Skip to main content
sharethis


"สุเทพ" บินเงียบพบ "ฮุนเซน" เจรจาลับสุดยอดห้าม "แม้ว" เหยียบแผ่นดิน

มติชนออนไลน์ : มีรายงานข่าวทำเนียบรัฐบาลเปิดเผย "มติชนออนไลน์" ว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา นายสุเทพได้บินอย่างเงียบๆและเป็นความลับสุดยอดไปพบกับสมเด็จฮุนเซนที่กัมพูชา โดยมีการประสานงานกันล่วงหน้าทางโทรศัพท์


 


หัวข้อที่มีการพูดจากันคือ เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสมเด็จฮุนเซนยืนยันว่า  พ.ต.ท.ทักษิณมิได้อยู่ในกัมพูชาและทางรัฐบาลกัมพูชาจะไม่ยอมให้อดีตนายก รัฐมนตรีเข้าประเทศกัมพูชาเด็ดขาดโดยสมเด็จฮุนเซนจะไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ ส่วนตัวระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ กระทบกับความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศได้


 


ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อเย็นวันที่ 7 เมษายน ถึงความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีข่าวทั้งอยู่ในประเทศไทยและกัมพูชา โดยกล่าวตอบคำถามเพียงสั้นๆ ว่า "ตอนนี้เขาอยู่ที่ดูไบ"


 


ปชป.-ตร.-คาดม็อบแดง1แสน


มติชนออนไลน์ : ที่พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะทำงานปฏิบัติการทางการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ (วอร์รูม) มีการประเมินการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า จะมีผู้มาร่วมชุมนุมประมาณ 1 แสนคน โดยสิ่งที่รัฐบาลต้องระมัดระวังคือ การก่อการจลาจล การปิดการจราจร และการวางเพลิง เพื่อนำไปสู่การรุนแรงโดยจะโยนความผิดให้รัฐบาล


 


ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. กล่าวว่า  จากการประเมินคาดว่าจะมีผู้ชุมนุมประมาณ 100,000 คน  ได้แจ้งให้เฝ้าระวังมือที่ 3 เข้ามาป่วน


 


พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา  ผบช.น. กล่าวว่า เกรงว่ามือที่ 3 จะสร้างสถานการณ์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นให้ตรวจสอบ กระถางต้นไม้ ถังขยะ ตู้โทรศัพท์ที่อาจซุกซ่อนอาวุธ ก่อนหน้านี้แล้ว และจะกำลังใช้ 23 กองร้อยเท่าเดิม ส่วนทหารจะรอในที่ตั้งหากมีสถานการณ์คาดไม่ถึงจึงร้องขอไป


 



"มาร์ค"ย้ำไม่ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน


มติชนออนไลน์ :  นายอภิสิทธิ์ เชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกคนต้องช่วยกันสอดส่องดูแล เพราะมีคนบางกลุ่มที่ต้องการจะใช้ความรุนแรงอยู่  เมื่อถามว่า อาจมีการขว้างระเบิดเพลิงใส่สถานที่ราชการ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีคนบางกลุ่มที่ประกาศชัดว่าจะทำสงคราม จะทำการปฏิวัติประชาชน จะจลาจล หรือจะให้จบลงก่อนสงกรานต์ แปลว่าอยากให้เกิดความรุนแรง  แต่รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นแน่นอน อยากให้ประชาชนช่วยกันคิดว่า หากเราต้องมาทำร้ายกันเอง ทำไปเพื่ออะไร และเพื่อใคร "ผมมั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" นายอภิสิทธิ์ กล่าว


 


ผบ.สส.ยันไม่มีทหารปฏิวัติ


พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) กล่าวว่า คิดว่าประชาชนมีวิจารณญาณพิจารณาว่าจะเข้าร่วมชุมนุมหรือไม่ เมื่อถามว่า หากสถานการณ์พัฒนาไปสู่ความรุนแรงกองทัพยืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่ปฏิวัติ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่มีใครปฏิวัติ เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่า กองทัพเป็นเอกภาพ จะไม่มีทหารคนใดถูกซื้อตัวหรือแตกแถวออกมาปฏิวัติ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า " ผมมั่นใจไม่มีทหารถูกซื้อตัว "


 


โฆษกกองทัพบกลั่นไม่ยอมให้เกิดความรุนแรง


พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในการประชุมรับฟังสรุปสถานการณ์ประจำวัน จากนั้น พล.อ.อนุพงษ์  ได้ประชุมร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก พล.ท.พิรุณ แพ้วพลสง รองเสธ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์  รัตนสุวรรณ ผู้ช่วยเสธ.ทบ.ฝ่ายยุทธการ พล.ท.คณิต  สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ไพบูลย์  คุ้มฉายา  ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) พล.ต.วิลาศ  อรุณศรี  ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) พล.ต.อำพน  ชูประทุม ผู้บัญชาการกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน(พล.ปตอ.) เข้าร่วมหารือ เพื่อประเมินสถานการณ์ และรับทราบแนวทางการรักษาความสงบเรียบร้อยเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มคน เสื้อแดง รวมถึงติดตามการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อประกอบแนวทางในการรับมือการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 8 เม.ย.นี้


 


จากนั้นเวลา 18.00 น. พ.อ.สรรเสริญ  แก้วกำเนิด  โฆษกกองทัพ แถลงข่าวภายหลังประชุมให้กับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกได้รับทราบว่า ในที่ประชุมสรุปสถานการณ์ประจำวันผบ.ทบ.แสดงความเป็นห่วงใน 2 เรื่อง คือ สถานการณ์ทางการทหาร ซึ่งตามที่ทราบกันว่า เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาได้มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ล่าสุดระดับผู้บังคับหน่วยทหารทั้งไทยและกัมพูชาในพื้นที่สามารถพูดคุยกัน ได้


 


ส่วนการแก้ไขปัญหา ผบ.ทบ.เห็นว่า ประเทศไทยกับประเทศกัมพูชายกหนีกันไม่ได้ เพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต้องใช้การเจรจา แต่ไม่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร กองทัพสามารถรับมือทางทหารได้และเราจะไม่เสียเปรียบทางด้านยุทธวิธี


 


พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ประเด็นที่ 2 คือ สถานการณ์การเมืองมี 3 ประเด็นคือ 1.กองทัพเป็นของพี่น้องประชาชน เราเป็นทหารของชาติ มีหน้าที่ในการพูดลรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง คงไม่สามารถไปเข้า ร่วมกับกลุ่มฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่มีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมืองได้ ดังนั้นจุดยืนกองทัพคือการดูแลความปลอดภัยของประชาชน และดูแลสถานการณ์ให้เกิดความมั่นคง เพราะไม่ต้องการเห็นคนไทยปะทะกันและเกิดความสูญเสีย


 


ประเด็นที่ 2 เรื่องการชุมนุม เป็นเรื่องธรรมดาที่คนจำนวนมากเมื่ออยู่ร่วมกันต้องมีความเหนื่อย หิว ง่วง ซึ่งทหารและตำรวจเข้าใจสถานการณ์ดี เราจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่จะก่อให้เกิดการกระทบ กระทั่ง และทำทุกทางเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง และใช้มาตรการทางกฎหมายเท่านั้น หากชุมนุมแล้วอยู่ในกรอบกติกา และกฎหมาย สามารถชุมนุมได้ และหากส่วนหนึ่งส่วนใดทำผิดกฎหมายจำเป็นจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะบ้านเมืองใดก็แล้วแต่ที่ไม่สามารถใช้กฎหมายบังคับได้ก็ไม่สามารถที่จะ อยู่กันได้


 


ประเด็นที่ 3 คือ จุดประสงค์ของผู้ชุมนุม ซึ่งทุกท่านจะทราบเจตนารมณ์ดีว่า การชุมนุมครั้งนี้เพื่อต้องการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่กองทัพบกขอตั้งข้อสังเกตว่า ในระหว่างการชุมนุม หากมีกลุ่มคนหนึ่งคนใด ที่จะพยายามชักชวนให้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือส่อไปในทิศทางที่รุนแรง ขอให้ตั้งข้อสังเกตว่า เขากำลังแปลเจตนารมณ์ของท่านไปในทางที่ไม่ตรงกับความตั้งใจเดิมของท่าน ดังนั้นจะตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไม่หวังดี และท่านใดที่พบเห็นขอให้หยุดการกระทำ เพราะหากทำจะมีความผิดทางกฎหมาย ขณะเดียวกันควรปลีกตัวออกห่างจากผู้ที่ชักชวน


 


เวิลด์แบงก์เคาะศก.ไทย -2.7%ต่ำสุดในเอเชีย


มติชนออนไลน์ : นางแอนเน็ต  ดิกสัน ผู้อำนวยการธนาคารโลก ประจำประเทศไทย เปิดเผยเมื่อวันที่ 7 เมษายนว่า  เศรษฐกิจไทยยังหดตัวมากกว่าที่ประมาณการณ์ไว้  คาดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพีปีนี้จะติดลบ 2.7%  จากเดิมที่ประมาณการณ์ไว้เมื่อเดือนธันวาคมที่ว่าจะขยายตัว 2% ใน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่หดตัวลง  ซึ่งเลวร้ายที่สุดจีดีพีอาจจะติดลบ 4.9%  หากภาวะเศรษฐกิจโลกที่หดตัวอย่างรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่วนกรณีความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไม่ได้ส่งผลต่อการขยายตัวทาง เศรษฐกิจมากนัก หากไม่รุนแรง ถึงขึ้นต้องเปลี่ยนรัฐบาล แต่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการท่องเที่ยว  การลงทุน โลจิสติกส์ และโครงสร้างพื้นฐาน  โดยเชื่อว่าไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาเป็นบวก 1.9% สอดรับกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก


 


นางสาวกิริฎา  เภาพิจิตร  นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก ประจำประเทศไทยกล่าวว่า จีดีพีไทยที่ติดลบ 2.7% ถือว่าเป็นระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย โดยไม่รวมเกาหลีและญี่ปุ่น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกมาก มีสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับจีดีพี ขณะเดียวกันยังมีปัญหาการบริโภคในประเทศที่ซบเซาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต่างจากประเทศอื่นๆที่สามารถกระตุ้นการบริโภคได้ เช่น จีน ขณะที่ไทยนั้นการบริโภคไม่ได้ขยายตัวมากนัก เมื่อเทียบกับอัตราส่วนการออมที่เพิ่มขึ้น


 


"น้ำหนักหลักที่ธนาคารโลกมองว่ามีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยคือ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง เพราะกระทบต่อปริมาณการค้าโลก ขณะที่ผลกระทบทางการเมืองจะกระทบต่อความเชื่อมั่น และด้านบริการ เช่น การท่องเที่ยว โดยจะเห็นชัดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ขณะที่ความไม่มั่นคงทางการเมืองช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน จึงไม่เห็นการเข้ามาลงทุนของต่างชาติเท่าที่ควร"


 


นางสาวนกิริฎากล่าวต่อว่า หนี้สาธารณะส่วนใหญ่ 90% เป็นหนี้ในประเทศอยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ แต่ในระยะปานกลางรัฐบาลจะต้องลดการขาดดุล เพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปอย่างยั่งยืน เนื่องจากรายได้ของรัฐบาลที่ต่ำกว่าเป้าหมายจะส่งผลต่อการขาดดุลการคลังการ เพิ่มขึ้นเป็น 6% ต่อ จีดีพี  หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก สามารถดำเนินการได้ในไตรมาสสองนี้ ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.5-1.7%ต่อจีดีพี  โดยมองว่า เป็นมาตรการที่ดำเนินการได้ทันเวลา และโปร่งใส แต่ควรเจาะให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะผู้ที่ว่างงานยังมีอัตราสูง


 


ส่วนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะปานกลาง-ระยะยาว วงเงิน 1.56 ล้านล้านบาท จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังเกรงว่าจะเบิกจ่ายล่าช้า และบางโครงการอาจจะช่วยให้เกิดการจ้างงานได้ไม่มากนัก เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่  พร้อมเสนอให้เน้นมาตรการจ้างงานและการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างจริงจัง โดยจะต้องดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง 2-3 ปี


 


"เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีกว่าประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี  ขณะที่เศรษฐกิจเกือบทุกภูมิภาคมีการขยายตัวติดลบ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว มีจีดีพีจะติดลบ 2.9% ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศจีดีพี 2.1% จากปริมาณการค้าโลกจะลดลง 6% ในปีนี้  ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และน้ำมันจะยังไม่มีการขยายตัวแต่อย่างใด คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวปีหน้า ขยายตัวได้ 2.3% " นางสาวกิริฎา กล่าว


 


ประชุมรมต.คลังอาเซียน+3คืบพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย


มติชนออนไลน์ : นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance and Central Bank Deputies" Meeting: AFDM+3) ร่วมกับ นายเจ ยูน ชิน Deputy Minister of Strategy and Finance ของสาธารณรัฐเกาหลี ณ โรงแรมอมารี ออคิด รีสอร์ท เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2552 และได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 7 เมษายน เกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว


 


1. การประชุม AFDM+3 ในครั้งนี้เป็นการประชุมเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance Ministers" Meeting: AFMM+3)  ซึ่งการประชุม AFMM+3 ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2552  ณ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยในการประชุมครั้งนี้มีผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ทั้ง 13 ประเทศ พร้อมทั้งผู้แทนจากสำนักเลขาธิการอาเซียนและธนาคารพัฒนาเอเซียเข้าร่วมการ ประชุม


 


2. ที่ประชุมได้มีการหารือในประเด็นหลัก ดังนี้


2.1 การพิจารณาความคืบหน้าในการดำเนินมาตรการริเริ่มการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI)  ซึ่งมีความคืบหน้าของการดำเนินงานใน 2 เรื่องหลัก     ได้แก่ การจัดตั้งกลไกการค้ำประกันเครดิตของภูมิภาค (Credit Guarantee and Investment Mechanism: CGIM) และการออกพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ของภูมิภาค (Bonds Financing for Infrastructure Projects) ในลักษณะ Cross-Boarder


 


2.1.1 การจัดตั้ง CGIM นั้น ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการผลักดันให้มีการจัดตั้ง CGIM เพื่อเป็นกลไกในระดับภูมิภาคที่ทำหน้าที่ค้ำประกันพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่น ของภาคเอกชนของประเทศสมาชิก โดยจะจัดตั้งในลักษณะกองทุนที่อยู่ภายใต้ธนาคารพัฒนาเอเชีย ซึ่งจะทำให้การค้ำประกันของ CGIM ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ AAA เช่นเดียวกับธนาคารพัฒนาเอเชีย โดย AFDM+3 จะนำข้อเสนอดังกล่าว เสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3  ในเดือนพฤษภาคม 2552 สำหรับสัดส่วนการลงเงินของแต่ละประเทศและกรอบการดำเนินงานของกลไก CGIM นั้น จะมีการหารือในรายละเอียดต่อไป


 


 


2.1.2  การออกพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของ ภูมิภาค (Bonds Financing for Infrastructure Projects) นั้น ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการผลักดันโครงการนี้ โดยโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ได้แก่ การออกพันธบัตรสกุลเงินบาทของรัฐบาล  สปป.ลาว โดยมีเป้าหมายในการขายให้แก่นักลงทุนสถาบันของไทย แต่ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่จำเป็นต้องพิจารณาอีกระยะหนึ่งจึงจะสามารถออก พันธบัตรดังกล่าวได้


 โครงการทั้งสองโครงการดังกล่าว จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาตลาดพันธบัตรในภูมิภาค โดยเป็นการเพิ่มอุปทานในตลาดพันธบัตรและเพิ่มทางเลือกในการออมและการลงทุน ให้แก่ผู้ลงทุนของภูมิภาค


 


2.2  การพิจารณาความคืบหน้าของการพัฒนามาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็น พหุภาคี (CMI Multilateralisation: CMIM) นั้น ที่ประชุมสามารถตกลงในประเด็นหลักในการจัดตั้งกองทุน CMIM ได้ในหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสัดส่วนการลงเงินของประเทศอาเซียนและกลไกการ ดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประเด็นปลีกย่อยอีกจำนวนหนึ่งที่ยังต้องมีการหารือกันระหว่างประเทศ สมาชิกก่อนนำเสนอกรอบดังกล่าวสู่การพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาเซียน+3  ในเดือนพฤษภาคม 2552


 


3. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 ครั้งที่ 12 จะมีขึ้น ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2552 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย (นายกรณ์ จาติกวณิช) จะเป็นประธานร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสาธารณรัฐเกาหลี 


 


เผย"คนแก่"ถูกทอดทิ้งโดดเดี่ยวลำพังเพิ่มขึ้นทุกปี


มติชนออนไลน์ : เมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ นางนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวในพิธีเปิดการประชุมสมัชชาผู้สูงอายุระดับชาติปี 2552 เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุ" ว่า ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า มีผู้สูงอายุที่ต้องอยู่คนเดียวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2545 ร้อยละ 6.3 ปี 2548 ร้อยละ 7.1 และปี 2550 สูงถึงร้อยละ 7.7 ซึ่งผู้สูงอายุเหล่านี้ประสบปัญหาขาดคนดูแล แม้แต่กลุ่มที่อยู่กับครอบครัวก็รับผลกระทบเพราะลูกหลานต้องไปทำงาน และความนิยมแยกครอบครัวออกไปอยู่ตามลำพัง


 


นายประยงค์ รณรงค์ ประธานศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน ต.ไม้เรียง จ.นครศรีธรรมราช กล่าวเรื่อง "เตรียมความพร้อมรับสังคมผู้สูงวัย" ว่า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาทต่อเดือน เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นผู้สูงอายุไม่ถูกทอดทิ้งจากรัฐบาล แต่เงินดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ต้องมีระบบบริหารจัดการดูแลผู้สูงอายุภายในสังคมชุมชน และเบี้ยยังชีพยังมีปัญหาไม่สามารถจัดสรรให้ครบทุกคน โดยเฉพาะคนแก่ที่ไม่มีทะเบียนบ้าน ผู้ด้อยโอกาส ขณะที่บางคนมีลูกหลานร่ำรวยกลับได้รับสิทธิ ตรงนี้คงต้องปรับวิธีบริหารจัดการใหม่


 


นักวิชาการแนะรบ.คลอด"กม.บำนาญแห่งชาติ"ชี้เบี้ยยังขีพเสี่ยงเกินไป เล็งชงเข้าที่ประชุม กก.ผู้สูงอายุ


มติชนออนไลน์ : วงเสวนานักวิชาการ แนะรัฐบาลออก กม.บำนาญแห่งชาติ เป็นหลักประกันรายได้ยามชรา เสนอ 2 รูปแบบเข้าที่ที่ประชุม กก.ผู้สูงอายุ 28 เม.ย. ชี้เบี้ยยังชีพมีความเสี่ยงไม่พอใช้ในอนาคต แถมยังเพิ่มภาระทางการเงินให้รัฐบาลต่อเนื่อง


 


สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาเรื่อง "บำนาญแห่งชาติ หลักประกันรายได้ยามชรา" ที่สมาคมนักข่าวฯ เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 7 เมษายน โดยมี นางวรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, นพ.ถาวร สกุลพาณิชย์ ตัวแทนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, นายสถิตพงศ์ ธนวิริยะกุล ตัวแทนจากมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ร่วมเสวนา


 


นางวรวรรณ กล่าวถึงความจำเป็นของระบบบำนาญแห่งชาติ ว่า ปัจจุบันคนไทยมากกว่า 30 ล้านคนไม่มีหลักประกันรายได้เมื่อเข้าสู่ยามชรา ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อการยากจนสูงมาก และหากรอเบี้ยยังชีพที่รัฐจะให้ 500 บาทต่อเดือนก็ไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงต่อความยากจนลดลง เพราะในอีก 20 ปีข้างหน้า เบี้ยยังชีพรัฐบาลจำนวน 500 บาท จะเหลือเพียงประมาณ 300 บาทเท่านั้น ตามสภาพเงินเฟ้อ ซึ่งจะพอซื้ออาหารได้แค่ 20 วัน จึงต้องมีกลไกในการออมเพื่อใช้ในอนาคต จำเป็นต้องมีระบบบำนาญแห่งชาติขึ้น


 


นางวรวรรณ กล่าวว่า กลุ่มนักวิชาการ และกลุ่มกองทุนชุมชนที่มีสวัสดิการทั้งหลายหารือกัน โดยมีการคำนวณและคาดการณ์ผู้สูงอายุในอนาคตโดยเห็นพ้องต้องกันว่า จะเสนอทางออกสำหรับการออม 2 รูปแบบต่อคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ที่จะประชุมกันในวันที่ 28 เมษายนนี้ ซึ่งทางคณะกรรมการฯ จะนำไปเสนอต่อรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งในภายหลัง


 


"รูปแบบที่หนึ่งให้คนอายุ 15-59 ปี มีส่วนในการออม ขั้นต่ำ 100 บาทต่อเดือน โดยรัฐบาลจะต้องช่วยอุดหนุนเพิ่ม 50 บาทต่อเดือน สะสมไปจนเกษียณอายุ ส่วนรูปแบบที่สอง กำหนดให้ผู้มีอายุ 20-59 ปี ทุกคนต้องออมเงินขั้นต่ำ 50 บาทต่อเดือน โดยหลักการสำคัญคือ ให้ความสำคัญกับคนที่มีรายได้น้อย  แต่รัฐจะไม่อุดหนุนเงินเพิ่ม โดยเงินที่ออมนั้นเมื่อผู้ได้รับเงินบำนาญเสียชีวิต จะมีเงินฌาปนกิจให้ครอบครัวละ 6,000 บาท หากผู้รับบำนาญเสียชีวิตก่อนเงินออมดังกล่าวก็จะกลายเป็นเงินบำเหน็จตกทอด" นางวรวรรณกล่าว


 


นพ.ถาวร กล่าวว่า การทำระบบบำนาญให้ผู้สูงอายุมีหลักการ 3 ข้อคือ หนึ่ง ต้องการให้เกิดการร่วมทุกข์ร่วมสุขของคนในสังคม สอง ต้องการทำบำนาญคือการสะสมเงินให้กับตัวเอง สาม หากสะสมเงินออมได้มากก็จะสามารถประกันความเสี่ยงให้กับตนเองได้


 


"การจัดการระบบบำนาญแห่งชาติ ต้องมีการร่างกฎหมายใหม่ และจัดตั้งองค์กรที่ดูแลในเรื่องดังกล่าว โดยกำหนดให้มีสถานะเป็นนิติบุคคล มีหน้าที่เก็บเงินออมของประชาชนมาดูแล และต้องรายงานระบบการเงินต่อรัฐสภาทุกๆ 3 เดือน และยืนยันว่าไม่ซ้ำซ้อนกับระบบประกันสังคมอย่างแน่นอน เพราะระบบบำนาญแห่งชาติ กำหนดให้คนไทยทุกคนมีสถานะเป็นผู้ออม ไม่จำเป็นจะต้องเป็นแรงงานที่มีสังกัดอย่างในระบบประกันสังคม"นพ.ถาวรกล่าว


 


นายสถิตพงศ์ กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาการออมที่ยั่งยืน ต่อยอดจากเบี้ยยังชีพที่รัฐบาลออกให้ผู้สูงอายุ 500 บาทต่อเดือน เพราะการจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องนั้น น่าจะเป็นการเพิ่มภาระทางการเงินให้กับรัฐบาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต่างจากการให้ ประชาชนเริ่มออมเงินของตนเองตั้งแต่ยังอยู่ในวัยแรงงาน


 


"ในส่วนนี้ ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินอนาคตตนเองว่า ชีวิตหลังเกษียนจะเป็นอย่างไร หากแค่อยากอยู่แบบพอมีกิน ก็เลือกออมน้อยๆ แต่หากอยากอยู่อย่างสบาย ก็เลือกออมมากขึ้น ระบบบำนาญแห่งชาติจะช่วยในการจัดสรรเงินออมส่วนนี้ให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น" นายสถิตพงศ์กล่าว


 


"ต้นกล้าอาชีพ" อาการไม่ดีขึ้น รายงานตัวน้อยกว่าเป้า จี้หาสาเหตุ คาดเข้าใจผิดว่าได้เบี้ยเลี้ยงทันที


มติชนออนไลน์ : เมื่อวันที่ 5 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเข้ารายงานตัวเข้าอบรมในโครงการ  ต้นกล้าอาชีพ เพื่อฝึกอาชีพให้ประชาชนที่ว่างงาน จากกำหนดการเดิมที่ให้รายงานตัวภายในวันที่ 1 เมษายน แล้วขยายเวลาเป็นวันที่ 5 เมษายน ว่า ตั้งแต่เช้า ที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จ.กำแพงเพชร มีผู้ว่างงานทยอยเข้ารายงานตัวใน 2 หลักสูตร คือ ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ และช่างซ่อมเครื่องยนต์การเกษตร เพียง 11 ราย จากที่ได้แจ้งความจำนงไว้ 35 ราย ส่วนที่วิทยาลัยสารพัดช่างกำแพงเพชร ที่เปิดอบรม 5 หลักสูตร เน้นด้านการประกอบอาหาร พบว่ามีจำนวนผู้รายงานตัวเพียง 20 คน จากที่แจ้งความจำนงไว้ 35 ราย ส่วนที่วิทยาลัยเกษตรกำแพงเพชร มีผู้รายงานตัวเต็มจำนวน 35 ราย เพื่อเข้าอบรมหลักสูตรการเกษตร


 


นายชาครีย์ สุพรรณสิงห์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จ.กำแพงเพชร กล่าวว่า ศูนย์ยังไม่สามารถเปิดสอนอาชีพได้เนื่องจากมีผู้มารายงานตัวน้อยกว่า 70% ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด และหากยังไม่ครบ 70% ก็คงจะต้องให้ผู้ที่เข้ารายงานตัวแล้วรอการรับสมัครในรุ่นที่ 2 เพื่อจะให้ครบ 70% จึงจะเปิดอบรมได้


 


ส่วนที่ จ.เชียงราย ผู้สื่อข่าวรายงานรายงานว่า ภาพรวมไม่คึกคักมากนัก เนื่องจากผู้ผ่านการคัดเลือกไม่ยอมมารายงานตัว ขณะที่ผู้รายงานตัวแล้วบางส่วนออกไปกลางครัน เช่น บางคนสมัครเป็นคู่กับแฟน แต่พอได้คนเดียวก็ทำให้อีกคนไม่ยอมมาอบรม นอกจากนี้ ยังมีชาวไทยภูเขารายหนึ่งมาอบรมแล้วฟังภาษาไทยไม่ได้ ก็ต้องขอถอนตัวไป


 


นางปิยมาลย์ ฝั้นจักรสาย ผู้ประสานงานโครงการของศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จ.เชียงราย กล่าวว่า จะเปิดฝึกอบรม 5 สาขา คือ นวดแผนไทย ช่างไม้ช่างเรือน ช่างซ่อมเครื่องยนต์เล็ก ช่างซ่อมจอมอนิเตอร์และช่างติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ โดยแต่ละสาขาจะคัดผู้เข้าอบรมประมาณ 15-20 คน แต่ก็มารายงานไม่กี่คน ที่สามารถเปิดอบรมไปแล้วมี 2 สาขา คือ นวดแผนไทยและช่างไม้ช่างเรือน ส่วนที่เหลือรายงานตัวไม่ถึงร้อยละ 70 ตามระเบียบ ซึ่งวันที่ 7 เมษายน จะเปิดอบรมตามจำนวนที่มีอยู่


 


"น่าสังเกตว่าผู้สมัครไม่ค่อยสนใจนัก เหมือนสมัครเพราะต้องการเบี้ยเลี้ยง บางคนก็เหมือนมีงานทำแล้ว ส่วนมากคิดว่าเมื่อเข้าโครงการมารายงานตัวก็จะได้เงินไป แต่เมื่อต้องฝึกอย่างจริงจังจึงไม่ค่อยสนใจ ขณะที่มีผู้ไม่ผ่านการคัดเลือกโทร.มาสอบถามจำนวนมากและขอเข้าอบรมแทนคนที่ ไม่มา แต่ตามระเบียบแล้วทำไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน" นางปิยมาลย์กล่าว


 


ที่ จ.สงขลา นายนพดล รอดเรืองเดช ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค 12 สงขลา เปิดเผยว่า เปิดอบรม 3 วิชาชีพ คือ ทำขนมอบ ช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือ และช่างไฟฟ้า สาขาละ 60 คน ปรากฏว่าสามารถเปิดอบรมได้ 2 สาขาวิชา คือ ช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือ และช่างไฟฟ้า


 


ที่ จ.พัทลุง นายทวี สุวรรณโมสิ จัดหางานจังหวัดพัทลุง เผยว่ามีผู้ผ่านเข้าร่วมเพียงจำนวน 155 คน จากมาลงทะเบียน 1,085 คน ถือว่าน้อยมาก ซึ่งได้ส่งหนังสือสอบถามสาเหตุไปยังกรมการจัดหางานแล้ว


 


ที่ จ.นครราชสีมา นายแสงเงิน ขาวลิขิต จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา ยอมรับว่าโครงการดังกล่าวมีปัญหาหลายประการ ทั้งสถานศึกษาที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ฝึกอาชีพยังไม่ได้รับงบประมาณหรือ รายละเอียดต่างๆ จากสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ที่ผ่านการคัดเลือกบางรายไม่ได้ฝึกอาชีพที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้ บางอาชีพก็มีผู้สนใจเรียนน้อยเกินไปจนไม่สามารถเปิดอบรมได้ รวมทั้งปัญหารายชื่อที่ประชาชนสมัครทางอินเตอร์เน็ตตกหล่น


 


โดยรวมแล้วมีผู้ที่ได้รับคัดเลือกในรุ่นที่ 1 ทั้งสิ้น 1,274 ราย สำหรับรุ่นที่ 2 จะรับสมัครระหว่างวันที่ 18-24 เมษายน 2552 และเปิดการฝึกอาชีพ 3 พฤษภาคม


 


ด้านนายเสรี แสงรัษฏ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ภาค 3 ชลบุรี กล่าวว่า ในการเปิดอบรม 12 หลักสูตร มีผู้สนใจสมัครทั้งสิ้น 228 คน แต่มารายงานตัวเพียง 140 คน โดยหลักสูตรที่ได้รับความสนใจคือ การประกอบอาหาร ซ่อมโทรศัพท์มือถือ และเย็บจักรอุตสาหกรรม ซึ่งเปิดอบรมมาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนแล้วโดยไม่มีปัญหา แต่มีข้อสังเกตคือผู้เข้ามาอบรมส่วนใหญ่ไม่มีพื้นความรู้มาก่อน จึงอาจมาเพราะจะได้รับค่าอาหาร ค่าเดินทาง และเงินช่วยเหลือมากถึง 4,800 บาท เมื่อเสร็จสิ้นการอบรม


 


นายธนกร นราวุฒิพันธ์ นักวิชาการชำนาญการพิเศษ สำนักงานจัดหางาน จ.นราธิวาส รักษาการแรงงานจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 18-24 มีนาคม มีผู้ว่างงานมาสมัครฝึกอบรมใน 21 สาขาอาชีพ รวม 653 คน แต่มีผู้ผ่านการคัดเลือกด้วยวิธีสุ่มด้วยระบบคอมพิวเตอร์ 380 คน


 



กกร.ผวาม็อบรุนแรงซ้ำเติมศก.


เว็บไซต์กรุงเทพ : นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ส.อ.ท. และ สมาคมธนาคารไทย ว่าที่ประชุม กกร.ได้หารือประเด็นการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และสรุปว่ากกร.ยืนยันให้รัฐบาลทำตามกฎหมาย โดยใช้กฎหมายให้เข้มแข็งชัดเจน แต่ไม่ควรใช้ความรุนแรง


 



อย่างไรก็ตาม หาก 8 เม.ย.มีความรุนแรงเกิดขึ้นก็อาจจะเรียกประชุมนัดพิเศษ เพื่อหารือถึงสถานการณ์อย่างใกล้ชิด


 



ทั้งนี้ กกร.โดยมีข้อสรุป 3 ข้อ คือ 1.ภาคเอกชนทั้ง 3 องค์กรต้องการให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีการดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย  2.ภาคเอกชนเห็นว่าไม่ควรเกิดความรุนแรงเพราะจะกระทบกับความเชื่อมั่นการลงทุนและการท่องเที่ยว  ถ้าเกิดความรุนแรงขึ้น จะเกิดข่าวไปทั่วโลก ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวม และ 3.ภาคเอกชนไม่ต้องการให้เหตุการณ์ชุมนุมยืดเยื้อเพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ


 



เขาเห็นว่าประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และการดำเนินการทุกเรื่องควรเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นขณะนี้ควรเป็นเรื่องที่นำไปหารือในรัฐสภา ภาคเอกชนเชื่อเป็นระบบที่แก้ปัญหาได้ และแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ โดยเอกชนต้องการให้รัฐบาลดำเนินการตามกฎหมาย


 



เขากล่าวว่ากกร.จะติดตามสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงอย่างใกล้ชิด หากมีความรุนแรงจะหารือกันภายในกกร.เพื่อประเมินสถานการณ และกำหนดมาตรการออกมา ซึ่งไม่ต้องการให้มีความรุนแรง หรือนำ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมาใช้ เพราะมีประสบการณ์แล้ว โดยเฉพาะถ้าเหตุการณ์รุนแรง จะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการลงทุนและการท่องเที่ยว


 



"การชุมนุมไม่ควรยืดเยื้อเกิน 2 เดือน เพราะจะกระทบการท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงอยู่แล้ว จะลดลงมากขึ้น"


 



ครม.อนุมัติงบ1.5หมื่นล้านพัฒนาแหล่งน้ำตะวันออก


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ  : นายศุภรักษ์ ควรหา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.วานนี้ (7 เม.ย.) ว่า ที่ประชุม ได้อนุมัติให้กรมชลประทานดำเนินการโครงการชลประทาน จำนวน 4 โครงการในปีงบประมาณ 2552 วงเงินประมาณ 15,759.18 ล้านบาท ตามที่ นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ


 



ประกอบด้วย 1.โครงการผันน้ำจากพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ไปยังแหล่งเก็บกักน้ำ จังหวัดระยอง แผนดำเนินงานโครงการ 5 ปี ตั้งแต่ ปีงบประมาณ 2552-2556 วงเงินรวม 3,992.85 ล้านบาท เพื่อวางระบบท่อผันน้ำพร้อมอาคารประกอบจาก คลองวังโตนด จังหวัดจันทบุรี ไปยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง เพื่อให้อ่างเก็บน้ำประแสร์ มีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับใช้ในภาคการเกษตร ภาคการอุตสาหกรรม การอุปโภค-บริโภค และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการสร้างเสถียรภาพทางด้านการบริหารจัดการน้ำให้แก่พื้นที่การเกษตรจังหวัดระยอง


 



2.โครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี แผนการดำเนินงานโครงการ 5 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552-2556 กรอบวงเงินรวม 4,936.33 ล้านบาท เพื่อสร้างเสถียรภาพในการจัดการน้ำให้แก่พื้นที่เศรษฐกิจ 3.โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี (แผนระยะที่ 2) แผนการดำเนินงานโครงการ 6 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552-2557 กรอบวงเงินทั้งสิ้น 3,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการน้ำหลากและการระบายน้ำ เพื่อการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตัวเมืองจันทบุรีและเป็นแหล่งเก็บกักน้ำบางส่วนสำหรับการเกษตร รวมทั้งสามารถป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มเข้ามาในบริเวณพื้นที่โครงการในช่วงฤดูแล้ง


 



4. โครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี แผนการดำเนินงานโครงการ 8 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2552-2559 กรอบวงเงินทั้งสิ้น 3,330 ล้านบาท เพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 73,980 ไร่ โดยสามารถส่งน้ำในฤดูฝน 73,980 ไร่ และในฤดูแล้ง 57,819 ไร่ เพื่อการอุปโภค-บริโภค และเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร


 



อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ รายงานว่า ครม.มีมติเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2551 มอบให้กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินการตามแผนการขยายและเพิ่มประสิทธิภาพโครงการชลประทานขนาดใหญ่ โดยให้เริ่มดำเนินโครงการที่มีความพร้อมและดำเนินการครบถ้วนตามกฎ ระเบียบแล้ว จำนวน 4 โครงการ ในปีงบประมาณ 2552 ซึ่งกระทรวงเกษตรฯได้พิจารณาแล้วเห็นว่า โครงการชลประทานทั้ง 4 โครงการ มีความพร้อมและมีความเหมาะสมที่จะดำเนินการก่อสร้างทั้ง 4 โครงการดังกล่าว


 


ครม.อนุมัติใช้ถนนฟรี วงแหวน-มอเตอร์เวย์ ช่วงเทศกาลสงกรานต์


เว็บไซต์กรุงเทพ : นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้


 



เนื่องจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2552 มีวันหยุดราชการต่อเนื่องหลายวันและคาดหมายว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการจราจรบนทางหลวงพิเศษสายดังกล่าว โดยให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 36 สายกรุงเทพมหานคร-ระยอง ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 34 (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง) และบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 37 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตอนบางปะอิน-บางพลี) ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 10 เม.ย. 2552  ถึงเวลา 12.00 น. ของวันที่ 16 เม.ย. 2552


 



วันเดียวกัน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2552 เพื่อชี้แจงหามาตรการต่างๆ ในการลดอุบัติเหตุเพื่อนำไปปฏิบัติในช่วง 7 วันอันตราย โดยมาตรการหลักเพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุและเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการตรวจเข้มมากขึ้น เช่น กรณีมีผู้ขับขี่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่สงสัยว่าอาจมีอาการมึนเมาก็จะมีการหยุดตรวจและให้พักตามจุดตรวจ โดยจะมีบริการทั้งด้านเครื่องดื่ม น้ำดื่มและที่พักจนกว่าผู้ขับขี่จะมีอาการดีขึ้น


 



พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวอีกว่า สำหรับเส้นหลักนี้จะมีการแบ่งเป็น 4 เส้นทาง คือ ถนนสายหลัก ถนนสายรองช่วงระหว่างจังหวัดต่อจังหวัด ถนนสายรองช่วงระหว่างอำเภอต่ออำเภอ และถนนช่วงระหว่างหมู่บ้านต่อหมู่บ้าน โดยจะเน้นไปที่ตำรวจภูธรเป็นหลัก เพื่อเข้าตรวจสอบป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ได้ตั้งด่านตรวจเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว เพราะจะเน้นการสงวนชีวิตของประชาชนให้ได้มากที่สุด อยากฝากไปยังประชาชนในการใช้เส้นทางสัญจรไปในจุดต่างๆ ให้ระมัดระวังในการขับขี่และเคารพกฎจราจรให้มากที่สุด


 



ด้าน พ.ต.อ.พินิต มณีรัตน์ โฆษกกองบังคับการตำรวจทางหลวง เปิดเผยว่า ระหว่าง 10-16 เม.ย. 2552 ซึ่งเป็นช่วง 7 วันอันตราย เทศกาลสงกรานต์ กองบังคับการตำรวจทางหลวง มีนโยบายในการป้องกันและลดอุบัติเหตุ โดยกำหนดถนนสายหลัก 37 สายเป็นถนนที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งให้เป็น "เขตพื้นที่ปลอดภัย" (safety zone) ซึ่งประชาชนจะสังเกตได้จากป้ายเตือน 3 ป้าย คือ 1.ป้ายที่เขียนข้อความว่า อีก 500 เข้าเขต (safety zone) 2.เข้าเขตพื้นที่ (safety zone) 3.พ้นเขตพื้นที่ (safety zone) ซึ่งเป็นป้ายขนาดใหญ่ ซึ่งหากเข้มงวดการขับขี่ยวดยานบนถนนหลวงในช่วงพื้นที่ safety zone ได้ เชื่อว่าสามารถลดสถิติอุบัติเหตุในภาพรวมได้อย่างเป็นรูปธรรม


 



สำหรับการอำนวยความสะดวกและการบริการประชาชน ตำรวจทางหลวงให้บริการแวะพักระหว่างเดินทางไกลบริเวณสถานีตำรวจทางหลวง 37 แห่ง รวมทั้งสถานีบริการตำรวจทางหลวงอีก 178 แห่งทั่วประเทศ เพื่อยืดเส้นยืดสาย คลายความอ่อนเพลีย ความเครียดและการง่วงนอน เพื่อบริการด้านความสะดวกสบายหลายอย่าง เช่น ตรวจเช็คเครื่องยนต์ ตรวจเช็คลมยาง ห้องสุขา น้ำดื่ม น้ำชากาแฟ รวมทั้งการร่วมรณรงค์ในการขับขี่อย่างปลอดภัย ทั้งนี้การบริการด้านจิตใจได้จัดทำน้ำมนต์จากพระเกจิและพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ของประเทศไว้ทุกภาค เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเตือนสติในระหว่างขับขี่รถยนต์ เกิดสิริมงคลในการเดินทางถึงที่หมายโดยปลอดภัย


 



ครม.เบรกเงินกู้9.4หมื่นล. ไฟเขียวเพิ่มทุนเอดีบีหนุนปท.สมาชิก


ASTV ผู้จัดการรายวัน : นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะคณะรัฐมนตรี(ครม.) วานนี้(7 เม.ย.) ยังไม่ได้มีการพิจารณากรอบวงเงินกู้ 9.4 หมื่นล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดดุล แต่ทั้งนี้จะติดขัดปัญหาอะไรนั้น คงต้องไปสอบถามจากนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ว่าทำไมจึงไม่มีการเสนอวาระนี้เข้าสู่การพิจารณา


 


อย่างไรก็ตามที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบแนวทางการเพิ่มทุนให้กับธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) วงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิม 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลา 5 ปี (53-57) ตามกรอบข้อตกลงการประชุมรัฐมนตรีคลังเซียน ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องในเอดีบีนำไปปล่อยกู้ช่วยเหลือประเทศสมาชิกอาเซียน


 


ออสซี่ทุ่ม4หมื่นล.ดอลล์ตั้งเครือข่ายบรอดแบนด์


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : รัฐบาลออสเตรเลีย แถลงวานนี้ (7 เม.ย.) ว่า รัฐบาลจะถือหุ้นอย่างน้อย 51% ในบริษัท ซึ่งจะมีทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 4,700 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างและให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งจะทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในออสเตรเลียเร็วกว่าบริการที่มีอยู่ในปัจจุบันถึง 100 เท่า



นายเควิน รัดด์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างงานใหม่  และการใช้จ่ายเงินในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 88,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ที่ประกาศไปเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว เพื่อปกป้องเศรษฐกิจแดนจิงโจ้จากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก


 



"เวลานี้ เป็นเวลาที่เราต้องยอมรับปัญหา" ผู้นำออสเตรเลีย กล่าว พร้อมระบุว่า การก่อสร้างโครงการนี้ จะเริ่มในเดือนมิ.ย. และช่วยให้เกิดการจ้างงานใหม่ปีละ 25,000 คน ตลอดช่วงเวลา 8 ปี ของการดำเนินโครงการ


 



วันเดียวกัน รัฐบาลออสเตรเลีย ปฏิเสธข้อเสนอของกลุ่มบริษัทเทอร์เรีย กรุ๊ป นำโดยสิงคโปร์ เทเลคอมมูนิเคชั่น, เอเชีย เน็ตมีเดีย คอร์ป และอะคาเซีย ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่นำโดยนายดัก แคมป์เบลล์ อดีตผู้บริหารเทลสตรา และนายโซโลมอน หลิว นักธุรกิจชาวออสเตรเลีย


 



เทลสตรา คอร์ป ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตรายใหญ่สุดของออสเตรเลีย ถอนตัวออกจากการประมูลสร้างเครือข่ายบรอดแบนด์ เมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่ได้เสนอแผนการสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก โดยหุ้นของเทลสตรา ทะยานขึ้นถึง 5% ในการซื้อขายในตลาดหุ้นซิดนีย์ หลังจากนายสตีเฟน คอนรอย รัฐมนตรีสื่อสารออสเตรเลีย ระบุว่า บริษัทจะได้รับโอกาส เพื่อลงทุนในโครงการนี้


 



ด้านนายเบน พอตเตอร์ นักวิเคราะห์ฝ่ายวิจัย ไอจี มาร์เก็ตส์ มองว่า ตลาดขานรับเทลสตรา ที่กลับมามีบทบาทอีกครั้ง และถือเป็นโอกาสที่ดีของเทลสตรา ที่อาจจะได้ร่วมทุนกับรัฐบาล ซึ่งหากมีผู้ยื่นข้อเสนอรายใดชนะการประมูล เทลสตราก็คงหมดทางสู้


 



โครงการดังกล่าว จะช่วยให้ระดับการใช้อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ของออสเตรีเลีย เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับระดับการใช้บรอดแบนด์ของประเทศพัฒนาแล้ว โดยข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต อินเวสเมนต์ ไกด์ ในเครือเจ.พี.มอร์แกน เชส แอนด์ โค เมื่อปีที่แล้ว ระบุว่า มีชาวออสเตรเลียราว 17% เท่านั้น ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่า 19% ของสหรัฐและญี่ปุ่น และ 26% ของเกาหลีใต้และสวิตเซอร์แลนด์


 



โครงการนี้ ยังเป็นโอกาสทองสำหรับบรรดาผู้ผลิตอุปกรณ์อินเทอร์เน็ต เช่น ซิสโก้ ซิสเต็มส์ อิงค์ ที่จะได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมาก หลังจากภาวะถดถอยทั่วโลก ทำให้บริษัทโทรคมนาคมหลายราย ลดการลงทุนด้านอุปกรณ์สำหรับเครือข่าย


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net