ภาพจากรอยเตอร์
ประชาไท26 พ.ค. 2549 สถานการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลของติมอร์ตะวันออก และกองกำลังทหารซึ่งถูกปลดออกจากหน้าที่จำนวน 600 นาย เกิดขึ้นตั้งแต่วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม 2549 โดยกองกำลังทหารที่ถูกปลดประจำการเกิดความไม่พอใจรัฐบาลที่สั่งปลดพวกตน จึงก่อการจลาจลตามท้องถนน ณ กรุงดิลีซึ่งเป็นเมืองหลวงของติมอร์ตะวันออกจนเกิดเป็นการปะทะกันรายวัน
ล่าสุด กองกำลังทหารที่ถูกปลดประจำการบุกเข้ายึดและปิดล้อมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเปิดฉากยิงกับเจ้าหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลในวันที่ 25 พฤษภาคม 2549
การโจมตีกินเวลานาน 1 ชั่วโมง จากนั้นที่ปรึกษาการทหารและตำรวจขององค์การสหประชาชาติได้เจรจาหยุดยิงกับทหารที่ถูกปลด แต่การเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ และมีการยิงปะทะกันจนมีตำรวจเสียชีวิต 9 นาย บาดเจ็บ 27 นาย รวมถึงที่ปรึกษาตำรวจขององค์การสหประชาชาติอีก 2 นาย
ยอดรวมผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ยืดเยื้อทั้ง 4 วัน มีจำนวนประมาณ 20 คน ทำให้รัฐบาลติมอร์ตะวันออกเกิดความวิตกว่าเรื่องจะบานปลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง จึงร้องขอให้ประเทศต่างๆ อันได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ โปรตุเกส และมาเลเซีย ส่งกองกำลังช่วยเหลือมายังประเทศของตน
ทั้งนี้ ทางการออสเตรเลียได้ส่งหน่วยคอมมานโด 130 นาย และทหาร 1,300 นาย เข้าไปประจำการในติมอร์ตะวันออก ในขณะที่นิวซีแลนด์เตรียมส่งทหารเข้าไปช่วยเหลืออีก 120 นาย ทหารจากโปรตุเกส 120 นาย และมาเลเซีย 500 นาย
อย่างไรก็ตาม การยิงปะทะกันในเมืองหลวงยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องบริเวณใกล้ทำเนียบประธานาธิบดี ทำให้อาคารบางแห่งถูกเผา ชาวต่างชาติและชาวติมอร์ตะวันออกพากันหลบหนีออกจากเมืองเพื่อรักษาชีวิต
ในอดีต ติมอร์ตะวันออกเคยเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส จากนั้นได้ถูกอินโดนีเซียยึดครองตั้งแต่ปี 2518 จนถึงปี 2542 จึงมีการลงประชามติเพื่อขอแยกตัวเป็นเอกราช เป็นเหตุให้เกิดการนองเลือดเนื่องจากกองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนให้เกิดประเทศติมอร์ตะวันออกต้องการต่อต้านกองกำลังทหารอินโดนีเซีย ทำให้เกิดการต่อสู้กันอย่างรุนแรง และมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ครั้งนั้น ประเทศออสเตรเลียได้นำกองกำลังภายใต้การสนับสนุนของสหประชาชาติเข้าแทรกแซงในติมอร์ตะวันออกเพื่อยุติเหตุการณ์วุ่นวาย จากนั้นสหประชาชาติได้เข้ามาดูแลต่อ และนำไปสู่การประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการของประเทศติมอร์ตะวันออกในปี 2545
ปัญหาสำคัญประการหนึ่งหลังจากติมอร์ตะวันออกได้รับเอกราชแล้ว คือ ระบบการเมืองภายในประเทศที่อยู่ในระยะการสร้างชาติ ก่อให้เกิดกลุ่มทางการเมืองต่างๆ ขึ้นมากมาย เป็นเหตุให้มีความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมือง
อย่างไรก็ดี ทุกฝ่ายต่างให้การยอมรับบทบาทของซานานา กุสเมา ผู้นำพรรคซีเอ็นอาร์ทีให้ดำรงตำแหน่งประมุขคนแรกของประเทศ แต่ติมอร์ตะวันออกก็ยังมีปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองและการแข่งขันเพื่อแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ อยู่เช่นเดิม
นอกจากนี้ ติมอร์ตะวันออกยังคงประสบปัญหาความไม่พร้อมในด้านต่างๆ อาทิ ปัญหาการขาดงบประมาณ ปัญหาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อัตราการว่างงานสูง ประชากรการศึกษา การแพทย์ไม่เจริญเพียงพอ และขาดแคลนบุคลากรในสาขาต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาสาธารณูปโภค การรักษาความมั่นคงภายใน และปัญหาการป้องกันภัยคุกคามจากกองกำลังที่เห็นต่างจากรัฐบาล
การปล่อยให้กองกำลังของต่างชาติเข้ามาช่วยปราบปรามความวุ่นวายภายในติมอร์ตะวันออก ถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวของรัฐบาลที่ไม่อาจรักษาความมั่นคงปลอดภัยภายในประเทศได้