการดำเนินคดีกับบริษัทน้ำตาลเกาะกงในประเทศกัมพูชา
 
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์กรทั้งสองร่วมกันส่งจดหมายเชิญให้บริษัทน้ำตาลเกาะกง เข้ามาพูดคุยไกล่เกลี่ย ซึ่งทั้งสององค์กรเสนอให้จัดขึ้นอย่างเป็นทางการก่อนสิ้นปีนี้ในกัมพูชา และตรวจสอบร่วมกันว่าจะแก้ปัญหร่วมกันได้หรือไม่
 
ทั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานส่งจดหมายเพื่อตอบสนองกับการที่บริษัทน้ำตาลเกาะกงส่งจดหมายของบริษัทไปก่อนหน้านี้ เชื้อเชิญเอ็นจีโอต่าง ๆ ให้มาเป็นประจักษ์พยานในการจัดงานเพื่อ "ตกลงกันและให้ค่าชดเชย" กับชาวบ้านในวันพรุ่งนี้ (25 ตุลาคม 2557) ทั้งนี้ บริษัทกลับไม่ได้ส่งจดหมายเชิญถึงบรรดาตัวแทนทางกฏหมายของประชาชนทั้งสององค์กรแต่อย่างใด ทั้งนี้จดหมายของบริษัทระบุว่า ในที่ประชุมวันพรุ่งนี้ จะมีการให้เงินจำนวนหนึ่งชาวบ้าน แต่ไม่ได้บอกจำนวนเงินที่แน่นอน และระบุว่าเงินที่บริษัทจะให้ จะใหกับชาวบ้านที่สามารถแสดงให้เห็นว่ามีสิทธิ์จะเรียกร้องค่าชดเชยในที่ดินที่ปัจจุบันกลายเป็นที่ดินของบริษัทอยู่หรือไม่
 
ด้านนางสาวเทสซา เกรกอรี ทนายความของลีเดย์ระบุว่า
 
"เรายินดีที่ได้เห็นว่า บริษัทน้ำตาลเกาะกงเริ่มแสดงความมุ่งมั่นในการยุติข้อพิพาดที่ยืดเยื้อมามากกว่า 8 ปี
 
"อย่างไรก็ตามการเจรจาใด ๆ ที่เกี่ยวกับข้อตกลง ต้องเป็นไปอย่างโปร่งใสและให้ทุกคนที่ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วม
 
"ลูกความของเราจะต้องทราบว่าบริษัทเสนออะไรให้พวกเขา และต้องได้เวลา และโอกาสที่จะขอคำแนะนำว่าข้อเสนอดังกล่าวหมายถึงอะไร โดยเฉพาะในขณะนี้ เรื่องกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกฏหมาย”
 
"เราจึงมีจดหมายถึงบริษัทน้ำตาลเกาะกง, และบริษัทแม่คือบริษัทน้ำตาลขอนแก่น (KSL) และบริษัทเทตแอนด์ไลล์ด้วย เพื่อเชิญใหบริษัทเหล่านี้ให้เข้ามาในที่ประชุมที่พวกเราจะจัดขึ้นเร็ว ๆ นี้อย่างเป็นทางการ เพื่อมาไกล่เกลี่ยกับเราและลูกความ เพื่อพยายามหาข้อยุติความขัดแย้ง"
 
นายอัน ไฮยา (An Haiya) หนึ่งในตัวแทนชุมชนของประชาชน 200 ครอบครัวในกรณีดังกล่าวแสดงความกังวลเกี่ยวกับวิธีที่บริษัทน้ำตาลเลือกใช้ตามที่เห็นในขณะนี้ โดยกล่าวว่า
 
"พวกเราประชาชนในชุมชน สู้กันมานานเพื่อร้องขอความยุติธรรมในเรื่องที่พวกเราโดนปล้นที่ดินไป แน่นอนว่าพวกเราก็อยากให้ข้อพิพาทจบลงเสียที แต่มันคงจบไม่ได้จนกว่าบริษัทจะตกลงนั่งลงคุยกับพวกเราชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทุก ๆ คนอย่างเปิดเผย แล้วหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะแก้ไขสถานการณ์ สำหรับพวกเราชาวบ้าน การคุยกันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่มันเป็นเรื่องของแผ่นดินของเรา
                    
"เราก็ได้แต่หวังว่า บริษัทน้ำตาลเกาะกง น้ำตาลขอนแก่นและบริษัทเทตแอนด์ไลล์จะฟังคำร้องขอ และตกลงมาพบกับเรากับทีมทนายความ"
 
นายวิเรียะ เยง (Virek Yeng) ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษากฏหมายเพื่อชุมชน กล่าวว่า
 
"หลายครอบครัวที่เสียที่ดินไปตั้งแต่ปี 2006 ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังจริงๆ แต่พวกเขาก็ยังยืนหยัดเพื่อต่อสู้ในทางกฏหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม และได้รับความช่วยเหลือที่ยุติธรรม”
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net