ศาลจังหวัดสงขลานัดกลุ่มคัดค้านท่อส่งก๊าซ โรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อ.จะนะ จ.สงขลา ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 คดีเจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมเหตุการณ์ 20 ธันวาคม 45 บริเวณหน้าโรงแรมเจบี เมื่อคราวจัดประชุมคณะรัฐมนตีสัญจรไม่เป็นทางการสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จัดให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการนอกสถานที่ (ครั้งที่ 5) และการประชุมร่วมกันระหว่างคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลแห่งประเทศไทยกับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลประเทศมาเลเซีย ณ โรงแรมเจบี หาดใหญ่
โดยมีพนักงานอัยการจังหวัดสงขลา เป็นโจทย์ยื่นฟ้องชาวบ้านและองค์กรนักศึกษา รวม 12 คน ในข้อหา "ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย, พกพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร, ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธและร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป, ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์ , มั่วสุมกันกระทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธโดยผู้กระทำความผิด เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้ที่มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น , ไม่เลิกมั่วสุมตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน ซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้" ซึ่งศาลจังหวัดสงขลาพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 12 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2550 แต่ทางพนักงานอัยการจังหวัดสงขลา ได้ยื่นอุทธรณ์คดี
เวลา 09.00 น.ฝ่ายโจทก์และนายสุไลมาน หมัดยุโส๊ะซึ่งตกเป็นจำเลยและพวกรวม 12 คนเดินทางมาศาลจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยนายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์และนางสาวส รัตนมณี พลกล้า ทนายความ จากสภาทนายความ โดยมีชาวบ้านกลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซ โรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย คัดค้านประมาณ 50 คนเดินทางมาให้กำลังใจ
จนกระทั่งเวลา 09.30 น. นายอเนกชัย อารยะญาณได้ออกนั่งบัลลังก์ห้อง 309 อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยกฟ้องนายสุไลมานและพวกรวม 12 คน
คำพิพากษาระบุ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุรัฐบาลจัดทำโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย ในพื้นที่ตำบลสะกอมและตำบลตลิ่งชัน อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา แต่ชาวบ้านในพื้นที่ไม่พอใจรวมตัวกันชุมนุมคัดค้านโครงการดังกล่าวรัฐบาลจึงทำประชาพิจารณ์ 2 ครั้ง ต่อมารัฐบาลจัดให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่กับคณะรัฐมนตรีไทย-มาเลเซียในวันที่ 21 ถึง 22 ธันวาคม 2545 เวลา 14 นาฬิกา มีชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวมาชุมนุมคัดค้านที่ลานกีฬาบ้านโคกสัก ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ก่อนจะเดินทางไปตามถนนสายเอเชีย มุ่งหน้าไปยังโรงแรมเจบีเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านโครงการต่อนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทน เมื่อผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนมาถึงนาหม่อม จังหวัดสงขลา เจ้าพนักงานตำรวจได้ตั้งด่านสกัด เพื่อขอตรวจค้น มีการเจรจาต่อรองจนเจ้าพนักงานตำรวจยอมเปิดทางให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนต่อไปได้ จนกระทั่งเวลาประมาณ 20 นาฬิกา ขบวนผู้ชุมนุมเดินทางมาถึงบริเวณเชิงสะพานจุติบุญสูง เจ้าพนักงานตำรวจใช้แผงเหล็กกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมผ่าน ผู้ชุมนุมจึงต้องหยุดขบวนให้ตัวแทนเจรจากับฝ่ายเจ้าพนักงานตำรวจ ระหว่างเจรจาผู้ชุมนุมได้แยกย้ายกันพักผ่อนและทำพิธีละหมาด แต่เกิดเหตุชุลมุนปะทะกันระหว่างเจ้าพนักงานตำรวจกับผู้ชุมนุมจนทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินของทางราชการและของผู้อื่นได้รับความเสียหาย ในวันเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่2321-2329/2547 ของศาลชั้นต้นได้พร้องของกลางตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.14 ถึง จ.16 ต่อมาวันที่ 21 เมษายน 2547 จำเลยทั้งสิบสองเข้ามอบตัวสู้คดีต่อพนังงานสอบสวนตามบันทึกรับมอบตัวและบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.105 ถึง จ.107 สำหรับข้อหาความผิดฐานทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบวันหรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาทหรือทั้งจำทั้งปรับกับความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งมีระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท จึงมีอายุความเพียง 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(5) คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบสองกระทำความผิดตามบทมาตราทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นอันขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6) ปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยเองได้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสิบสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า
ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 44 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ" วรรคสองบัญญัติว่า "การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ เพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้สาธารณะหรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศกฎอัยการศึก
มาตรา 46 บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณีและมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน"
กฎหมายบัญญัติมาตรา 56 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "สิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐ
และชุมชนในการบำรุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ในการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ตามบทบัญญัติ" จากบทบัญญัติดังกล่าวบุคคลทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการดำรงชีวิต การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน อันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน โครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย เป็นโครงการพลังงานขนาดใหญ่มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชนและชุมชนท้องถิ่น จำเลยทั้งสิบสองและผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการดังกล่าวย่อมมีสิทธิแสดงความคิดเห็นและมีเสรีภาพในการชุมนุมคัดค้านโครงการอย่างสงบและปราศจากอาวุธได้ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 ซึ่งนาย
เมื่อถึงเวลานัดหมายผู้ชุมนุมมารวมตัวที่ลานกีฬาบ้านโคกสัก แล้วเคลื่อนขบวนไปตามถนนสายเอเชียอย่างเรียบร้อย แม้ระหว่างทางจะมีเจ้าพนักงานตำรวจตั้งด่านสกัดกั้นหลายแห่ง แต่ก็ไม่มีเหตุรุนแรง แต่ก็ไม่มีเหตุรุนแรงปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าพนักงานตำรวจแต่อย่างใด เนื่องจากนายวัชระพันธ์เป็นผู้ประสานเจรจาตลอดทาง กระทั่งผู้ชุมนุมมาถึงบริเวณสะพานจุติบุญสูง มีแผงเหล็กและเจ้าพนักงานตำรวจตั้งแถวสกัดกั้น ผู้ชุมนุมต้องหยุดขบวนและเจรจากับฝ่ายเจ้าพนักงานตำรวจอย่างสันติวิธี มิได้มีการฝ่าแนวกั้นในทันทีที่มาถึง แต่ระหว่างการฟังผลเจรจาเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายขึ้น ซึ่งโจทก์อ้างว่าเหตุชุลมุนดังกล่าวผู้ชุมนุมเป็นฝ่ายก่อ เพื่อต้องการก่อความวุ่นวายในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ โดยโจทก์มีพลตำรวจตรีสัณฐาน ชยนนท์ พลตำรวจตรีคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง พันตำรวจเอกสุรชัย สืบสุข พันตำรวจโทเสกสันต์ ชูรังสฤษฎิ์ พันตำรวจโททศพล เพชรพรอักษร จ่าสิบตำรวจดำรง ชื่นอารมณ์ ดาบตำรวจวิรัตน์ วีระวงศ์ เป็นประจักษ์พยาน แต่คำเบิกความของประจักษ์พยานดังกล่าวขัดแย้งมีข้อแตกต่างกันหลายประการ เริ่มตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุที่มีการสืบทราบว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเตรียมอาวุธร้ายแรงมาก่อความวุ่นวายในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ โดยพลตำรวจตรีสัณฐาน เบิกความว่า ในวันที่ 19 ธันวาคม 2545 เวลากลางคืน พยานได้รับแจ้งจากนาย
จากการตรวจค้นตามที่พยานโจทก์ทั้งสี่เบิกความมานอกจากจะไม่พบอาวุธร้ายแรงตามที่พลตำรวจตรีสัณฐานสืบทราบแล้วลักษณะเป้าหมาย และผลการตรวจค้นก็ยังแตกต่างไม่ตรงกันอีกด้วย หลังจากที่ขบวนผู้ชุมนุมเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่บริเวณสะพานจุติบุญสูง พยานได้รับรายงานจากพันตำรวจโทเสกสันต์ซึ่งติดตามผู้ชุมนุมอีกกลุ่มหนึ่งมีประมาณ 500 คน ว่าผู้ชุมนุมกลุ่มหลังนี้ที่จะมาสมทบกับผู้ชุมนุมกลุ่มแรก เพื่อก่อกวนการประชุมคณะรัฐมนตรี และกำลังเดินทางมาใกล้จะถึงแล้ว พยานเห็นว่าหากมีผู้ชุมนุมมาสมทบเพิ่มอีกเกรงว่ากำลังเจ้าพนักงานตำรวจจะต้านผู้ชุมนุมไว้ไม่อยู่ พยานจึงสั่งให้พันตำรวจเอกสุรชัย และพันตำรวจเอกคำรณวิทย์ไปแจ้งแกนนำผู้ชุมนุมว่าให้เลิกการชุมนุมมิฉะนั้นจะดำเนินการตามหน้าที่ แต่จำเลยที่๑ ใช้เครื่องขยายเสียงปลุกเร้า และมีเสียงขานรับจากผู้ชุมนุม พยานจึงสั่งให้เจ้าพนักงานตำรวจปราบจราจลเข้าสลายการชุมนุมด้วยการตั้งแถวใช้โล่ผลักดันผู้ชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมใช้หนังสติ๊กยิง และใช้ไม้คันธงตีเจ้าพนักงานตำรวจจนเกิดเหตุชุลมุนขึ้น ซึ่งข้อมูลที่พันตำรวจตรีสัณฐานอ้างว่าจะมีผู้ชุมนุมมาสมทบนั้น พันตำรวจโทเสกสันต์เบิกความว่า หลังจากผู้ชุมนุมผ่านด่านตำรวจอำเภอนาหม่อมไปแล้ว พยานคิดว่าน่าจะไม่มีเหตุรุนแรงพยานกับผู้ใต้บังคับบัญชาจึงไปรับประทานอาหารที่หลังโรงแรมเจ.บี. และเพิ่งมารู้เรื่องชุลมุนหลังจากเจ้าพนักงานตำรวจปะทะกับผู้ชุมนุมแล้ว โดยไม่ปรากฏว่าพันตำรวจโทเสกสันต์ได้ติดตามผู้ชุมนุมอีกกลุ่มหนึ่งหรือได้รับรายงานต่อพลตำรวจตรีสัณฐานว่าจะมีผู้ชุมนุมมาสมทบแต่ประการใด
นอกจากนั้นยังได้ยังได้ความจากพันตำรวจเอกสุรชัยเบิกความว่า พลตำรวจตรีสัณฐานสั่งให้เจ้าพนักงานตำรวจเข้าสลายการชุมนุมหลังจากจำเลยที่ 2 ใช้มีดพันมือพยานหลังจากที่เข้าไปยึดเครื่องขยายเสียงจากนายอรรถพล พลตำรวจตรีคำรณวิทย์เบิกความว่า ขณะพยานควบคุมแถวเจ้าพนักงานตำรวจ เพื่อมิให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนต่อไป จำเลยที่ 2 ได้มายืนข้างพยานแล้วใช้เครื่องขยายเสียงพูดปลุกเร้าให้ผู้ชุมนุมผลักดันเจ้าพนักงานตำรวจ จนผู้ชุมนุมลุกฮือเข้าหาเจ้าพนักงานตำรวจ และขว้างปาขวดน้ำกับใช้ไม้คันธงตีเจ้าพนักงานตำรวจ จ่าสิบตำรวจดำรงเบิกความว่า เมื่อผู้ชุมนุมไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง พลตำรวจตรีสัณฐานที่สั่งให้ไปประชุมกันที่ข้างธนาคาร พันตำรวจเอกสุรชัยจึงสั่งให้เจ้าพนักงานตำรวจตั้งแถวเดินหน้าผลักดันผู้ชุมนุมจนเกิดเหตุชุลมุนขึ้น และดาบตำรวจวิรัตน์เบิกความว่า เมื่อผู้ชุมนุมทำพิธีละหมาด และรับประทานอาหารเสร็จผู้ชุมนุมก็เข้าผลักดันพนักงานตำรวจทันที ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งเจ็ดปากเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้รับมอบหมายให้ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยมิให้ผู้ชุมนุมก่อความวุ่นวาย แต่ประจักษ์พยานต่างเบิกความแตกต่างกันทุกเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นโดยตลอด จึงเป็นพิรุธไม่อาจรับฟังเป็นจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง และยังไม่สมเหตุสมผลเพราะก่อนเกิดเหตุผู้ชุมนุมได้แจ้งข้อเสนอเกี่ยวกับจำนวนผู้ชุมนุม เส้นทางและสถานที่ชุมนุมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซ และโรงแยกก๊าซไทย - มาเลเซีย ต่อนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนเพื่อให้ทราบถึงผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิตของคนท้องถิ่นเท่านั้น มิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะมาก่อความวุ่นวายในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่แต่ประการใด ทั้งยังได้ความจากนายวัชระพันธ์ นายบรรจง และจำเลยที่ 1 อีกว่า ระหว่างที่ผู้ชุมนุมถูกสกัดกั้นอยู่ที่บริเวณสะพานจุติบุญสูง นายวัชระพันธ์ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาลได้เข้าเข้ามาเจรจากับนายบรรจง และผู้ชุมนุมเกี่ยวกับสถานที่ชุมนุมแล้วขอเวลา 1 ชั่วโมง เพื่อไปปรึกษานาย
นาง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)