Skip to main content
sharethis






การเมือง


 


นายกรัฐมนตรีระบุต้องแยกนโยบายสนามบินกับนโยบายของสายการบิน


นายกรัฐมนตรีระบุการย้ายการให้บริการของการบินไทยเป็นนโยบายของสายการบินที่จะตัดสินใจเอง ส่วนนโยบายสนามบินได้ให้กระทรวงคมนาคมไปดูตัวเลขเรื่องการขยายสนามบิน จำนวนผู้โดยสาร


วันนี้ (17 มี.ค.) เวลา 13.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนนโยบายของรัฐบาลหลังจากที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่าจะย้ายการให้บริการทั้งหมดกลับไปที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิว่า ขอให้แยกนโยบายสนามบินกับนโยบายของสายการบิน ซึ่งเรื่องนโยบายสนามบินได้ขอให้กระทรวงคมนาคมไปดูเรื่องตัวเลขของการขยายสนามบิน จำนวนผู้โดยสาร แต่ยังไม่เห็นข้อมูลเหล่านี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้จึงไม่มีประเด็นเรื่องว่าเห็นตรงกันหรือเห็นต่างกัน ส่วนนโยบายของสายการบินเป็นการตัดสินใจของบริษัทที่เขาอ้างว่าที่ตัดสินใจย้ายจากดอนเมืองไปสุวรรณภูมิ เพราะต้องการลดต้นทุน


ผู้สื่อข่าวถามว่า ตกลงว่าวันที่ 29 มีนาคมนี้ บริษัท การบินไทยฯ จะย้ายไปสุวรรณภูมิใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับบริษัท การบินไทยฯ เพียงแต่คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจได้ให้ข้อสังเกตไปเท่านั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า หากยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเป็นสนามบินเดียวจะพิจารณาการขยายสนามบินในเฟส 2 ได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กันนโยบายสนามบินของรัฐบาล นอกจากนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเงินไปแก้ปัญหากรณีที่มีผู้ได้รับผลกระทบในเรื่องเสียงรบกวนจากสนามบินทั้งหมดแล้ว


ที่มา: http://www.thaigov.go.th


ครม.รับทราบรายงานเยียวยาเหยื่อ 7 ตุลา


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะรัฐมนตรีรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่  7 ตุลาคม 2551 และเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่อง (กยส.) เสนอ โดยครม.รับทราบผลการดำเนินการของคณะกรรมการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายฯ ซึ่งกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ในฐานะศูนย์เยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องได้รายงานว่าตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2551- 6 มีนาคม 2552 ศูนย์เยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายฯ ได้รับคำร้องจากผู้ได้รับความเสียหายและได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดไปแล้ว จำนวน 389 ราย เป็นเงิน 15,300,000 บาท


กรมสุขภาพจิต รายงานผลการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551และเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่อง ว่า ได้รับงบประมาณในการให้ความเยียวยาช่วยเหลือด้านจิตใจแก่ผู้ได้รับผลกระทบฯ จำนวน 6,000,000 บาท โดยให้ความช่วยเหลือประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บ พิการ รวมถึงญาติ และกลุ่มผู้อยู่ในสถานการณ์วิกฤติรวมทั้งกลุ่มผู้ช่วยเหลือ


ที่มา: http://www.naewna.com


ครม.สกัดม็อบครูเอกชน จ่ายเช็ค2พัน1.3แสนคน


วันที่ 17 มี.ค.2552 นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมเห็นชอบให้เพิ่มสิทธิการรับเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ ตามโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐ รายละ2,000 บาท สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาและบุคลากรอื่นในโรงเรียนเอกชน จำนวน 132,604 คน โดยใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2552 หรืองบฯ กลางรายการเงินสำรองจ่ายเพิ่มกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และยังเห็นชอบให้หน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัด อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกระทรวงวัฒนธรรม ที่อยู่ในโครงการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ ดำเนินการตามแนวปฏิบัติของ ศธ.


รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังเห็นชอบให้คณะกรรมการข้าราชการครูฯ นำ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดตำแหน่ง และการให้ได้รับเงินเดือน และเงินประจำตำแหน่ง มาใช้กับข้าราชการครูฯ ตามมาตรา 38 ค(2) ใน พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ พ.ศ.2547 โดยอนุโลม รวมทั้งให้คงกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ ตำแหน่งครูผู้สอน ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา เขต 3 รวม 1,639 อัตรา ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


ครม.เห็นชอบร่างพ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติ ดึงเกษตรตัวจริงมีส่วนร่วม


คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ  และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว  เป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บัญญัติให้มีกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสภาเกษตรกร เพื่อคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกร และส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรในรูปของสภาเกษตรกรภายใน 1 ปี  นับแต่วันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาและเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก


สำหรับสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ. ดังกล่าว 1. กำหนดให้จัดตั้งสภาเกษตรกรแห่งชาติ ประกอบด้วย  สมาชิกซึ่งสภาเกษตรกรจังหวัดเสนอชื่อสมาชิกจังหวัดละหนึ่งคน  และสมาชิกซึ่งเลือกจากตัวแทนองค์กรเกษตรกรด้านพืช ด้านสัตว์ ด้านประมง และด้านเกษตรอื่น ๆ รวม 16 คน กระจายสัดส่วนตามกลุ่มอาชีพ  และสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคัดเลือกจากผู้มีความรู้  ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านเกษตรกรรม รวม 7 คน ซึ่งต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านพืช ด้านสัตว์ และด้านประมง  อย่างน้อยด้านละหนึ่งคน


2. กำหนดอำนาจหน้าที่ของสภาเกษตรกรแห่งชาติ  โดยกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาความเข้มแข็งแก่เกษตรกรและองค์กรเกษตร ส่งเสริมและพัฒนาการทำเกษตร  ให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาของเกษตรกร จัดทำแผนแม่บทเสนอต่อคณะรัฐมนตรี  และสนับสนุนวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านพันธุกรรมพืชและสัตว์ท้องถิ่น เป็นต้น


3. กำหนดให้มีสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า "สกช." ทำหน้าที่เป็นเลขานุการและรับผิดชอบงานด้านธุรการของสภาเกษตรกรแห่งชาติ


4. กำหนดให้มีสภาเกษตรกรจังหวัด  ประกอบด้วย  สมาชิกซึ่งเป็นสมาชิกองค์กรเกษตรกรที่ได้รับการสรรหาตามหลักเกณฑ์ที่สภาเกษตรกรแห่งชาติกำหนด จำนวน 16 คน และสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเกษตรกรรม จำนวน 5 คน  โดยอย่างน้อยต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านพืช ด้านสัตว์ และด้านประมง  อย่างน้อยด้านละหนึ่งคน


5. กำหนดอำนาจหน้าที่ของสภาเกษตรกรจังหวัด ให้พัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรและองค์กรเกษตรกรในระดับจังหวัด  ส่งเสริมและสนับสนุนการรวมกลุ่มขององค์กรเกษตรกร  กลุ่มเกษตรกร และยุวเกษตรกรในจังหวัด  จัดทำแผนพัฒนาเกษตรกรรมระดับจังหวัดเสนอต่อสภาเกษตรกรแห่งชาติ และรับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับราคาและผลผลิตทางเกษตรกรรม


6. กำหนดให้จัดตั้งสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดขึ้น เรียกโดยย่อว่า "สกจ." ทำหน้าที่เป็นเลขานุการและรับผิดชอบงานด้านธุรการของสภาเกษตรกรจังหวัด


7. กำหนดให้สภาเกษตรกรแห่งชาติจัดทำแผนแม่บทเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม  โดยมีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน  และเมื่อจัดทำแผนแม่บทแล้วให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาโดยไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ  เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับแผนแม่บทดังกล่าว ให้สภาเกษตรกรแห่งชาติ ติดตาม และตรวจสอบการปฏิบัติงานตามแผนแม่บท


8. กำหนดบทเฉพาะกาล ในวาระเริ่มแรกให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ทำหน้าที่สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ  และสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด  ทำหน้าที่สำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดไปพลางก่อนให้คณะกรรมการดำเนินการสรรหาสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดภายใน 30 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาการเสนอชื่อสมาชิกตามมาตรา 44


ที่มา: http://www.naewna.com


ครม.อนุมัติให้กู้ต่างประเทศ 1.4 พันล้านทำโครงการน้ำ


คณะรัฐมนตรีพิจารณาการขออนุมัติเปิดโครงการโดยใช้เงินกู้จากต่างประเทศเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงและบำรุงรักษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำ  (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามหาราช)  ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแล้วมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ



1. อนุมัติให้กรมชลประทานดำเนินการตามโครงการโดยใช้เงินกู้จากต่างประเทศเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงและบำรุงรักษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำ  (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามหาราช)  ภายในวงเงินทั้งสิ้น 1,463.03 ล้านบาท แยกเป็นเงินกู้ต่างประเทศ  1,000.70 ล้านบาท และเงินงบประมาณสมทบ 462.33 ล้านบาท  ระยะเวลาดำเนินการ  5 ปี  พ.ศ. 2552-2556  โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาในเรื่องของแหล่งเงินกู้ที่จะนำมาใช้เพื่อการนี้ต่อไป



2. ในกรณีมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ  ให้กรมชลประทานจัดทำรายละเอียดแผนการใช้จ่ายเงิน และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็น   สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ   พ.ศ. 2552   ให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการ



3. เนื่องจากการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวเป็นโครงการปรับปรุงขนาดใหญ่ที่มีความครอบคลุมพื้นที่ถึง  5 จังหวัด  ได้แก่  จังหวัดชัยนาท  จังหวัดสิงห์บุรี  จังหวัดลพบุรี จังหวัดอ่างทอง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  กรมชลประทานจึงควรศึกษาหาแนวทางและกำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาที่ราษฎรจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวด้วย


ที่มา: http://www.naewna.com


 






เศรษฐกิจ


ผู้ค้าจตุจักรขีดเส้นตาย "คุณชาย"30วัน


ผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรทวงสัญญาผู้ว่าฯ ต่อสัญญาเช่าที่รฟท.-สรุปค่าแผง-ฟันมาเฟีย กะปักหลักม็อบยาว หลังถกเครียด 2 ชั่วโมงได้ข้อสรุป ขู่ 1 เดือนไม่ได้ผลเจอกันใหม่ใหญ่กว่าเก่า


เมื่อวันที่ 17 มี.ค.52 เวลา 09.00 น. ที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกทม. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรกว่า 300 คน เดินทางมาทวงถามความคืบหน้าการเจรจาขอต่อสัญญาเช่าพื้นที่จากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตลอดจนการเร่งรัดข้อสรุปอัตราค่าเช่าแผงในตลาดและข้อเรียกร้องต่างๆ 5 ข้อที่เคยเสนอผู้บริหารกทม.ให้พิจารณาดำเนินการเมื่อวันที่ 17 ก.พ.52 ที่ผ่านมา โดยตั้งท่าปักหลักหากการเจรจายืดเยื้อ


ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า จากข้อเรียกร้อง 5 ข้อของผู้ค้าได้รับมาพิจารณาแล้วและเห็นด้วยใน 4 ข้อ ส่วนที่ผู้ค้าขอเข้าเป็นคณะกรรมการบอร์ดเพื่อร่วมกำหนดนโยบายบริหารตลาดนัดนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะไม่เคยมีในธรรมเนียมปฏิบัติและไม่ถูกต้อง สำหรับการต่อสัญญาเช่ากับ รฟท.ซึ่งจะหมดในปี 55 นั้นอยู่ระหว่างเจรจาเรื่องค่าเช่า โดยรฟท.ได้เห็นชอบตามข้อเสนอของกทม.และจะนำเข้าบอร์ดเพื่ออนุมัติแล้ว



จากนี้ไปจะเดินหน้าเจรจาเรื่องต่อสัญญาค่าเช่าต่อไป โดยได้ทาบทามนายพรเทพ เตชะไพบูลย์ อดีตส.ส.และรัฐมนตรีหลายสมัยเป็นประธานบอร์ด ซึ่งนายพรเทพได้ตอบรับแล้วโดยจะเป็นผู้เจรจาต่อสัญญาเช่ากับรฟท. และมูลนิธิสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ในการขอเช่าพื้นที่ค้าขายเพิ่มเติม พร้อมทั้งสรรหาผู้ที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบอร์ดต่อไป คาดจะแต่งตั้งประธานบอร์ดได้ในสัปดาห์หน้านี้


ผู้ว่าฯกทม.กล่าวอีกว่า ส่วนที่ผู้ค้าขอมีส่วนร่วมพัฒนาตลาดจตุจักรสามารถทำได้ แต่ต้องรอให้มีการต่อสัญญาค่าเช่ากับรฟท.ให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งหากมีการต่อสัญญาและปรับปรุงพัฒนาตลาดใหม่ก็จะต้องทำสัญญาเช่ากับผู้ค้าใหม่ด้วย โดยจะพิจารณาให้สิทธิผู้ค้ารายเก่าก่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องตรวจสอบว่าผู้ค้าต้องไม่นำแผงค้าไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงต่อด้วย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กทม.ได้เชิญตัวนายสงวน ดำรงไทย แกนนำและตัวแทนผู้ค้าเข้าประชุมกับคณะที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม.นำโดยนายถนอม อ่อนเกตุพล ซึ่งดูแลสำนักงานตลาดและนายชีวเวช เวชชาชีวะ เลขานุการผู้ว่าฯ ร่วมเจรจาเพื่อหาทางออก ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดและมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือด ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงจึงได้ข้อสรุป


ทั้งนี้ ตัวแทนผู้บริหารกทม.ได้กล่าวยืนยันกับกลุ่มผู้ค้าที่มาชุมนุมว่า จะนำข้อเสนอทุกข้อของผู้ค้ามาพิจารณาและเร่งแก้ไขปรับปรุงโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะการเจรจาขอต่อสัญญาเช่ากับรฟท.ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับการขึ้นค่าเช่า พร้อมกันนี้ได้ให้กลุ่มผู้ค้ากลับไปคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเป็นประธานและรองประธานกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร เพื่อเป็นตัวแทนในการเจรจาและนำเสนอข้อคิดเห็นต่างๆ ต่อคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) ตลาดนัดจตุจักรซึ่งจะแต่งตั้งไม่เกิน 1 เดือนหลังจากนี้


ส่วนตำแหน่งผู้อำนวยการตลาดนัดจตุจักรจะเป็นคนเดิมซึ่งผู้ค้าต่อต้านหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบอร์ดตลาดและผู้ว่าฯกทม.จะเป็นผู้ตัดสินใจ ขณะที่การจัดการกับผู้ค้าเถื่อนตลอดจนปัญหาจากข้าราชการหรือลูกจ้างของตลาดนัดที่มีพฤติกรรมทุจริตรับสินบน-รีดไถนั้น จะเร่งจัดการขั้นเด็ดขาดทันทีที่มีพยานหลักฐานเพียงพอ


ด้านนายสงวนเปิดเผยว่า กลุ่มผู้ค้าตกลงว่าจะให้เวลากทม.1 เดือน หากปัญหาต่างๆยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังหรือไม่คืบหน้า จะกลับมาชุมนุมอีกครั้งและจะยกระดับการชุมนุมให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อกดดันผู้บริหารกทม.ให้เร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้ค้าได้สลายการชุมนุมไปในเวลาประมาณ 14.30 น.


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


รัฐบาลเตรียมแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในกรอบ 2-3 ปี


วานนี้ (17 มี.ค.) เวลา 13.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ว่า เมื่อเช้านี้ที่ดูกันเป็นเรื่องแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นกรอบ 2-3 ปี หลังจากที่ทำรอบแรกแล้ว ก็จะมีเรื่องการที่จะไปเจรจากู้เงินจากต่างประเทศ กำลังดูในเรื่องการลงทุนลักษณะโครงสร้างพื้นฐานครอบคลุมกรอบเวลา 2-3 ปี คือปีงบประมาณ 2554 ก็จะมีวงเงินใน 3 ปี ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ตกปีละประมาณ 5 แสนล้าน ขณะนี้กำลังดูในรายละเอียดอยู่ ก็จะมีทั้งโครงการในส่วนของคมนาคม แหล่งน้ำ โรงเรียน สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ โครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการไม่ได้ทำในลักษณะของโครงการขนาดใหญ่ แต่ถ้ารวมกันก็จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับโรงเรียนหรือโรงพยาบาล ก็ไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่แต่เป็นโครงการจำนวนมากที่กระจายตามพื้นที่ต่างๆ รวมแล้วก็เป็นวงเงินที่ค่อนข้างใหญ่


ผู้สื่อข่าวถามว่าตัวเลขเงิน 1.4 ล้านล้านบาทเป็นตัวเลขในกรอบเดิมหรือตัวเลขใหม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เดิมยังไม่มี ส่วนนี้เป็นมาตรการที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้ไปเดินสายพูดคุยกับเจ้ากระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับแผนการลงทุนทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข


ผู้สื่อข่าวถามว่า โครงการที่จะทำดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นกรอบที่จะใช้ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ซึ่งก็จะเป็นการเพิ่มเงินลงทุนในภาวะซึ่งเราคาดการณ์ว่าการลงทุนจากต่างประเทศและเรื่องการส่งออกยังมีปัญหาอยู่ ผู้สื่อข่าวถามว่า กรอบวงเงินงบประมาณในปี 2554 มีการกำหนดเป้าหมายไว้อย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ดู 3 ปีก่อน จากนั้นก็จะมาซอยย่อยย้อนกลับมาเป็นแต่ละปี


ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการวิเคราะห์กันถึงปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้องเร่งดูอย่างต่อเนื่องในกรอบ 2-3 ปี


ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของกระทรวงการคลังได้เสนอให้มีการขยายเพดานเงินกู้ที่จะมีการออกกฎหมายด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี จะเอาส่วนนี้เป็นตัวตั้งก่อนว่าความต้องการในการใช้เงินที่เราคิดว่าจะทำให้เศรษฐกิจไปได้เท่าไหร่ หลังจากนั้นก็จะย้อนกลับมาดูประมาณการในเรื่องการขยายตัว เรื่องรายได้ที่เป็นภาษีอากรและดูกรอบของกฎหมายจากนั้นก็จะมาดูกันอีกครั้งว่าจะดำเนินการกันอย่างไร


ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ตอนนี้การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าครึ่งหนึ่งที่มีการประมาณการไว้ จำเป็นจะต้องออกกฎหมายหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารายได้ขณะนี้ซึ่งเดิมประมาณการว่าจะต่ำกว่าเป้าประมาณแสนล้าน ก็คิดว่าอาจจะวิ่งไปถึงแสนห้าหรือมากกว่าแสนห้า แต่ตรงนี้ยังดูตัวเลขการบริหารจัดการงบประมาณ และเงินคงคลังได้อยู่ แต่ที่ต้องดูต่อไปก็คืออีก 2 ปี ข้างหน้า


ต่อข้อถามว่าจำเป็นต้องหาเงินมาชดเชยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการหารือวันนี้ได้ดูกรอบตรงนี้ และทำความเข้าใจตรงกันในทุกหน่วยงาน ซึ่งค่อนข้างจะมีการประเมินสถานการณ์ที่ตรงกันไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย


ผู้สื่อข่าวถามว่า จะพิจารณาความจำเป็นอย่างไรเกี่ยวกับการแก้กฎหมายขยายเพดานเงินกู้ เพราะอาจเป็นจุดอ่อนไหวได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องยึดหลักโดยดูมาตรฐานสากลในเรื่องของหนี้สาธารณะและไม่น่าที่จะเป็นการเปลี่ยนกติกาถาวร หมายความว่ากฎหมายวิธีการงบประมาณก็ไม่ควรจะไปแก้ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังพิจารณาอยู่โดยจะเริ่มจากการเอาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 ปี เข้าครม.เศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า


ผู้สื่อข่าวถามว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่นี้จะมีการเพิ่มการจ้างงานได้มากน้อยเท่าไหร่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ได้ลงรายละเอียดไปถึงตัวเลข


นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกระแสข่าวที่รัฐบาลจะใช้เงินงบประมาณหลายร้อยล้านบาทในการฟื้นฟูภาพลักษณ์ประเทศ ว่า ยังไม่เห็นเรื่องดังกล่าว แต่สำหรับงบประมาณ 400 ล้านบาท ที่มีการพูดกันนั้นก็เป็นงบฯ ของเดิมที่มีอยู่ เป็นงบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งเป็นการดำเนินการร่วมกันในลักษณะบูรณาการทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งไม่มีอะไรใหม่ ตอนนี้ที่กำลังดูคือกรอบการลงทุนภาครัฐใน 3 ปีข้างหน้า


ผู้สื่อข่าวถามถึงการเชิญสื่อมวลชนอาชีพระดับโลกมา เป็นการใช้งบประมาณส่วนนี้ด้วยใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้มีคณะกรรมการที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานอยู่ แต่เราจะพยายามดึงในส่วนของนักลงทุนหรือนักธุรกิจที่เดินทางอยู่มาทางนี้ก่อน


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ขณะนี้ทุกคนยังกังวลอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นวิธีที่เราพยายามทำก็คือลองคำนวณดูว่าถ้าการค้าโลกลดลงไปเท่านี้ รายได้จากการส่งออกจะหายไปเท่าไหร่ และจะต้องมีเงินในลักษณะของการกระตุ้นเศรษฐกิจลงไปชดเชยเท่าไหร่ และควรทำในเรื่องอะไร ส่วนการท่องเที่ยวตัวเลขล่าสุดของนักท่องเที่ยวต่างประเทศดูจะดีขึ้นจากเดิมที่จะติดลบประมาณร้อยละ 18-20 ล่าสุดติดลบน้อยลง อยู่ที่ประมาณติดลบร้อยละ 10.5 ซึ่งตัวเลขท่องเที่ยวที่ดีขึ้นนั้นก็มาจากเริ่มที่จะมีการฟื้นตัวและแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย คนยังให้ความสนใจอยู่มาก ซึ่งที่ผ่านมาเราก็พยายามทำงาน กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็พยายามสร้างความมั่นใจและดึงดูดในทุกภูมิภาค อย่างที่ไปประเทศอังกฤษมา ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็ไปทั้งอังกฤษ เยอรมนี สเปน และมีการดึงสื่อมวลชนเข้ามา ซึ่งก็ได้มีโอกาสได้พบปะด้วย


ที่มา: http://www.thaigov.go.th






คุณภาพชีวิต-สิ่งแวดล้อม


ผู้ตรวจสำนักนายกฯห่วงภัยแล้งหมอกควันเชียงราย


เมื่อวันที่ 17 มี.ค.52 นายทินกร ภูวะปัจฉิม ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมไปตรวจติดตามการใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ของจังหวัดเชียงราย เข้าตรวจสอบที่ อ.แม่สาย และ อ.เมืองเชียงราย โดยที่ อ.แม่สาย ได้ติดตามการขุดลอกลำห้วยสาขาแม่น้ำคำ ในพื้นที่ หมู่ 2-4 และหมู่ 5 ต.บ้านด้าย เนื่องจากมีสภาพตื้นเขิน ไม่สามารถรับน้ำจากบ้านโป่งงาม และบ้านโป่งผา ในหน้าฝนได้ ทำให้เกิดน้ำเอ่อล้นท่วมพื้นที่การเกษตรของประชาชนได้รับความเสียหายเป็นประจำ และในช่วงหน้าแล้งก็ไม่สามารถเก็บกัก เพื่อใช้ในการปลูกพืชหน้าแล้งได้


ในส่วนพื้นที่  อ.เมืองเชียงราย ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ติดตามการขุดลอกลำห้วยลำห้วยปูแกง ต.ป่าอ้อดอนชัย ซึ่งเดิมประสบปัญหาเหมือนกับในพื้นที่ ต.บ้านด้าย อ.แม่สาย ถายหลังการดำเนินโครงการแล้วสามารถช่วยเหลือประชาชนเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำ กว่า 300 ครัวเรือน พื้นที่ทำการเกษตรกว่า 500 ไร่ ประชาชนสามารถมีน้ำเพียงพอในการทำนาปรัง และปลูกพืชในช่วงหน้าแล้งได้ ซึ่งทั้ง 2 โครงการ จังหวัดเชียงรายได้ของบช่วยเหลือฉุกเฉินกลาง จากรองนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ทำกินของเกษตร ภายหลังการลงพื้นที่ติดตามการ ดำเนินโครงที่ 2 โครงการของจังหวัดเชียงราย


ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงความพอใจ ในการที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือประชาชน ช่วยกันรักษาแหล่งน้ำสาธารณะ เพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อให้ดูดซับน้ำไว้ใช้ตลอดปี ส่วนปัญหาหมอกควัน ในพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย ที่ยังเกินค่ามาตรฐาน และได้ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนราชการช่วยให้เร่งคลี่คลาย พร้อมรณรงค์หยุดการเผาโดยด่วน


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


"อภิสิทธิ์" มั่นใจเอกชนไม่ยื่นอุทธรณ์มาบตาพุด


เมื่อเวลา 12.50 น.วันที่ 17 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวว่าภาคเอกชนจะยื่นอุทธรณ์หลังคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ ว่า ตนคิดว่าคงไม่มีการยื่นอุทธรณ์แล้ว และคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร สามารถชี้แจงทำความเข้าใจกันได้ ซึ่งคำว่าเขตควบคุมมลพิษไม่ได้หมายความว่าเป็นเขตที่ไม่ให้ลงทุน แต่เป็นเพียงให้โอกาสท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อย่างไรก็ตามคงต้องทำความเข้าใจกับภาคเอกชนต่อไป เพราะคณะกรรมการฯเพิ่งมีมติออกไปวานนี้ (16 มี.ค.)


ผู้สื่อข่าวถามว่าภาคเอกชนควรจะเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความจริงเวลามีปัญหาอะไรเราก็พยายามฟังเสียงทุกฝ่าย ซึ่งในการประชุมก็มีการนำข้อห่วงใยของภาคเอกชนเข้าไปหารือด้วย ซึ่งทุกคนก็เห็นตรงกันว่าเป็นข้อห่วงใยที่เรามีคำตอบให้เขาได้ เช่นข้อห่วงใยที่ว่าเมื่อประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษแล้วจะเกิดความตระหนกตกใจทำให้ไม่มีคนไปเที่ยวที่จังหวัดระยอง ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วไม่ว่าจะเป็นพัทยา หัวหิน ปราณบุรีก็เป็นเขตควบคุมมลพิษเหมือนกันและไม่ได้รับผลกระทบอะไร มันอยู่ที่การทำความเข้าใจที่ถูกต้องเท่านั้น


ที่มา: http://www.komchadluek.net






ต่างประเทศ


เม็กซิโกเดือดฟอร์บส์จัดเจ้าพ่อค้ายาติดเศรษฐีโลก


เม็กซิโกซิตี้-เม็กซิโกฉุนฟอร์บส์ ชูเจ้าพ่อค้ายาเสพติดเป็นมหาเศรษฐีโลก จวกยกย่องอาชญากร


หลังจากที่นิตยสารฟอร์บส์ นิตยสารแนวเศรษฐกิจการลงทุนชื่อดัง เผยรายชื่อมหาเศรษฐีพันล้าน 793 คนเมื่อกลางสัปดาห์ ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ (13 มี.ค.) เม็กซิโกได้แสดงความไม่พอใจและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อการตัดสินใจของนิตยสารฟอร์บส์ที่บรรจุรายชื่อหัวหน้าแก็งค้ายาเสพติดที่นิยมก่อเหตุรุนแรงมากที่สุดเข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อมหาเศรษฐีของโลกที่ทางนิตยสารจัดทำขึ้นด้วย


ในรายชื่อมหาเศรษฐีโลกปีนี้ ฟอร์บส์ได้รวมชื่อนายโจอากิน "เอล ชาโป" กุซมาน ที่มีทรัพย์สินประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 35,000 ล้านบาท) อยู่ในลำดับที่ 701 โดยเขาอยู่ระหว่างเศรษฐีน้ำมันชาวสวิสส์ กับนักธุรกิจด้านสารเคมีชาวอเมริกัน โดยหลายฝ่ายเชื่อกันว่า กุซมาน อาจจะเป็นหัวหน้าแก็งค้ายาที่ชื่อ ซินาโลอา โดยหลังจากที่ทราบเรื่องประธานาธิบดีเฟลิปเป คัลเดรอน ออกมาบอกว่า ฟอร์บส์ไม่เพียงแต่โจมตี และพูดโกหกเกี่ยวกับสถานการณ์ยาเสพติดในเม็กซิโกเท่านั้น หากแต่ยังยกย่องเชิดชูพวกอาชญากรด้วย


ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบถึงความคิดเห็นของนายกุซมานในเรื่องการได้ชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐีของโลก โดยทางนางหลุยซ่า โครลล์ บรรณาธิการอาวุโสของทางฟอร์บส์ บอกว่าไม่สามารถติดต่อกับนายกุซมาน เพื่อสอบถามความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้


ทั้งนี้ กุซมาน ซึ่งบ่อยครั้งถูกระบุว่าเป็นเจ้าพ่อยาเสพติดที่ทรงอำนาจที่สุดของเม็กซิโก ถูกทางการตั้งรางวัลนำจับ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาตั้งแต่ปี 2544 หลังจากที่เขาหลบหนีออกจากคุกไปพร้อมกับรถซักรีด โดยตอนนั้นนายกุซมานอยู่ระหว่างการรับโทษจำคุกกว่า 20 ปี จากการเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมและการติดสินบน โดยทางการระบุว่า นายกุซมานเป็นหัวหน้าแก็งซินาโลอา แม้ว่าจะไม่เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเลยก็ตาม


อย่างไรก็ดี กุซมาน วัย 54 ปี ไม่ใช่นักค้ายาเสพติดรายแรกที่ได้เข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อมหาเศรษฐีโลกของฟอร์บส์ โดยนายปาโบล เอสโคบาร์ ราชาโคเคนโคลัมเบียก็เคยติดในรายชื่อนี้มาก่อนแล้ว ฟอร์บส์ ประเมินว่า นายกุซมานและแก็งของเขามีส่วนแบ่งรายได้ราวร้อยละ 20 จากธุรกิจการค้ายาของเม็กซิโกและโคลัมเบียเมื่อปีที่แล้ว


 







วัฒนธรรม


วธ.ร่วมอนุสัญญา 3 เรื่องกับยูเนสโก  ยื่นจดทะเบียนมรดกวัฒนธรรม 20 เรื่อง


นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าการพิจารณาเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาด้านวัฒนธรรม ตามข้อเสนอขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้ประชุมหารือเรื่องการพิจารณาเป็นภาคีอนุสัญญากับยูเนสโก ๓ เรื่อง ได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่อยู่ใต้น้ำ และอนุสัญญาว่าด้วยการปกป้องและส่งเสริมความหลากหลายของการแสดงออกทางวัฒนธรรม ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดยกระทรวงวัฒนธรรมได้ทำประชาพิจารณ์ และจัดเวทีสาธารณะ เพื่อรับฟังความเห็นจากชุมชนและประชาชน รวมทั้งขอความคิดเห็นจากสถาบันการศึกษา ศิลปิน ให้เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงสอบถามความเห็นจากกระทรวงต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น นอกจากนี้กระทรวงวัฒนธรรมจะเร่งดำเนินการจดทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เพื่อขึ้นทะเบียนและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของประเทศไทย โดยตั้งเป้าว่าในปี ๒๕๕๒ จะยื่นจดทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ จำนวน ๒๐ รายการก่อน จาก ๑๐๐ รายการที่เตรียมขึ้นทะเบียน อาทิ หนังใหญ่ หุ่นละครเล็ก หนังตะลุง หมอลำ เพลงแห่เรือ ละครชาตรี มโนราห์ นาเด่ย


นายวีระ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่อยู่ใต้น้ำ กระทรวงวัฒนธรรมได้ให้กรมศิลปากรกลับไปศึกษาข้อดี ข้อเสียของการเข้าร่วมอนุสัญญาดังกล่าวโดยละเอียด และการแก้กฎหมาย เพื่อรองรับการเข้าร่วมภาคีอนุสัญญาด้วย รวมทั้งสอบถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม ว่าเห็นด้วยกับการลงนามดังกล่าวหรือไม่เพื่อประกอบการตัดสินใจเข้าเป็นภาคี รวมทั้งจัดทำประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ส่วนการที่ยูเนสโกเสนอให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมโบราณคดีทางทะเลในระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกแทนประเทศศรีลังกาไม่เกี่ยวกับการเข้าร่วมอนุสัญญาดังกล่าว ตนได้มอบหมายให้กรมศิลปากรจัดทำแผนงบประมาณ และเร่งดำเนินการแล้ว และสำหรับอนุสัญญาว่าด้วยการปกป้องและส่งเสริมความหลากหลายของการแสดงออกทางวัฒนธรรม ที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะกฎหมายขึ้นมาศึกษารายละเอียดและข้อดี ข้อเสียของการเป็นภาคีอนุสัญญา พร้อมทั้งจัดประชุมเฉพาะองค์กรที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมเพื่อตัดสินใจ และตั้งนักวิชาการเป็นที่ปรึกษาและวิเคราะห์ถึงส่วนได้ ส่วนเสียที่จะได้รับ ซึ่งจากการสอบถามความเห็นของกระทรวงต่างๆ ในเบื้องต้นเห็นด้วยและสนับสนุนให้กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมภาคีอนุสัญญาดังกล่าว เพราะปัจจุบันมี ๙๘ ประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีกับยูเนสโก และถ้าไทยเข้าร่วมน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในอนาคต


ที่มา: http://www.naewna.com


ที่มา: http://www.komchadluek.net

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net