แทรกแซงสื่อ ขัดรัฐธรรมนูญ

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ผมรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากต่อรายงานข่าวที่ว่านายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลสื่อสารมวลชนของรัฐ อันได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ อสมท. ฯลฯ ได้ขอไฟล์เสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ให้สัมภาษณ์สดผ่านรายการเอ็กคลูซีฟสถานีวิทยุ 100.5 เอฟเอ็ม อสมท.ของคุณจอม เพชรประดับ โดยขณะที่อยู่ระหว่างที่รายการดังกล่าวยังดำเนินรายการยังไม่จบ ได้มีเจ้าหน้าที่หน้าห้องของนายสาทิตย์ได้เดินทางไปยังห้องจัดรายการและขอไฟล์บันทึกเสียงทั้งหมด

นอกจากนั้นนายสาทิตย์ได้แสดงอาการหงุดหงิดโดยได้โทรสอบถามเสียงเครียดว่า “เอามาออกอากาศได้อย่างไร เป็นสื่อของรัฐ มีการขออนุญาตให้ผู้ใหญ่รับทราบหรือไม่” พร้อมทั้งยังกล่าวในทวิตเตอร์ว่า “เช้านี้ (6 ก.ย.) งานเข้าที่ อสมท.ครับ คาดว่าเป็นข่าวแน่ พรุ่งนี้จะมีคำชี้แจง ตอนนี้กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง” ซึ่งผมเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของนายสาทิตย์เป็นการแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน

วีรกรรมเชิงลบของนายสาทิตย์นี้ปรากฏขึ้นหลายครั้งหลายคราว ที่โด่งดังมากก็คือ การย้ายผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 หรือ เอ็นบีที ของกรมประชาสัมพันธ์ ด้วยเหตุที่สัญญาณการถ่ายทอดรายการของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในเช้าวันอาทิตย์ที่แทบจะไม่มีคนฟังเลยนอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยผู้อำนวยการสถานีฯ ถูกปลดในฐานควบคุมดูแลไม่ดี ทำให้สัญญาณขาดหาย ซึ่งอันที่จริงแล้วตัวนายสาทิตย์เองในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลก็น่าที่จะต้องถูกปลดไปด้วย หากว่าการที่สัญญาณถ่ายทอดสดโทรทัศน์ขาดหายแล้วนายสถานีหรือผู้อำนวยการจะต้องถูกย้ายหรือถูกปลดเพราะเหตุที่เป็นผู้บังคับบัญชา เพราะนายสาทิตย์เองก็เป็นผู้บังคับบัญชาเช่นกัน

อันที่จริงแล้วบรรดานักการเมืองทั้งหลายที่เป็นฝ่ายรัฐบาลไม่ยุคไหนสมัยไหนมักจะสำคัญผิดว่า “สื่อของรัฐ” กับ “สื่อของรัฐบาล” คือสิ่งเดียวกัน จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าไปแสดงอำนาจบาตรใหญ่ให้สื่อของรัฐทั้งหลายสนองตอบแต่นโยบายของตนและปิดกั้นฝ่ายที่ตรงกันข้าม เมื่อไม่ถูกใจก็โยกย้ายสับเปลี่ยนหรือกดดันทุกวิถีทาง

คำว่า “รัฐ” กับ “รัฐบาล” นั้นก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะรัฐบาลเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในสี่ที่ประกอบกันขึ้นเป็นรัฐที่ประกอบไปด้วย รัฐบาล ดินแดน ประชาชนและอำนาจอธิปไตย ฉะนั้น การที่รัฐบาลตีขลุมเอาสื่อของรัฐคือสื่อของรัฐบาลแต่เพียงฝ่ายเดียวจึงไม่ถูกต้อง สื่อของรัฐนอกจากจะเป็นสื่อรัฐบาลแล้วยังต้องเป็นสื่อของประชาชนด้วย เพราะประชาชนเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบของการเป็นรัฐเช่นเดียวกับรัฐบาลที่เป็นองค์ประกอบของรัฐเช่นกัน และรัฐบาลกับประชาชนก็อยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกันในการเป็นส่วนหนึ่งของรัฐด้วย การพยามปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนจึงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง

อีกทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ก็บัญญัติไว้ชัดเจนในหมวดที่ 3 สิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย ส่วนที่ 7 เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน ที่สำคัญที่สุดก็คือในมาตรา 46 ที่บัญญัติให้พนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือสื่อมวลชนอื่น ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ตกอยู่ในอาณัติของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าของกิจการนั้น แต่ต้องไม่ขัดต่อจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ และมีสิทธิจัดตั้งองค์กรเพื่อปกป้องสิทธิ เสรีภาพและความเป็นธรรม รวมทั้งมีกลไกควบคุมกันเองขององค์กรวิชาชีพ

ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ในกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือสื่อมวลชนอื่น ย่อมมีเสรีภาพเช่นเดียวกับพนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนตามวรรคหนึ่ง   

การกระทำใดๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเจ้าของกิจการ อันเป็นการขัดขวางหรือแทรกแซงการเสนอข่าวหรือแสดง ความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะของบุคคลตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ถือว่าเป็นการจงใจ ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและไม่มีผลใช้บังคับ เว้นแต่เป็นการกระทำเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายหรือจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ   

จะเห็นได้ว่าสิทธิเสรีภาพในการเสนอข่าวและการเสนอความคิดเห็นในสถานการณ์ปกติธรรมดาที่ไม่อยู่ภายใต้สถานการณ์พิเศษ เช่น ภายใต้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ พ.ร.บ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ หรือ ภายใต้กฎอัยการศึกแล้ว การแทรกแซงหรือปิดกั้นสื่อจะกระทำมิได้เลย นอกเสียจากเป็นการกระทำเพื่อให้เป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพเท่านั้น

เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่คุณจอม เพชรประดับ ผู้ซึ่งเคยซึ่งเคยถูกกดดันให้ออกจากรายการทางช่อง เอ็นบีที มาแล้วหลังจากที่ได้เชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสมัยที่มี นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ และมีนายจักรภพ เพ็ญแข เป็นรัฐมนตรีสำนักนายกฯ ไปออกรายการ แต่คราวนี้คุณจอมได้จัดรายการแล้วเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้ประชาชนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐได้ทราบ แล้วแยกแยะว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น ผมเห็นว่าไม่มีประเด็นใดที่จะเข้าข่ายในข้อห้ามในรัฐธรรมนูญเลย

ครั้นจะอ้างเรื่องความมั่นคงก็ฟังไม่ขึ้น เพราะอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาลจริง แต่มิใช่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐแน่ รัฐบาลล้มได้ เปลี่ยนแปลงได้ แต่รัฐ ล้มไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะถ้าล้มหรือเปลี่ยนแปลงก็หมายความถึงการสูญสิ้นองค์ประกอบของรัฐคือ อำนาจอธิปไตย ดินแดน ประชาชนและรัฐบาลนั่นเอง

ตราบใดที่การแสดงความคิดไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐและไม่ขัดรัฐธรรมนูญแล้วไซร้ย่อมทำได้เสมอ

อย่าลืมว่าประชาชนมิใช่สัตว์เลี้ยงของรัฐบาลที่จะต้องถูกจูงจมูกให้ไปตามที่เจ้าของต้องการให้ไป ประชาชนมีสิทธิมีเสียง มีปัญญาที่จะแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนควรเชื่อ สิ่งไหนไม่ควรเชื่อ รัฐบาลมาแล้วก็ไป แต่ประชาชนยังคงอยู่คู่กับรัฐ หมดยุคของการที่รัฐบาลจะทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี พยายามยัดเยียดสิ่งที่ตนเองต้องการโฆษณาชวนเชื่อหรือล้างสมองประชาชน

รัฐบาลที่ดูถูกประชาชนไม่เคยอยู่ได้นาน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเผด็จการทหาร หรือรัฐบาลเผด็จการพลเรือน บทเรียนในอดีตมีปรากฏให้เห็นอยู่แล้ว แต่รัฐบาลไม่เคยสำนึกว่าการเหลิงอำนาจนั้นมีบทเรียนที่เจ็บแสบเช่นไร ไม่ต้องดูไปไกลมากนัก ดู พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นผู้ร่วมรายการของคุณจอมเป็นตัวอย่างก็น่าจะเห็นได้แล้วว่าพบกับจุดจบอย่างไร

หรือว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์อยากจะพบจุดจบเช่นเดียวกับคุณทักษิณที่ไม่มีแผ่นดินอยู่ ก็จงอย่าได้หยุดการละเมิดรัฐธรรมนูญด้วยการแทรกแซงสื่อเหมือนครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยทำเมื่อครั้งครองอำนาจก็แล้วกัน

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 9 กันยายน 2552
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท