พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: ยุทธศาสตร์ในการปฏิวัติประชาธิปไตยของไทย (1)

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

 

การต่อสู้กันระหว่างฝ่ายเผด็จการกับฝ่ายประชาธิปไตยที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นปี 2549 ผ่านรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และการสังหารหมู่ประชาชนเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 จนถึงการปะทะกันครั้งล่าสุดกรณีนิรโทษกรรมเหมาเข่ง เป็นเวลาร่วมแปดปีแล้ว ฝ่ายประชาธิปไตยได้เติบใหญ่เข้มแข็งขึ้น และได้เรียนรู้ประสบการณ์มาพอสมควรจนสามารถสรุปเป็นบทเรียน เพื่อใช้กำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และจังหวะก้าวของการต่อสู้เฉพาะหน้านี้ได้

ความขัดแย้งนี้มิใช่การต่อสู้ขัดแย้งกันเองภายในหมู่ผู้ปกครองล้วน ๆ หากแต่เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาชนไทยที่ต้องการประชาธิปไตย กับผู้ปกครองจารีตนิยมที่ผูกขาดอำนาจและโภคทรัพย์ของสังคมไทยตลอดมา เป็น “การปฏิวัติประชาธิปไตย” ในขอบเขตและปริบทของประเทศไทย เช่นเดียวกับการปฏิวัติประชาธิปไตยที่ได้เกิดขึ้นไปก่อนแล้วในประเทศที่เป็นอารยะ

ลักษณะสำคัญของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของไทย ได้แก่

ลักษณะที่หนึ่ง ประเทศไทยมีการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้โครงครอบของทุนนิยมขุนนาง-อุปถัมป์อันจำกัดและล้าหลัง บัดนี้ได้มาเผชิญกับกระแสโลกาภิวัฒน์อันเชี่ยวกราก ที่กดดันให้ระบบเศรษฐกิจไทยต้องปรับเปลี่ยนไปสู่ทุนนิยมที่เสรีมากขึ้นและเป็นโลกาภิวัฒน์มากขึ้น จึงก่อให้เกิดการปะทะขัดแย้งกันระหว่างพลังสังคมสองพลังคือ ฝ่ายหนึ่งได้แก่ กลุ่มทุนจารีตนิยม ทุนเก่า และชนชั้นกลางในเมืองที่เสวยผลประโยชน์อยู่กับระบอบทุนนิยมขุนนาง-อุปถัมป์ กับอีกฝ่ายหนึ่งคือ กลุ่มทุนใหม่และชนชั้นล่างในเมืองและชนบทที่ต้องการสลัดพันธนาการดังกล่าวออกไปและผลักดันให้เศรษฐกิจสังคมไทยก้าวหน้าไปสู่ทุนนิยมเสรีและโลกาภิวัฒน์

ลักษณะที่สอง ความขัดแย้งระหว่างพลังเศรษฐกิจที่ล้าหลังกับพลังเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าข้างต้น ได้สะท้อนออกเป็นความขัดแย้งระหว่างพลังทางการเมืองสองฝ่ายคือ ระบอบเผด็จการอันคับแคบ เสื่อมโทรม ล้าหลังของกลุ่มทุนจารีตนิยม ทุนเก่า และชนชั้นกลางในเมืองด้านหนึ่ง กับระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมที่เปิดกว้าง ก้าวหน้า และเป็นกระแสที่ถาโถมมากับโลกาภิวัฒน์ของกลุ่มทุนใหม่และประชาชนชั้นล่างในอีกด้านหนึ่ง

ลักษณะที่สาม ในความขัดแย้งของพลังทางเศรษฐกิจและการเมืองนี้ ผู้ปกครองจารีตนิยมมีความใหญ่โตเข้มแข็งอย่างยิ่ง เพียบพร้อมไปด้วยมือเท้าและกลไกอำนาจรัฐ ทั้งทหาร ตำรวจ ศาล คุกตะราง ไปจนถึงพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มมวลชนเสื้อเหลือง และที่สำคัญที่สุด คือการครอบงำทางความคิดและอุดมการที่ฝังรากลึกในหมู่บุคลากรของรัฐและประชาชนมายาวนานหลายสิบปี ทั้งหมดนี้มีลักษณะรวมศูนย์ในแนวตั้งและมีความเข้มแข็งอย่างยิ่งในกรุงเทพฯและเขตเมืองใหญ่

ลักษณะที่สี่ ฝ่ายประชาธิปไตยนับแต่ได้รวมตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็เป็นการก่อตัวจากล่างสู่บน จากเล็กสู่ใหญ่ จากอ่อนสู่แข็ง เข้ามามีส่วนร่วมโดยมวลชนอย่างเข้มข้น เหนียวแน่น ทุ่มเทอย่างน่าประหลาดใจ ในด้านการจัดตั้ง มีลักษณะเป็นเครือข่ายแผ่กว้างในแนวนอน ฝ่ายประชาธิปไตยยังได้พัฒนาเครื่องมือของตนขึ้นมา ได้แก่ นักรบไซเบอร์ในสื่อออนไลน์ เครือข่ายวิทยุชุมชน โทรทัศน์ดาวเทียม พรรคการเมืองในระดับชาติและเครือข่ายนักการเมืองในท้องถิ่นทั่วประเทศ เครือข่ายนักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตย ตลอดจนเครือข่ายของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แต่ก็ยังมิอาจเทียบได้เลยกับเครือข่ายอำนาจรัฐในมือของพวกจารีตนิยม ยิ่งกว่านั้นคือ เครือข่ายและฐานกำลังของฝ่ายประชาธิปไตยมีลักษณะกระจายออกไปทั่วประเทศ และมีความเหนียวแน่นเข้มแข็งในเขตชนบทภาคเหนือ-อีสาน-กลาง

ลักษณะสำคัญสี่ประการนี้กำหนดหนทางของการปฏิวัติประชาธิปไตยของไทย ลักษณะที่หนึ่งและที่สองกำหนดว่า มีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะขยายตัวเติบใหญ่และเข้มแข็งจนสามารถเอาชนะเผด็จการได้ในที่สุด แต่ลักษณะที่สามและที่สี่กำหนดว่า การต่อสู้และชัยชนะดังกล่าวจะได้มาด้วยการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ซับซ้อน และยากลำบาก เพราะฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องใช้เวลาอันยาวนานในการเติบใหญ่เข้มแข็งขึ้น เข้ายึดกุมกลไกอำนาจรัฐมาจากพวกจารีตนิยมทีละน้อย และพัฒนาเครื่องมืออำนาจรัฐของตนเองขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ลักษณะที่สามและลักษณะที่สี่ยังเป็นปัจจัยกำหนดยุทธศาสตร์และรูปแบบของการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยอีกด้วย

ประการที่หนึ่ง การต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยเป็นการต่อสู้ทางการเมืองเป็นด้านหลัก และมีการต่อสู้ทางการทหารเป็นด้านรอง เพราะฝ่ายประชาธิปไตยที่อ่อนเล็กไม่สามารถเข้าปะทะทางกายภาพกับฝ่ายเผด็จการได้ในทันที จำต้องใช้ความชอบธรรมทางการเมืองเป็นอาวุธในการต่อสู้เพื่ออยู่รอด สะสมกำลัง ค่อย ๆ ขยายตัวเข้มแข็งขึ้น ไปสร้างและพัฒนาพลังทางอำนาจรัฐและพลังทางทหารขึ้นมาอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อเอาชนะฝ่ายเผด็จการในที่สุด

ประการที่สอง ในการต่อสู้อันยืดเยื้อนี้ ฝ่ายเผด็จการมีรูปแบบการต่อสู้หลักเป็นการรุก โดยใช้กลไกอำนาจรัฐอันเพียบพร้อมเข้า “ล้อมตีเพื่อทำลาย” ฝ่ายประชาธิปไตย ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็มีรูปแบบการต่อสู้หลักเป็นการรับ “ต่อต้านการล้อมตี” การล้อมตีและการต้านการล้อมตีแต่ละครั้งประกอบขึ้นเป็นการปะทะใหญ่ โดยที่ในการปะทะใหญ่แต่ละครั้ง ชัยชนะของพวกเผด็จการคือ การแยกสลายหรือทำลายฝ่ายประชาธิปไตยให้หมดไป ส่วนชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยก็คือ การอยู่รอด รักษากำลัง และขยายตัวเข้มแข็งขึ้น

ประเทศไทยได้ผ่านการปะทะใหญ่มาแล้วสองครั้งคือ ครั้งที่หนึ่ง รัฐประหาร 2549 ครั้งที่สอง รัฐบาลพรรคพลังประชาชน-พรรคประชาธิปัตย์ 2551-53 และขณะนี้นับแต่ปลายปี 2554 เป็นการปะทะใหญ่ครั้งที่สาม

ประการที่สาม การที่ฝ่ายเผด็จการเป็นพลังที่ล้าหลัง ถอยหลังเข้าคลอง ทวนกระแสโลกาภิวัฒน์และต้านกระแสประชาธิปไตยในสากล ตลอดจนมีกลไกอำนาจที่รวมศูนย์เข้มแข็งในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยมีลักษณะก้าวหน้า อยู่ในกระแสโลกาภิวัฒน์และกระแสประชาธิปไตยในสากล ขณะเดียวกันก็มีเครือข่ายและกลไกที่กระจายแต่เข้มแข็งในเขตชนบทภาคเหนือ-อีสาน-กลาง ทั้งหมดนี้ทำให้ฝ่ายเผด็จการมีฐานที่มั่นหลักในกรุงเทพฯและเขตเมืองใหญ่ ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยมีฐานอิทธิพลแผ่กระจายอยู่ในเขตชนบทภาคเหนือ-อีสาน-กลาง รวมทั้งการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากรัฐบาลเพื่อนมิตรในประชาคมนานาชาติ

นัยหนึ่ง บนพื้นที่เฉพาะของการปะทะใหญ่ในแต่ละครั้ง ฝ่ายเผด็จการอยู่ “ด้านนอก” และเป็นฝ่ายรุกล้อมตี ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยอยู่ “ด้านใน” และเป็นฝ่ายรับ ต่อต้านการล้อมตี แต่ในทางยุทธศาสตร์ส่วนทั้งหมดแล้ว ฝ่ายเผด็จการอยู่ “ด้านใน” คือ ยึดกุมเขตกรุงเทพฯ-เมืองใหญ่ ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยอยู่ “ด้านนอก” ยึดกุมต่างจังหวัด-ชนบท และประชาคมนานาชาติในอีกด้านหนึ่ง กลายเป็น “ชนบทล้อมเมือง โลกล้อมประเทศไทย ประชาธิปไตยล้อมเผด็จการ”
 

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข” วันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2557

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท