ไม่รู้ว่าชัดเจนพอหรือยังว่าการรัฐประหาร 19 กันยายนที่ผ่านมานั้น เพื่ออะไร ถ้ายังไม่ชัดก็รอกันต่อไป ไม่น่าจะนานเกินรอ

การแต่งตั้งกรรมการในรัฐวิสาหกิจ ได้สร้างบรรยากาศย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้วที่เราจะต้องเห็นทหารเข้าไปทำหน้าที่ในบอร์ดเหล่านี้ด้วย ปีนี้พัฒนาขึ้นหน่อย ถึงขั้นว่ามีสื่อมวลชนเข้าไปร่วมด้วยในองค์กรสื่อที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งปัจจุบันเป็นองค์กรมหาชนที่อยู่ในกำกับของรัฐอย่าง อสมท.อีกหน่อยจะมีสื่อมวลชนไปนั่งเป็น รมต. แล้วใครจะเชื่อการตรวจสอบของสื่อกันละทีนี้

น่าเห็นใจพนักงาน อสมท. นะครับ เพราะพลันที่บอร์ดใหม่เข้าไปทำงาน กรรมการบางท่านก็ชี้เปรี้ยงทันทีว่า ที่ผ่านมา อสมท. นั้นไม่ดีอย่างไร เสร็จแล้วก็เปิดฉากเสนอว่า จะเปลี่ยนแปลงให้ต่อไปนี้จากอุดมปัญญาให้เป็นสัมมาปัญญา แปลแล้วก็คือ ต้องเป็นปัญญาที่ดีด้วย ไม่ใช่ปัญญาเพื่อจะเอากำไร

เจอคำพูดประเภทนี้ คน อสมท. ก็ต้องงงแน่ละครับ ว่าที่ผ่านมา "ฉันทำเลวหรือนี่" หรือมันเลวก็เมื่อ มีคนเข้ามาบอกว่ามันเลวกันแน่

นี่เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปนี้ เพราะอุดมการณ์ของการยึดอำนาจของคณะทหารคราวนี้ก็คือ "ความดี" (ก็กว้างๆ อย่างนี้แหละ) และการรื้อ "ระบอบทักษิณ" คือยุทธศาสตร์ ส่วนกลยุทธ์ก็คือ เอาพวกพ้องตนเองที่อยู่ในทุกวงการเข้าไปขับเคลื่อนกลไก

สร้างพันธมิตรฮั้วกันทั้งวงวิชาการ สื่อมวลชน ข้าราชการ อดีต ส.ว. เทคโนแครต ด้วยการตอบแทนทุกคนทุกฝ่ายที่ร่วมไล่รื้อ หรือเห็นด้วยต่อการไล่รื้อระบอบทักษิณ จนกลายเป็นระบอบชนิดหนึ่งที่นักวิชาการบางท่านเรียกว่า "ระบอบลูกป๋าอุปถัมภ์" เพื่อร่วมกันยึดเอาอำนาจรัฐไว้ แล้วปล่อยให้ประชาชนที่เหลือที่อำนาจต่อรองน้อย ซึ่งเขาเชื่อว่า (โง่หรือรู้น้อย) ให้กลายเป็นไพร่ หรือไม่ก็พลเมืองชั้นสอง สร้างสิ่งที่ ธงชัย วินิจจะกูล เรียกว่า "อภิชนาธิปไตย"

ใครไม่เข้าร่วมในว่านเครือ ก็ปล่อยให้เป็นคนส่วนน้อย หรือไม่ก็หาทางให้เข้าร่วม อย่างข่าวในแวดวงองค์กรพัฒนาเอกชน เล่าลือกันว่า หัวหน้าคณะรัฐประหาร ได้เชื้อเชิญผู้หลักผู้ใหญ่ในองค์กรเคลื่อนไหวประชาธิปไตยที่มีบทบาทสูงมากเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซึ่งมีท่าทีต้านการรัฐประหาร 3 คนไปพบ (แน่นอนย่อมไม่ใช่ ครป.) เพื่อชี้แจงเหตุผลว่า ทำไมจึงต้องรัฐประหาร พร้อมกับเสนอให้เข้ามามีส่วนร่วมในการยกร่างรัฐธรรมนูญ

ผมไม่แน่ใจว่า ป่านนี้จะมีคำตอบออกมาว่าจะเข้าร่วมหรือไม่อย่างไร ก็ได้แต่ภาวนาในใจ

อย่างไรก็ตาม ผู้กระทำเรื่องเหล่านี้ ทั้งผู้เริ่มและผู้เข้าร่วม อาจไม่ใช่เพราะเจตนาร้ายนะครับ และอาจเป็นเจตนาที่ดีด้วยกันทั้งนั้น ผมเองก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้ประชดประชันกัน เพียงแต่อาจจะอยู่บนความเชื่อที่มีปัญหาต่อการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน เพราะคนเหล่านี้เชื่อว่า ตนเองดีกว่า รู้มากกว่า เจตนาดีกว่า เสียสละมากกว่า

อย่าลืมนะครับ ทุกครั้งที่เราประกาศถึงความดี หรือคนดี มันได้สร้างคนดีน้อยกว่า ดีน้อยๆ รองลงไป กระทั่งคนเลวขึ้นมาเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แล้วจะอยู่กันอย่างไร มันเป็นไปได้อย่างไรที่สังคมนี้มีคนดีอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน

อะไรพอพะยี่ห้อทักษิณ ก็เป็นอัน "เลว" รื้อได้ คนบ้านสะเอียบ จัดงานทอดกฐิน สำนักพิมพ์ (ที่ตอนนี้) ใหญ่ไปร่วมงาน ถ่ายรูปคนร่วมงานใส่เสื้อไทยรักไทยเข้าหน่อย งานทอดกฐินรณรงค์ต้านเขื่อนแก่งเสื้อเต้นธรรมดาๆ ก็กลายเป็น "คลื่นใต้น้ำ" ต้องวุ่นวายวิ่งไปแจกแจงนายทหารในพื้นที่

นายกฯ ของคณะรัฐประหาร ประกาศ 4 ภารกิจ 1.จะปฏิรูปการเมือง สร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่กระบวนการร่าง ที่มาของผู้ร่างก็ล้วนแต่กำหนดได้จากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ

2.จะสร้างความสมานฉันท์ แต่ "ใครไม่ใช่พวกเรา ไม่ใช่พวกเรา เราไม่ให้โต" อันนี้ก็ไม่รู้จะสมานฉันท์กันอีท่าไหน

3.การลดความไม่เท่าเทียมทางรายได้ อันนี้ก็ดีอยู่หรอกเพราะทำมาทุกยุคทุกสมัย แต่ฟังๆ ดูก็น่าจะแย้งๆ กับเศรษฐกิจพอเพียงอยู่บ้าง เพราะทางหนึ่งให้พอเพียง นัยของมันก็บอกอยู่แล้วว่าให้พอประมาณ อย่าโลภ เมื่อไม่โลภก็ต้องรู้จักพอ ก็ถ้าคนคิดอย่างนั้นได้ จะไปสนใจทำไมว่าใครจะมีมากกว่ากัน ผมเสนอว่า ถ้าจะทำจริง ลองออกกฎหมายกระจายทรัพย์ออกมาดูที ไม่ว่าจะเป็น ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก  

4.การสถาปนาหลักนิติธรรม อันนี้ก็งงงง มีหลักนิติธรรมที่ไหนกัน เอาคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เต็มไปด้วยอคติและร่วมไล่ทักษิณ ไปนั่งสอบสวนความผิดของทักษิณ ซึ่งที่สุดจะทำให้ความผิดของอดีตนายกฯ กลายเป็นข้อสงสัย

แค่ตั้งภารกิจก็ล้มเหลวแล้วครับ จะหวังอะไรกับการบริหารความดี

ไม่ช้าไม่นาน มีหวังต้องโดดเรือหนีกันอีกแล้ว เฮ้อ!