Skip to main content
sharethis

หลังเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ครั้งล่าสุดกลางเมืองยะลาในช่วงก่อนสงกรานต์ วันนี้ทางเทศบาลนครยะลาได้เริ่มส่งเครื่องจักรหนักเข้าเคลียร์พื้นที่ทั้งหมดคาดว่าจะใช้เวลาภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อเตรียมก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นมาแทน

เหตุคาร์บอมบ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อคนร้ายจุดชนวนระเบิดที่บรรจุในถังแก๊สน้ำหนักประมาณ 100 กก.ซุกในรถยนต์กระบะมาสด้า บีที 50 สีขาวที่มาจอดหน้าร้านราชาเฟอร์นิเจอร์ ถ.สิโรรส อ.เมือง จ.ยะลา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 28 ราย อีกทั้งยังวางระเบิดอีกหลายจุด ซึ่งเหตุเกิด 2 วันต่อเนื่องกันในวันที่ 6 และ 7 เมษายน 2557

เป็นเหตุไม่สงบที่สร้างความเสียหายมหาศาลอีกครั้งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะโกดังศรีสมัยที่ถูกเพลิงไหม้จากเหตุระเบิดจนได้รับความเสียหายมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท

ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบมาต่อเนื่องหลายครั้งด้วยกัน

 

เป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นางวราพรณ์ ศิริไชย เถ้าแก่โกดังศรีสมัย เล่าว่า ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ธุรกิจของตนได้รับผลกระทบจากเหตุไม่สงบ 8 ครั้ง แต่ละครั้งก็มีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก แต่ไม่อยากพูดว่าที่ผ่านมาได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลเท่าไร เพราะพูดไปแล้วเจ็บใจเปล่าๆ

นางวราพรณ์ เจ้าของธุรกิจหลายอย่างและหลายแห่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งร้านค้าขายส่ง ห้างและโกดัง บอกว่า “รู้สึกหมดกำลังใจจริงๆ คิดอะไรไม่ออกว่าอนาคตจะเอาอย่างไรสำหรับธุรกิจของดิฉัน แต่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะช่วยเหลืออย่างไร หากช่วยเหลือดี ก็จะดำเนินการธุรกิจต่อไปได้ แต่หากช่วยเหลือไม่ดีก็อาจจะต้องถอย

สำหรับธุรกิจอีกอย่างหนึ่งของตระกูลศิริไชยที่มักได้รับผลกระทบมาตลอดก็คือ ร้านสะดวกซื้อ “เซเว่นอีเลฟเว่น” ซึ่งทุกสาขาใน 3 จังหวัดชายแดภาคใต้ ยกเว้นสาขาในปั๊มน้ำมัน ปตท. รวมมากกว่า 60 สาขา เป็นธุรกิจของพวกเขา

ส่วนห้างซุปเปอร์ดีพาร์ทเมนท์สโตร์อีกหนึ่งธุรกิจของครอบครัวที่มีสาขาอยู่ทั้ง 3 จังหวัด คือสาขาปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ก็เคยถูกระเบิดและเพลิงไหม้เสียหายอย่างหนักมาแล้วเช่นกัน โดยเฉพาะสาขาปัตตานีที่ถูกระเบิดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ส่วนสาขานราธิวาสถูกระเบิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมปีเดียวกัน

ขณะที่ร้านศรีสมัยค้าส่งเองก็เคยถูกจักรยานยนต์บอมบ์หน้าร้าน มาแล้วเมื่อปี 2547 มีผู้หญิงผู้เสียชีวิต 1 ราย

สิ่งที่เถ้าแก่วราพรณ์อยากเรียกร้องคือ ขอให้รัฐบาลให้ช่วยเหลือเยียวยาความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างดี เพื่อเป็นกำลังใจในการทำธุรกิจในพื้นที่ต่อไป

ขณะเดียวกันก็ขอเรียกร้องต่อผู้ก่อเหตุด้วยว่า “อย่าทำร้ายเราเลย เพราะเราเป็นคนหาเช้ากินค่ำ และต้องเลี้ยงดูลูกน้องรวมๆ กว่า 2,000 คน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทแล้วจะให้พวกเขาทำอะไรเลี้ยงครอบครัว”

ส่วนการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่นะหรือ เธอบอกว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ตนเองไม่มีความรู้หรอกว่าจะบอกให้รัฐบาลแก้ปัญหาอย่างไร แค่คนที่หาเช้ากินค่ำ

 

อนาคตสันติภาพอยู่ที่ประชาชน

ขณะที่เจ้าหน้าร้านแต้ชุนกวงถูกเพลิงเผาวอดไปในเหตุการณ์เดียวกัน แต่ไม่ประสงค์ออกนาม บอกว่า ความไม่สงบในพื้นที่แก้ได้ด้วยการพูดคุยระหว่างประชาชนทุกภาคส่วนในพื้นที่ เพราะคนที่ได้รับผลกระทบมีทั้งคนจีน คนพุทธและมุสลิม

“ดิฉันหวังว่าปัญหาความไม่สงบในพื้นที่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการพูดคุยกันได้ระหว่างประชาชนด้วยกัน”

“เหตุการณ์นี้มีคนมุสลิมบาดเจ็บจำนวนมาก ดังนั้นอยากให้ประชาชนในพื้นที่มานั่งคุยกันเพื่อหาทางแก้ปัญหาโดยไม่ต้องแบ่งแยกศาสนา”

เจ้าหน้าร้านแต้ชุนกวง ย้ำว่า “หากคนในพื้นที่ต้องการให้เป็นเขตปกครองพิเศษก็ให้พูดคุยกัน อย่ามาก่อเหตุอย่างนี้เลย มันเป็นแนวทางที่ไม่ถูกต้อง”

สำหรับเจ้าของร้านแต้ชุนกวงแห่งนี้ เคยถูกระเบิดมาแล้ว 2 ครั้ง แต่เธอก็ย้ำว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะเกิดที่นี่และครอบครัวอาศัยอยู่ที่นี่มา 70 ปีแล้ว

ร้านแต้ชุนกวงขายเครื่องสังฆภัณฑ์หรือสิ่งของไหว้เจ้า เปิดร้านมาตั้งแต่รุ่นอากงหรือ 70 ปีมาแล้ว มีลูกค้ามีทั้งคนจีน พุทธและมุสลิม เหตุระเบิดทำให้ร้านเสียหายย่อยยับ เธอไม่สามารถประเมินมูลค่าได้

ส่วนเรื่องการพูดคุยสันติภาพระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับขบวนการ BRN ที่มีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เจ้าของร้านรายนี้ ย้ำว่า รัฐบาลต้องพูดคุยกับกลุ่มบุคคลที่คิดต่างจากรัฐด้วยความจริงจัง หากไม่จริงจัง ประชาชนในพื้นที่นั่นแหละที่จะเดือดร้อนไปเรื่อยๆ

“อยากให้รัฐบาลกับขบวนการ BRN ตั้งองค์กรประสานงานระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อให้การพูดคุยสันติภาพสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ที่สำคัญอยากให้รัฐบาลเอาประชาชนในพื้นที่เข้าไปอยู่ในคณะพูดคุยสันติภาพด้วย เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม”

เธอบอกว่า ในกระบวนการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลกับขบวนการ BRN นั้น รัฐบาลต้องแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ในทางบวกของการพูดคุยสันติภาพ เพราะจะทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพ

“การพูดคุยสันติภาพที่ผ่านมาประชาชนไม่มีความเชื่อมั่น เพราะระหว่างการพูดคุยสันติภาพกำลังดำเนินอยู่ ก็ยังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบอยู่เป็นประจำ”

แม้ภาพอนาคตสันติภาพจะเป็นอย่างไรต่อไปในสายตาพวกเขา สิ่งที่ไม่อยากให้เป็นก็คือนั่งมองเครื่องจักรรื้อซากแล้วสร้างใหม่ขึ้นมาอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่ๆ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net