กรุงเทพฯ -20 ก.ค.48 นาย
ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่า พระราชกำหนดที่ตราขึ้น มีความน่าเป็นห่วงและน่ากังวล ทั้งในส่วนของบท บัญญัติที่ตราไว้ในพระราชกำหนด ตลอดจนประกาศ ข้อกำหนด และกฎระเบียบซึ่งจะมีการออกประกาศใช้ในอนาคตตามอำนาจของพ.ร.ก.ฉบับนี้
แม้ว่ารัฐบาลจะมีการประกาศเมื่อวานว่ายังมีบทบัญญัติบางมาตราที่ยังไม่นำมาบังคับใช้ก็ตาม แต่ก็ไม่มีหลักประกันใดที่จะมีการรับประกันได้ว่าจะไม่มีการบังคับใช้ในอนาคต
โดยทางพรรคฯ ขอให้ผู้ตรวจการฯ พิจารณา ใน 3 ประเด็นหลักคือ 1.หากเห็นว่าบทบัญญัติในมาตราใดของพ.ร.ก.มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็ขอให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 198 โดยส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
2.ขอให้ผู้ตรวจการฯ ติดตามประกาศข้อกำหนดข้อบังคับที่ออกตามพ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว เพื่อตรวจ สอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและเป็นการเคารพรักษาซึ่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และ 3.ประชา สัมพันธ์ให้ผู้ได้รับผลกระทบของพ.ร.ก.ดังกล่าวใช้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เป็นช่อง ทางตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ตามพ.ร.ก.เพื่อเป็นการรักษาสิทธิและเสรีภาพของประชาชนต่อไป
สำหรับมาตราที่ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า เราเห็นว่า หมิ่นเหม่ต่อการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งในเนื้อ หาสาระและการออกประกาศ ข้อกำหนด และการบังคับใช้ที่จะมีขึ้นในอนาคต คือ 1. มาตรา 9 (3) ที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน
2. มาตรา 10 (5) ที่เป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบจดหมาย สิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ โทรเลข โทรศัพท์หรือการสื่อสารด้วยวิธีใด
3. มาตรา 11 (6) กรณีให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศห้ามมิให้การกระทำใดๆ หรือสั่งการให้กระทำการใดๆ เท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ โดยไม่เขียนรายละเอียดไว้
ประธานวิปฝ่ายค้านกล่าวต่อว่า พระราชกำหนดฉบับนี้ขาดกลไกตรวจสอบการใช้อำนาจตามกฎหมาย ทั้งที่ในหลายประเทศที่ใช้กฎหมายในลักษณะนี้ยังเปิดช่องให้มีการตรวจสอบการใช้อำนาจได้ เช่น การอุทธรณ์ หรือใช้กระบวนการทางศาล แต่พระราชกำหนดฉบับนี้นอกจากปิดช่องทางการตรวจสอบแล้วยังมีการยกเว้นความผิดให้เจ้าหน้าที่ทั้งทางแพ่งและทางอาญาด้วย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)