ทิพย์อักษร มันปาติ
สำนักข่าวประชาธรรม
ความเป็นจริงที่เกิดจากนโยบายการจัดการทรัพยากรอย่างไร้การมีส่วนร่วมของประชาชน และไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เช่นการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทับที่อยู่อาศัยทำกินดั้งเดิมของประชาชนในท้องถิ่น ที่ผ่านมาได้ส่งผลให้ประชาชนทั่วประเทศที่อาศัยอยู่ในเขตป่าต้องกลายเป็นคนผิดตามกฎหมาย ไม่สามารถอยู่อาศัยทำกินได้อย่างชอบธรรมมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ในพื้นที่ภาคใต้ การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 99 ตอนที่ 72 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2527 เป็นอุทยานแห่งที่ 42 ของประเทศ มีผลทำให้ประชาชนจำมากที่อยู่อาศัยในเขตพื้นที่เทือกเขาบรรทัด ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เหตุการณ์การดำเนินคดีทางแพ่งและอาญากับชาวบ้านในข้อหาบุกรุกป่า การยึดที่ดินทำกิน โดยเจ้าหน้าที่รัฐยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าที่ผ่านมาประชาชนผู้อยู่อาศัยทำกินมาก่อนการประกาศเขตป่าอุทยานฯ จะพยายามแสดงหลักฐานร่องรอยการทำกินที่พิสูจน์ได้ว่าที่ดินมีการสืบทอดมาจากหลายรุ่นคนก็ตาม
แรงกดดันจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทับที่อยู่อาศัยทำกิน ทำให้ชุมชนแห่งหนึ่งลุกขึ้นมาจัดการทรัพยากรชุมชนกันเอง โดยมีแนวทางในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน สร้างรูปธรรมตัวอย่างให้เห็นว่าคนก็อยู่กับป่าได้
ชุมชนยืนหยัด ยืนยันสิทธิทำกินในที่ดินเดิม
บ้านทับเขือ-ปลักหมู หมู่ที่ 1 ตำบลช่อง อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ตั้งอยู่บนเขาพับผ้า เทือกเขาบรรทัด รอยต่อระหว่างตรัง-พัทลุง มีประชากรประมาณ 60 ครอบครัว 270 คน ชุมชนก่อตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีประชาชนทยอยเข้ามาบุกเบิกทำกินในพื้นที่ป่าซึ่งหมดอายุการสัมปทานใน พ.ศ.2507 และขยายชุมชนมาจนปัจจุบัน
นายสมนึก พุฒนวล ชาวบ้านทับเขือ-ปลักหมู ต.ช่อง อ.นาโยง จ.ตรัง กล่าวว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2507 เป็นต้นมา มีคนมาบุกเบิกที่ดิน และปักหลักทำกินอยู่ที่หมู่บ้านจนถึงปัจจุบันนี้ โดยประกอบอาชีพทำไร่ทำสวน ปลูกผัก ผลไม้ ปลูกยางพารา
ทั้งนี้ สภาพป่าในช่วงที่คนรุ่นแรกๆ เริ่มเข้ามาบุกเบิกทำกิน มีต้นไม้ใหญ่ถูกตัดโค่นไปแล้ว เพราะเกิดจากการสัมปทาน สภาพป่ากลายเป็นป่าเสื่อมโทรมแล้ว ชาวบ้านที่เข้าไปบุกเบิกทำกินก็ถางที่ปลูกข้าวไร่ หลังเก็บเกี่ยวข้าวก็ปลูกยางพาราพันธุ์พื้นเมือง และปลูกพืชอื่นๆ ผสมผสานแซมในสวนยางพาราด้วย เช่น มังคุด ทุเรียน ลางสาด ลูกเนียง สะตอ
ภายหลังต่อมา มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า ทำให้ที่ไร่ ที่สวน สวนยางพาราที่ชาวบ้านทำไว้ถูกยึดหมด สวนยางพาราก็เลยกลายเป็นป่ายางพารา เพราะคนส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถทำมาหากิน หรือปลูกพืชผักทำกินหรือเพื่อนำไปขายหาเลี้ยงชีพได้ จึงอพยพออกไปหางานทำข้างนอก เข้าไปในเมือง ปล่อยให้สวนรกร้าง แต่คนบางส่วนยังอยู่ที่เดิมเพราะไม่มีที่ดินทำกินที่อื่น มีแต่ที่ดินที่ได้รับตกทอดมาให้อาศัยทำกิน แต่ก็ทำมาหากินอย่างลำบากมากขึ้นเมื่อที่ดินถูกประกาศเป็นเขตอุทยาน
"หลังจากมีการประกาศอุทยานฯ ชาวบ้านก็ไม่สามารถอยู่ได้ ตอนแรกๆ จะตัดยางพาราก็ไม่ได้ ไม่ให้ทำอะไรสักอย่าง คนทำมาหากินในป่าไม่ได้ บางส่วนยังอยู่อาศัยที่เดิม แต่ออกไปทำงานรับจ้างหาเลี้ยงชีพในเมือง คนบางส่วนก็ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเลย" นายสมนึก กล่าว
นายสมนึก กล่าวต่อว่า การที่ชาวบ้านไม่สามารถทำกินบนที่ดินดั้งเดิมได้อย่างชอบธรรม ทำให้เกิดแรงกดดันหลายอย่าง ชาวบ้านบางส่วนมีโอกาสไปแลกเปลี่ยนปัญหากับองค์กร เครือข่ายอื่นๆ พบว่าในพื้นที่เทือกเขาบรรทัดยังมีอีกหลายชุมชนที่ประสบปัญหาเหมือนกัน ดังนั้น เราจึงคิดกันว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สังคมเห็นว่าเรามีสิทธิที่จะอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินดั้งเดิมของตนเอง ต่อมาจึงก่อตั้งองค์กรชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู ขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 และเข้าร่วมเป็นสมาชิกของเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด
ทั้งนี้ การก่อตั้งองค์กรชุมชนฯ ขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจกรรม รณรงค์ให้ความเข้าใจกับสังคมเห็นว่าชาวบ้านไม่สามารถที่จะอยู่ได้ เพราะถูกนโยบายรัฐพยายามไล่ต้อน ดังนั้น การแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมที่ชาวบ้านสามารถอยู่ในที่ดินได้ จึงเริ่มต้นด้วยการ1. จัดการทรัพยากรชุมชน กันป่าออกจากที่ทำกินให้ชัดเจน โดยมีการเดินแนวเขตกันป่า ป่าที่กั้นเอาไว้ สมาชิกในชุมชนจะเข้าไปบุกรุกไม่ได้แต่ต้องช่วยกันดูแล รวมทั้ง พยายามนำแนวคิดการเกษตรแบบผสมผสานไม่ใช้สารเคมีกลับคืนมา 2. จัดการที่ดินและที่อยู่อาศัยของชุมชน โดยการจัดทำโฉนดชุมชน
"โฉนดชุมชน" กันที่ดินหลุดสู่มือนายทุน
โฉนดที่ดินชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู เป็นแนวทางในการจัดการที่ดินทำกินชุมชน มีกฎระเบียบของชุมชนในการดูแลรักษาป่า เน้นการเกษตรแบบสวนผสม หรือทำสวนยางพาราแบบสวนสมรม เพื่อใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปัจจุบันมีสมาชิกในชุมชนเข้าร่วมดำเนินการจำนวน 46 ครัวเรือน
ทั้งนี้ ชุมชนได้ใช้ที่ดินส่วนบุคคลสร้างศูนย์ประสานงานและปลูกผักแปลงรวม เช่น ต้นสะตอ ต้นเนียง และพืชผักต่างๆ มีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ สำหรับเป็นพื้นที่สาธารณะของสมาชิกองค์กรชุมชนบ้านทับเขือ โดยกลุ่มสมาชิกจะนำผลผลิตจากสวนไปขายและนำเงินมาใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรชุมชน
หลักการในการทำโฉนดชุมชน ดำเนินการเดินสำรวจรังวัดแปลงที่ดินของสมาชิกองค์กรชุมชนฯ แต่ละคน เพื่อทำประวัติในการถือครองที่ดิน เช่น มีการบุกเบิกเมื่อไหร่ มีการสืบทอดมากี่ชั้นคน แต่ละชั้นคนมีการใช้ประโยชน์ที่ดินทำกินอย่างไรบ้าง ปลูกพืชอะไรบ้าง เป็นต้น หลังจากทำการรังวัดและจัดทำรายละเอียดข้อมูลการถือครอง และการใช้ประโยชน์ที่ดินเสร็จแล้ว จะนำเข้าที่ประชุมขององค์กรสมาชิก เพื่อให้สมาชิกเซ็นรับรอง
นายสมนึก กล่าวเสริมว่า ตามระเบียบกติกาขององค์กรฯ ระบุข้อหนึ่งว่า หากจะมีการซื้อขายที่ดินสมาชิกจะต้องแจ้งคณะกรรมการ ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นการกันไม่ให้ที่ดินหลุดมือไปสู่นายทุนได้ อย่างไรก็ตาม ในอนาคตเราคิดกันว่าน่าจะปรับข้อนี้ไม่ให้มีมีการซื้อขายได้เลย นี่คือเป้าหมายในอนาคตที่เราจะต้องคิดทำกันต่อไป
นอกจากนี้ ในส่วนของที่ดินทำกินของชุมชน เราก็พยายามสร้างรูปแบบการเกษตรที่เอื้อต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศน์ กล่าวคือ รณรงค์ให้สมาชิกในองค์กรชมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู ทำการเกษตรแบบยั่งยืน โดยการปลูกพืชหลากหลายภายใต้สวนยางพารา ไม่หวังพึ่งการปลูกยางพาราเชิงเดี่ยวตามที่รัฐบาลส่งเสริมอย่างเดียว นี่คือการเกษตรที่ช่วยรักษาความสมดุลของธรรมชาติได้
นายสมนึก กล่าวอีกว่า โฉนดชุมชนเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการจัดการระบบกรรมสิทธิ์ กล่าวคือ หากกล่าวกันตามกฎหมายของรัฐ เราก็เป็นคนผิด แต่พวกเราจะไม่ยอมรับกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะเราอาศัยทำกินอยู่ที่นี่มาหลายรุ่นคน พวกเราไม่มีที่ทำกินตรงอื่นแล้ว เราก็ต้องหยุดอยู่ตรงนี้
"การจัดทำโฉนดชุมชนก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมให้เราทำกินอยู่ในที่ดินเดิม เพื่อกันที่ดินของเราไม่ให้หลุดไปสู่มือของนายทุน เราต้องการให้ผืนดินผืนนี้ตกทอดต่อไปยังลูกหลาน"
กฎระเบียบการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน องค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด บ้านทับเขือ-ปลักหมู หมู่ที่ 1 ต. ช่อง อ.นาโยง จ.ตรัง |
1. ห้ามทำลายป่าสมบูรณ์ |
สร้างความมั่นคงในที่ดิน - สร้างอธิปไตยทางอาหารในป่ายางพารา
วีถีการผลิตแบบเน้นพึ่งพิงพืชเศรษฐกิจที่รัฐบาลส่งเสริมเป็นหลัก ที่ผ่านมา นอกจากไม่อาจเป็นข้อรับประกันให้ชาวบ้านผู้ปลูกยางพาราเชิงเดี่ยวมีอาหารเลี้ยงคนในครอบครัวได้แล้ว ยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ ทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซ้ำร้าย เมื่อพื้นที่ทำกินกลายเป็นพื้นที่หวงห้าม เหตุเพราะถูกผนวกเข้าเป็นเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า ทำให้การกรีดยางพาราที่เคยทำมาแต่เดิม กลายเป็นการลักขโมยของป่า และตอกย้ำให้เกิดภาพที่ว่าป่ายางพาราของชาวบ้านคือสาเหตุของการทำลายป่า ทำลายระบบนิเวศน์ ส่งผลให้เกิดผลกระทบทั้งต่อรายได้และการอยู่อาศัยในที่ดินเดิม
การลุกขึ้นมาปฏิบัติการสร้างความมั่นคงให้กับที่ดินทำกิน จัดทำโฉนดชุมชน มีกฎระเบียบในการใช้ที่ดิน ร่วมกันดูแลอนุรักษ์ผืนป่าอย่างชัดเจน พร้อมทั้งสร้างอธิปไตยทางอาหารที่ไม่ยึดติดกับการปลุกยางพาราเพียงอย่างเดียว คือความพยายามทลายความคิดการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บุกรุกทำลายป่า และทำลายสิ่งแวดล้อม
นายกิ้มพงษ์ สังวรกิตติวุฒิ อายุ 71 ปี หรือ ลุงเคว ชาวบ้านบ้านทับเขือ ซึ่งอยู่อาศัยมาไม่น้อยกว่า 50 ปีแล้ว บนแปลงที่ดินทั้งหมด 8 ไร่ ที่มีอยู่ นอกจากปลูกยางพาราแล้ว ยังปลูกพืชอาหารและสมุนไพรกว่า 100 ชนิด ภายใต้สวนยางด้วย
ลุงเคว กล่าวว่า ตนอยู่ที่นี่มานานแล้ว ที่ดินที่มีอยู่ก็ได้รับสืบทอดมา หากเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะมาไล่ออกไปจากที่ดิน ก็จะไม่ยอมออกไป ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน เพราะทำกินอยู่ที่นี่มานาน ไม่ได้บุกรุกป่า ไม่ได้บุกรุกป่าอย่างที่เจ้าหน้าที่บอก
พืชผสมผสานในป่ายางพาราของลุงเคว |
พืชชั้นที่ 1 (ชั้นคลุมดิน) |
พืชชั้นที่ 2 |
พืชชั้นที่ 3 |
พืชชั้นที่ 4 (ชั้นบนสุด) |
การจัดการทรัพยากรโดยชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู โดยมีแนวทางที่ชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในที่ดินทำกิน และแสดงเจตนารมณ์ที่จะดูแลรักษาทรัพยากรให้ยั่งยืน ไม่ปล่อยให้ที่ดินซึ่งเห็นร่วมกันว่าเป็นของส่วนรวมหลุดไปสู่กลุ่มคนอื่นใดที่อาจนำไปแปรสภาพเพื่อสร้างความมั่งคั่งส่วนตัว แนวทางดังกล่าวนี้คือการยืนยันสิทธิที่จะอยู่ทำกินอย่างชอบธรรม และยืนหยัดว่าคนที่อยู่ท่ามกลางผืนป่า ไม่ได้เป็นผู้บุกรุกป่าอย่างที่หน่วยงานราชการชอบเหมารวมและไล่ออกไปอยู่ที่อื่นโดยไม่ดูความเป็นจริงอยู่ร่ำไป
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)