คปก.ชูปฏิรูปสวัสดิการผู้สูงอายุ เล็งออก กม.ขยายสิทธิ-ตั้งกองทุนฯ

ภาคประชาสังคมหนุนคลอด กม.เพิ่มคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ นักวิชาการแนะผนึกรัฐ-อปท.-เอกชนพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ กฤษฎีกาชี้ช่องโหว่นิยาม ‘หน่วยงานรัฐ’ ส่อปัญหา ก.แรงงานหวั่นเรื่องร้องเรียนพุ่ง
 
24 เม.ย. 2557 คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) โดยคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้านสวัสดิการสังคม จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ พ.ศ. ... ที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
 
นายคณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เปิดเผยว่า การปฏิรูปกฎหมายอาศัยองค์ความรู้ 2 ส่วนคือ องค์ความรู้ที่มาจากการวิจัยและองค์ความรู้ที่ได้จากการระดมความคิดเห็น ซึ่งในการดำเนินงานของ คปก.ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย และอีกประการหนึ่ง คปก.มีความเป็นอิสระที่จะผลักดันร่างกฎหมายต่างๆ และขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สะท้อนจากสถิติจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี คาดว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยให้สังคมไทยอยู่ด้วยกันอย่างสงบเรียบร้อย
 
นางสุนี ไชยรส รองประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เปิดเผยว่า ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ พ.ศ. .... เป็นร่างกฎหมายที่ร่างขึ้นใหม่เพื่อปรับปรุง แก้ไข พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 ที่เป็นกฎหมายที่รับรองและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ รวมทั้งการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้อายุ โดยปี 2556 มีจำนวนผู้สูงอายุร้อยละ 14.73 และในปี 2563 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 19.13 จึงจำเป็นที่จะดูแลผู้สูงอายุโดยไม่เลือกปฏิบัติ
 
อย่างไรก็ตามจากการรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมา ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่ต้องการสงเคราะห์แต่ต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จึงต้องการที่จะพึ่งตนเองได้ ดังนั้นจึงต้องคุ้มครองส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ส่งเสริมการมีรายได้ที่เพียงพอ และควรได้รับการบริการที่มีคุณภาพและทั่วถึง
 
นางสุนี กล่าวว่า ในแง่ของสิทธิในร่างกฎหมายดังกล่าวได้ขยายสิทธิผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพอนามัย ได้กำหนดให้มีการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาและฟื้นฟูสมรรถนภาพอย่างครบวงจร ทั้งในสถานพยาบาลและที่พักอาศัย อีกทั้งในด้านที่อยู่อาศัย ในมาตรา 30 ได้ระบุให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุซึ่งมีที่พักอาศัยสามารถดำรงชีวิตอยู่กับครอบครัว กรณีที่ดำรงชีวิตตามลำพัง ให้หน่วยงานของรัฐสนับสนุนช่วยเหลือให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตามปกติ กรณีที่พักอาศัยไม่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิตตามปกติ ให้หน่วยงานรัฐสนับสนุนให้มีการปรับปรุงแก้ไขหรือซ่อมแซม
 
นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญเรื่องการทำงานและการมีรายได้ที่ถือเป็นเรื่องใหม่คือ ให้นายจ้างรับผู้เกษียณอายุเข้าทำงาน โดยนายจ้างมีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษี แต่หากนายจ้างที่ไม่รับผู้สูงอายุเข้าทำงานให้จ่ายเงินเข้ากองทุนเป็นรายปีร้อยละ 50 ของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน
 
 
ภาคประชาสังคมหนุนคลอด กม.เพิ่มคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ
 
แพทย์หญิงลัดดา ดำริการเลิศ ผู้จัดแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุ กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้นี้ค่อนข้างครอบคลุมในประเด็นปัญหาที่ต้องการปรับปรุงแก้ไข อย่างไรก็ตาม ยังมีรายละเอียดบางประเด็นที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติม เช่น มาตรการคุ้มครองตามสิทธิ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไร้สมรรถภาพยังไม่มีกลไกในการคุ้มครองทรัพย์สินแก่ผู้สูงอายุในทางกฎหมาย ขณะเดียวกันร่างกฎหมายฉบับนี้ออกมาในลักษณะรัฐสวัสดิการ อีกทั้งอาจจะเป็นภาระทางการคลังในอนาคต เนื่องจากจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากหรือคิดเป็น 14% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
 
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเสนอแนะว่า ควรจะสร้างสิ่งแวดล้อมหรือสถานที่ซึ่งเอื้อต่อผู้สูงอายุ โดยอาจจะต้องมีมาตรการบังคับใช้ทางกฎหมาย แม้กระทั่งการใช้เทคโนโลยีในสถานที่ทำงานก็ต้องมีมาตรการในการส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจน
 
นายทวีป กาญจนวงศ์ ประธานมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย กล่าวว่า ในร่างฯ มาตรา 19 ที่กำหนดให้มีสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ควรเพิ่มประเด็นเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ เพื่อจะได้วินิจฉัยเรื่องราวร้องทุกข์ต่างๆ และติดตามตรวจสอบด้วย เมื่อผู้สูงอายุมีสิทธิแล้วจะได้ติดตามตรวจสอบอีกขั้นตอนหนึ่งว่ารับสิทธิดังกล่าวจริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับมาตรา 26 ซึ่งกำหนดให้ผู้สูงอายุได้รับการคุ้มครองส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตในเรื่องต่างๆ ควรเปิดกว้างไว้ ไม่ควรเขียนไว้ในกรอบแคบๆ
 
 
ห่วงเป็นภาระท้องถิ่น แนะผนึกรัฐ-อปท.-เอกชนพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ
 
นางปราณีต ถาวร รองเลขาธิการสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ส่วนตัวมองด้วยความเป็นจริงยังคิดว่าเป็นกฎหมายในฝัน อาจไม่นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง โดยเฉพาะประเด็นที่ไม่กำหนดสัญชาติจะเป็นการเปิดกว้างเกินไปหรือไม่ แต่ในเมื่อระบุว่าจะมีกำหนดไว้ในประกาศฯ ส่วนตัวก็ไม่ขัดข้อง
 
นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมและกระจายอำนาจให้องค์กรส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมนั้นยังไม่ปรากฏรายละเอียดที่ชัดเจน อาจะนำข้อสังเกตไปปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม เช่นเดียวกับในมาตรา 32 ระบุ ผู้สูงอายุมีสิทธิได้รับเงินส่งเสริมคุณภาพชีวิตเป็นรายเดือนนั้น ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นภาระแก่ท้องถิ่น เพราะในความเป็นจริงที่ผ่านมาเป็นความฉ้อฉลทางนโยบายของนักการเมือง จึงอยากให้ คปก.เชิญผู้แทนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศร่วมหารืออีกครั้งเนื่องจาก อปท.เป็นผู้ปฏิบัติโดยตรง
 
นางสาวพรรณประภา อินทรวิทยนันท์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ในแง่ของกฎหมายประเทศมีความก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง หากพิจารณากฎหมายฉบับนี้ เราควรมีนโยบายส่งเสริมระหว่างกันระหว่างภาครัฐ อปท. ผู้สูงอายุ ครอบครัวผู้สูงอายุ และภาคเอกชน เป็นไปในลักษณะหุ้นส่วน โดยสรุปกฎหมายฉบับนี้หากบังคับให้เกิดโมเดลนี้ คิดว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้าที่สุด
 
นายนิธิ พันธุ์มณี ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม อ.หาดใหญ่ กล่าวว่า ในการเตรียมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องกองทุนอาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมว่าจะใช้ระบบสมัครใจหรือระบบบังคับ เพราะในเรื่องของกองทุนที่จะเข้าไปดูแลผู้สูงอายุนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และท้องถิ่นควรจะเข้าไปสนับสนุน ขณะเดียวกันยังตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้ของมาตรา 32 ที่ระบุให้ผู้สูงอายุมีสิทธิได้รับเงินส่งเสริมคุณภาพชีวิตเป็นรายเดือนนั้นจะมีความเป็นไปได้หรือไม่
 
 
กฤษฎีกาชี้ช่องโหว่นิยาม ‘หน่วยงานรัฐ’ ส่อปัญหา ก.แรงงานหวั่นเรื่องร้องเรียนพุ่ง
 
นางวิไลวรรณ เทียงดาห์ ผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ปัญหาและอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นกับพ.ร.บ.ฉบับนี้ ประเด็นที่สำคัญคือ มาตรา 13 เห็นว่าควรให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนกลาง เนื่องจากมีบทบาทสำคัญ ส่วนร่างฯ มาตรา 32 ที่นำไปผูกติดกับค่าจ้างขั้นต่ำ ควรที่จะศึกษาให้เป็นไปตามกลไกตลาดมากขึ้น และการที่จะให้กระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์นั้นอาจจะมีปัญหาเรื่องร้องเรียนอื่นๆ ตามมาเช่นเดียวกับประเด็นปัญหาคนพิการ
 
นางสาวณัฐภัทร ถวัลโพธิ กรรมการร่างกฎหมายประจำสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า มีประเด็นข้อสังเกตว่า หน่วยงานของรัฐ ตามคำนิยามในร่างฯ นี้ หมายความถึง กระทรวง กรม ส่วนราชการ ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา อาจจะส่งผลต่อการปฏิบัติงานตามมาตรา 38-40 ที่ระบุเพียงให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งอย่างชัดเจนคาดว่าจะมีปัญหาในทางปฏิบัติอย่างแน่นอน
 
นางราศี เบญจาทิกุล ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลเศรษฐกิจแรงงาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ร่างฯ ในส่วนที่ 4 เรื่องเงินส่งเสริมคุณภาพชีวิตไปผูกโยงกับเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน แนวคิดดังกล่าวควรมีการศึกษาข้อมูลในเชิงลึกเพื่ออ้างอิงหลักคิดนี้ด้วย และในมาตรา 36 ที่ระบุให้นายจ้างรับผู้สูงอายุแล้วเข้าทำงานถือเป็นความพยายามที่ดีที่จะบังคับทางกฎหมายแต่ควรจะพิจารณาในรายละเอียดที่รอบด้านอีกครั้ง โดยควรจัดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมจากนายจ้างและผู้มีส่วนได้เสียด้วย ขณะเดียวกันการจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ ยังเห็นว่า ควรเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการด้วย และควรให้ผู้ประกอบการได้มีระยะเวลาเตรียมตัวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง
 
 
ผุดกลไกรวมกลุ่มผู้สูงอายุ-กลไกจังหวัดติดตามผล
 
นายวันชัย บุญประชา ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ดี หากพิจารณาการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตในกฎหมายฉบับนี้ได้เขียนไว้ครอบคลุมแล้ว แต่อยากให้พิจารณาถึงเรื่องคุณค่าผู้สูงอายุและการดูแลสุขภาพรวมถึงเรื่องของสิทธิไว้ด้วย ประกอบกับเห็นว่า ควรจะมีกลไกใหม่ทางวิชาการซึ่งในกฎหมายยังไม่ได้ระบุว่าจะมาจากไหน อีกทั้งยังขาดกลไกการรวมกลุ่มของประชาชนผู้สูงอายุซึ่งยังไม่ได้ระบุ สิทธิในการรวมกลุ่มเพื่อการจัดบริการกันเองและดูแลกันเอง ขณะเดียวกันเห็นว่า ควรจะเพิ่มกลไกในระดับจังหวัดและการติดตามและประเมินผลเข้าไปด้วยเพื่อให้ร่างกฎหมายฉบับนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
 
 
วางกรอบเตรียมความพร้อมรายได้-การศึกษา
 
แพทย์หญิง วันทนีย์ วัฒนะ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า อปท.จะมีบทบาทสำคัญ ตามร่างฯที่ยกขึ้น ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับบริบทของกรุงเทพมหานคร และจากการสำรวจการติดตามแผนของผู้สูงอายุแห่งชาติ ขณะนี้มีผู้สูงอายุที่มีสมรรถภาพและผู้สูงอายุที่ต้องรักษาพยาบาล หากมีระบบบริการทางการแพทย์ที่ดีก็ไม่น่าเป็นห่วง แต่ผู้สูงอายุอีกประเภทคือผู้ป่วยติดเตียง ขณะนี้อยู่ระหว่างการดูแลโดยกรุงเทพมหานคร แต่สิ่งที่ยังไม่พูดถึงคือการเตรียมความพร้อมของประชาชนใน 4 ด้านคือ1.การเตรียมตัวในเรื่องสุขภาพ 2.การเตรียมการในเรื่องรายได้ 3.การเตรียมความพร้อมด้านที่พักอาศัยและสิ่งแวดล้อม 4.การเตรียมความพร้อมด้วยการเชื่อมโยงไปสู่เรื่องการศึกษา
 
หากพิจารณาในรายละเอียดร่างฯ ฉบับนี้ ในเรื่องคำนิยามนั้น องค์กรชุมชนผู้สูงอายุ ใน กทม.มีองค์กรและชมรมผู้สูงอายุจำนวนมาก อาจจะต้องมีการทำความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งคำนิยามนี้ควรกำหนดคุณสมบัติให้ชัดเจนด้วย เช่นเดียวกับคำนิยาม ผู้ดูแลผู้สูงอายุและผู้ช่วยผู้สูงอายุ
 
นางสุวัฒนา ศรีภิรมย์ ที่ปรึกษาแผนงานเรื่องการขับเคลื่อนบำนาญชราภาพ กล่าวว่า ในส่วนของภาระทางการคลัง แม้จะต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากแต่คิดว่าคงไม่เหนือบ่ากว่าแรง ดังนั้นจึงควรมีการเตรียมการมาตั้งแต่ต้นก่อนที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยกฎหมายที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุควรจะสอดคล้องกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องรวมถึงสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยทั้งเรื่องการออม การรักษาพยาบาล เป็นต้น
 
นางสุรีรัตน์ ตรีมรรคา เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กล่าวว่า ภาพรวมของกฎหมายฉบับนี้ค่อนข้างดีเน้นการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างครอบคลุม และพร้อมจะเข้ามามีส่วนร่วมกับ คปก.ในการผลักดันกฎหมายฉบับนี้ ขณะเดียวกันส่วนตัวเห็นว่าควร เพิ่มมาตรา 33 เขียนให้ชัดว่าจะทำอย่างไรผู้สูงอายุเข้าถึงข้อมูลข่าวสารแก่ผู้สูงอายุ ประเด็นที่สอง กฎหมายฉบับนี้ต้องระบุเรื่องสิทธิให้ชัดเจน โดยยืนยันบนหลักการให้คุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุอย่างสมศักดิ์ศรี เพิ่มความมั่งคั่งโดยกระจายการจัดเก็บภาษีอย่างเหมาะสม และมีข้อเสนอด้วยว่า ควรเพิ่มอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการในเรื่องการรณรงค์และทำความเข้าใจ
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท