Skip to main content
sharethis

ผู้นำกะเหรี่ยงถูกห้ามเข้าเขตไทย


Saw David Taw กรรมการกลาง KNU เปิดเผยกับอิระวดีว่า ผู้นำระดับสูงของกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับเขามายัง อ.แม่สอดอีก หลังจากก่อนหน้านี้พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่ไทยบีบให้กลับไปอยู่ในเขตพม่า เมื่อ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา


 


"พวกเขาจำนวนมากรู้สึกกังวล ที่ไม่สามารถกลับไปยังแม่สอดได้อีก" เขากล่าว


 


เจ้าหน้าที่ในกองทัพไทยแจ้งกับ KNU ว่า เจ้าหน้าที่ KNU ที่ถูกขับออกจากเขตไทยจะกลับเข้ามาในเขต อ.แม่สอด จ.ตาก ได้อีกครั้ง ต้องได้รับอนุญาตจากทางการไทยเสียก่อน และไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางทหารใดๆ ได้ในขณะที่อยู่ในเขตไทย


 


ผู้นำ KNU เชื่อว่ามาตรกดดันล่าสุดจากทางการไทยเป็นผลมาจากมาจากมาตรการปรับปรุงเรื่องการค้าตามแนวชายแดนไทย-พม่า


 


Saw David Taw กล่าวว่า "นโยบายของรัฐบาลไทยขณะนี้แตกต่างจากเดิม พวกเขาไม่ต้องการให้เราอยู่ในดินแดนของพวกเขา และผู้นำ KNU จำนวนมากกำลังเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก"


 


สำหรับกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง KNLA ต่อสู้กับรัฐบาลพม่ามาตั้งแต่ปี 2491 และใน พ.ศ. 2538 พวกเขาเสียฐานที่มั่นที่สำคัญ "มาเนอปลอว์" ให้กับรัฐบาลทหารพม่า จากนั้นจึงทำให้มาพวกเขาต้องย้ายมาตั้งฐานบัญชาการอยู่ใกล้ชายแดนไทย-พม่ามากขึ้น


 


ตั้งแต่นั้นมา ทั้ง KNU และ KNLA จึงดำเนินการต่อต้านทหารพม่าด้วยกองกำลังขนาดเล็ก และตั้งฐานชั่วคราวกระจายอยู่ทั่วป่าในพื้นที่ใกล้ชายแดนไทย-พม่า


 


ในขณะที่มีรายงานว่า รัฐบาลทหารพม่าระดมกำลังเสริมเข้ามาในรัฐกะเหรี่ยงเพื่อเตรียมปฏิบัติการทหารทหารต่อนักรบกะเหรี่ยงในฤดูแล้งนี้


 


แหล่งข่าวทางทหารรายงานว่า รัฐบาลทหารพม่าเคลื่อนกำลังทหารราบหลายกองพันรวมทั้งทหารอาสาสมัคร (APCs) เข้าไปในตำบล Kya Inn Seikgyi ในรัฐกะเหรี่ยง พื้นที่ที่ทหารพม่าถือว่าเป็นโซนพื้นที่สีดำ เพราะเป็นเขตที่ KNLA มีอิทธิพลอยู่


 


 


ไฟป่าลามเข้าฐาน KNU


นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้เกิดไฟป่าลุกลามเผาพื้นที่ป่าหลายแห่งในฝั่งพม่า และส่วนหนึ่งได้ลุกลามเผาฐานที่มั่นทหารกะเหรี่ยง KNU ค่ายบริเวณบ้านทิซอแหล่ ฝั่งประเทศพม่า ซึ่งเป็นเขตยึดครองของกะเหรี่ยง KNU มายาวนาน โดยจุดเกิดเหตุค่ายทหารกะเหรี่ยงถูกไฟป่าเผาห่างจากชายแดนไทย ประมาณ 15-20 กม.ตั้งแต่กลางดึกที่ผ่านมา ทำให้ทหารกะเหรี่ยงต้องย้ายฐานหนีไปหาที่มั่นชั่วคราว และในฝั่งไทยสามารถมองเห็นกลุ่มควันไฟได้ทางด้านบ้านวาเล่ ต.วาเล่ย อ.พบพระ จ.ตาก


 


ซึ่งสถานการณ์ไฟป่าที่รุนแรงตามแนวชายแดนไทย-พม่า ได้เกิดสภาวะที่เรียกว่า Subsidance Inversion คือกักเก็บควันและไออากาศร้อน รวมทั้งจุด HOT SPOT ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาหมอกควันปกคลุมพื้นที่ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ไทย-พม่า


 


นอกจากนี้ ได้เกิดปัญหาหมอกควันเป็นบริเวณกว้างในฝั่งพม่า บริเวณบ้านแม่กะไน และหมู่บ้านพาเชา รวมทั้งบริเวณพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดเมียวดี ของพม่า อยู่ห่างจากชายแดนไทยพม่าประมาณ 12 กิโลเมตร ตรงข้ามบ้านริมเมย ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด ทำให้ชาวพม่าในพื้นที่ต่างแสบตาและการเดินทางไปมาของยานพาหนะต่างๆ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทางการพม่าจังหวัดเมียวดีแจ้งว่า ปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากการเผาป่าทำไร่ของราษฎรพม่าตามแนวชายแดน และพื้นที่ชั้นใน ประกอบกับปัญหาภัยแล้ง และมีการตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มขึ้นจนป่าไม้ในฝั่งพม่าถูกทำลายไปมาก ส่งผลให้ฝั่งไทยด้านสะพานมิตรภาพไทย-พม่า ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด มีปัญหาหมอกควันเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ที่มาของข่าว: แปลและเรียบเรียงจาก


หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย, 17 มี.ค. 52


KNLA Leaders Still Barred from Mae Sot, By LAWI WENG, Irrawaddy, Tuesday, March 17, 2009


 


ข่าวก่อนหน้านี้


เจ้าหน้าที่ไทยกดดันผู้เกี่ยวข้องนักรบกะเหรี่ยง, ประชาไท, 9 มี.ค. 52

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net