Skip to main content
sharethis





การเมือง


นายกฯดิ้นสู้คดียุบพรรค


นายกฯครวญศาลรธน.ไม่ให้ชี้แจงคดียุบพรรคเล็งยื่นสู้ ผบ.ทอ.แนะรัฐบาลคืนอำนาจให้ประชาชน หากถูกปลดก็ยินดี เพื่อนำไปสู่ความถูกต้อง    นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เดินทางไปที่จ.นครพนมวันนี้ โดยเข้านมัสการ พระธาตุพนม ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม จากนั้นให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในคดียุบพรรคว่า ตนเองเคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน และรู้ว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายทำมาก็เป็นกระบวนการปฏิบัติ และตนเองก็กำลังยื่นคำร้องขอสู้คดี เหมือนกับเวลาที่อัยการเป็นโจทก์ เราก็ยื่นต่อศาลเราก็เป็นจำเลย บางทีเป็นจำเลยโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ และก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับการทุจริตการเลือกตั้ง ดังนั้น จึงอยากต่อสู้ในข้อเท็จจริงของกฎหมาย   แต่ได้ยินมาว่าทางอัยการไม่อนุญาตให้ต่อสู้ แต่อย่างไรก็ตาม ตนกำลังยื่นคำร้องต่อสู้คดี


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกตถึงขั้นตอนการดำเนินการคดียุบพรรคพลังประชาชนว่า มีความรวดเร็วทันใจ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวอยากจะฝากข้อคิดถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าผู้ที่จะขึ้นนั่งแท่นอำนวยความยุติธรรม ต้องมีความบริสุทธิ์สง่างามส่วนบุคคล พร้อมทั้งมีความเคารพ และศรัทธาในคำว่ายุติธรรม อย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน ส่วนตัวยังเชื่อว่าพรรคพลังประชาชน จะถูกตัดสินยุบพรรคอย่างแน่นอน


พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวว่า การบริหารของรัฐบาลขณะนี้มีความยากลำบาก พร้อมทั้งได้รับการต่อต้านจากหลายฝ่าย ฉะนั้น ทางออกที่ดีสุดของรัฐบาล น่าจะคืนอำนาจให้กับประชาชน ทั้งนี้ รัฐบาลไม่น่าจะเป็นห่วงเรื่องใด ๆ เนื่องจากอำนาจในการบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ก็เป็นบุคคลที่อยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่น่าจะต้องกลัวการเลือกตั้ง


พร้อมกันนี้เห็นว่า หากการแสดงความคิดเห็น จะทำให้ตนถูกปลดออกจากตำแหน่งก็ยินดี เนื่องจากผลของการปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความถูกต้องไม่จำเป็นต้องกลัว ส่วนกรณีการตัดสินคดียุบพรรคของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทุกฝ่ายควรรับฟังอำนาจตุลาการ


ที่มา: http://www.posttoday.com


 


รับสมัครผู้ว่าฯวันแรกหงอย!กกต.ยันตามเดิมเลือกตั้ง11มค.52


เปิดรับสมัครผู้ว่าฯกทม.วันแรกเงียบ สมัครแล้ว 7 คน "สุขุมพันธ์"เบอร์ 2 ส่วน"ลีน่าจัง"เบอร์ 3 "แก้วสรร"เผย 4 ธ.ค. สมัครชัวร์ เน้นหาเสียงแบบเรียบๆ กกต. ยันกำหนดการเดิมเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.11 ม.ค.52 "อภิสิทธิ์" มั่นใจ"สุขุมพันธ์"ชนะได้นั่งผู้ว่าฯเมืองหลวงแน่ เผยเดินหน้าหาเสียง หลัง 5 ธ.ค.นี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า คนเบื่อการเมืองมาก จึงกังวลว่าประชาชนจะไม่มาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ทั้งนี้ ทางพรรคยืนยันว่าการหาเสียง ยังคงเข้มข้น ไม่มีปัญหา โดยมั่นใจว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์   บริพัตร ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ จะได้รับชัยชนะ อย่างแน่นอน


ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ตัดสินใจยุบสภาก่อนจะมีการตัดสินคดียุบพรรคจะส่งผลกระทบอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากยุบสภาก็ไม่ขัดข้อง แต่ที่ผ่านมานายกฯ ออกมายืนยันว่า จะไม่มีการยุบสภา แต่หากไม่ตัดสินใจอะไรเลย ความเสียหายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น แต่โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร เพราะเชื่อว่าไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด และทำให้เรื่องจบลงได้


ทางด้านนายอภิรักษ์   โกษะโยธิน ให้สัมภาษณ์ว่า การหาเสียงจะเดินหน้าเต็มที่ หลังจากวันที่ 5 ธ.ค. เนื่องจากเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสถานการณ์บ้านเมืองยังคงวุ่นวาย ทั้งนี้   การหาเสียงจะมุ่งเน้นพบปะชุมชน เพื่อเข้าถึงทุกๆ คน สำหรับแนวทางการหาเสียงท่ามกลางกระแสการเมืองที่วุ่นวายนั้น นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นประธานอำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะมีการประเมินสถานการณ์และแนวทางการหาเสียงร่วมกับผู้สมัครเป็นรายวัน00...ผู้ว่าฯกทม.สมัครวันแรก 7คน


ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศการรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ศาลาว่าการ กทม. วานนี้ (30 พ.ย.) ซึ่งเป็นวันรับสมัครวันแรก ค่อนข้างเงียบเหงากว่าทุกครั้ง มีผู้สมัครเดินทางมาก่อนเวลาเลือกตั้ง 08.30 น. จำนวน 7 คน ได้แก่ นางลีนา จังจรรจา หรือลีน่า จัง ซึ่งเดินทางมาตั้งแต่ 05.45 น. พร้อมทีมงานอีก 5 คน และลงทะเบียนในเวลา 07.15 น.


ขณะที่ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมาลงทะเบียนเวลา 07.19 น. โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม.และนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค ผอ.การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. พร้อมสมาชิกพรรคเดินทางมาให้กำลังใจ ตามด้วย ร.อ.เมตตา เต็มชำนาญ หรือตู่ ติงลี่ มาพร้อมกับขบวนเชิดสิงโต ขบวนรถตุ๊กตุ๊ก พร้อมกับนำไม้เท้าสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ร. 5 และดาบหลวงปู่ฤาษีนารอด มาลงทะเบียนในเวลา 07.59 น.


นายกงจักร ใจดี นักวิชาการภูมิสารสนเทศ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้สมัครหน้าใหม่ เดินทางมาในเวลา 08.00 น. นายสุเมธ ตันธนาศิริกุล อดีตผู้สมัคร เดินทางมาพร้อมกับหมวกเปาบุ้นจิ้น มาในเวลา 08.07 น. นางธรณี ฤทธีธรรมรงค์ อดีตผู้สมัคร เดินทางมาด้วยชุดสีดำ และเครื่องประดับเพชรทั้งตัว ในเวลา 08.17 น.


เมื่อถึงกำหนดการรับสมัคร นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกทม. ในฐานะผอ.การเลือกตั้งประจำท้องถิ่น กทม. ได้ทำความเข้าใจกับผู้สมัคร โดยถือว่าผู้ที่มาก่อนเวลา 08.30 น. พร้อมกัน จากนั้นให้ผู้สมัครแต่ละคนจับสลากลำดับในการจับหมายเลข ซึ่งเป็นการจับสลากครั้งที่ 1 หลังจากนั้นจับหมายเลขผู้สมัคร เป็นการจับครั้งที่ 2 ผลปรากฏว่า นายสุเมธ ได้เบอร์ 1 ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เบอร์ 2 นางลีน่า จัง ได้เบอร์ 3 นางธรณี ได้เบอร์ 4 นายกงจักร ได้เบอร์ 5 ร.อ.เมตตา ได้เบอร์ 6 และนายอิสระ ได้เบอร์ 7


นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่น กทม. ยอมรับว่าบรรยากาศการรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่า กทม.คนใหม่ครั้งนี้ไม่ค่อยคึกคักนัก แต่ยังหวังว่าช่วงการหาเสียจะมีความน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ00...รับสมัครผู้ว่าฯวันแรกเงียบ


นายพงศ์ศักติฐ์ ปลัด กทม.ซึ่งลงตรวจความพร้อมการเปิดรับสมัครที่ห้องรัตนโกสินทร์ เปิดเผยว่าขั้นตอนการรับสมัครครั้งนี้ ไม่ต่างจากครั้งที่ผ่านมา คนที่มาถึงก่อนเวลา 08.30 น.ถือว่ามาพร้อมกันและจะใช้วิธีจับสลากเพื่อให้ได้หมายเลขในการหาเสียง จากนั้นจะตรวจสอบหลักฐาน และคุณสมบัติอย่างละเอียด หากขาดคุณสมบัติ หมายเลขนั้นจะว่างไปโดยไม่เลื่อนลำดับถัดไปขึ้นมาแทน


"การรับสมัครครั้งนี้เงียบเหงา แต่ต้องเข้าใจว่า มีองค์ประกอบจากหลายเรื่อง เชื่อว่าเมื่อรับสมัครแล้วเสร็จ และมีการลงพื้นที่หาเสียง ประกาศนโยบาย จะคึกคักมากขึ้น" นายพงศ์ศักติฐ์ กล่าว


สำหรับม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.จากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่ได้ถือฤกษ์หรือคาดหวังกับหมายเลขที่ได้ เพราะเป็นการเลือกเพียงคนเดียว ประชาชนสามารถจำหมายเลขได้ พร้อมย้ำสโลแกนคืนรอยยิ้มให้คนกรุงเทพฯ หลังจากนั้นจะลงพื้นที่ เริ่มที่ย่านฝั่งธน โดยมีแผนหาเสียงแบบคาราวานนกขมิ้นด้วย โดยจะค้างคืนในพื้นที่รอบนอก หากจำเป็นต้องหาเสียงแต่เช้า


ส่วนของพรรคพลังประชาชน ตัดสินใจไม่ส่งตัวแทนลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ในครั้งนี้ และจะประชุมหารือในเรื่องนี้ อีกครั้ง


แก้วสรร ลงสมัครผู้ว่าฯ ชัวร์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.50 น. นายแก้วสรร อติโพธิ ว่าที่ผู้สมัคร ผู้ว่าฯ กทม.ได้เดินทางมาพร้อมกับ นายขวัญสรวง น้องชายฝาแฝด โดย นายแก้วสรร กล่าวว่า เดินทางมารับใบสมัครเท่านั้น แต่จะมาสมัครอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ธ.ค. เวลา 10.00 น.พร้อมกับแถลงเปิดนโยบายหลังจากสมัครเรียบร้อยแล้ว


นายแก้วสรร เปิดเผยว่า   ตนยังไม่อยากทำอะไร แต่จะลงหาเสียงแบบเรียบๆ เน้นการรับฟังชุมชน สำหรับนโยบายตนได้เตรียมไว้ตั้งนานแล้ว แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ยึดสนามบินดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของกลุ่มพันธมิตรฯ จึงชะงัก แต่เมื่อทบทวนดูแล้วเห็นว่า การเมือง เศรษฐกิจ กำลังวิกฤต ตนอยู่ในจุดที่สามารถช่วยบ้านเมืองได้ จึงอยากเสนอทางเลือกให้กับผู้คนในยามทุกข์ยาก


ผู้สื่อข่าวถามว่า การลงสมัครในนามอิสระ จะมีปัญหาเรื่องฐานเสียงหรือไม่ นายแก้วสรร กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองแบบนี้ เวลาหาเสียงสั้น วิกฤตการเมืองมาจ่อ ปีใหม่มาคั่น สมาธิผู้คนเบื่อโลก จึงลำบากต่อผู้สมัครอิสระ แต่เมื่อทบทวนดูแล้วความเป็นอิสระอาจช่วยบ้านเมืองได้


ด้านนางธรณี ฤทธีธรรมรงค์ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 4 กล่าวถึงนโยบายหลักในการหาเสียงครั้งนี้ ว่า ตนจะลงหาเสียงในพื้นที่ ซึ่งแตกต่างจากครั้งที่แล้วที่ไม่ได้ไปหาเสียงเลยโดยจะเน้นลงชุมชนแออัดยากจน และมีความมั่นใจในการเลือกตั้งนี้ 1,000% จะไม่เน้นเมกะโปเจกต์ โดยคะแนนที่ตนจะได้รับครั้งนี้ จะมาจากธรรมะจัดสรร


กกต.ยันเลือกตั้งผู้ว่าฯตามเดิม


นายประพันธ์ นัยโกวิท คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้เดินทางมาตรวจการรับสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. พร้อมเปิดเผยว่า ในเรื่องของการเตรียมความพร้อมที่จะประกาศให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. นั้น ยังไม่มีการเลื่อนกำหนดยังคงเป็นวันอาทิตย์ที่ 11 ม.ค. 2552 เช่นเดิม และทางกกต.ก็มีความพร้อม 100 % ที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้น โดยพยายามประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ เพราะการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.นั้นเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น มีความเกี่ยวข้องโดยตรง จึงขอให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิกันให้มาก


"ผมขอยืนยันว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทาง กกต. ก็จะมีการจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 11 ม.ค. 2552 อย่างแน่นอน และจะเป็นการแสดงให้ชาวต่างชาติได้เห็นในระบอบประชาธิปไตยของเราว่า แม้เหตุการณ์ทางการเมืองจะวุ่นวายก็ยังสามารถที่จะจัดการเลือกตั้งได้ ในส่วนการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นไม่น่ามีปัญหาต่อการหาเสียงของผู้สมัคร เพราะพ.ร.ก.ฉบับดังกล่าวประกาศใช้ในในพื้นที่ ดอนเมือง และสุวรรณภูมิเท่านั้น" นายประพันธ์ กล่าว


อย่างไรก็ตาม กทม.จะยังเปิดสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการ กทม.เสาชิงช้าตามปกติ แต่หากมีเหตุการณ์อะไรรุนแรงและก่อให้เกิดผลกระทบกับการรับสมัครผู้ว่าฯ กทม.ก็อาจจะพิจารณาย้ายสถานที่รับสมัครไปที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ (ไทย - ญี่ปุ่น) ดินแดง ทั้งนี้ กทม.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินสถานการณ์เป็นระยะๆ


ที่มา: พิมพ์ไทย


 


ติงทุกฝ่ายจุดชนวนรุนแรง กมธ.แนะใช้กฎหมายเข้มกับพวกทำสังคมเดือดร้อน


นายสุระ เตชะทัต ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหาความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยที่ได้พัฒนาไปสู่การแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ทั้งที่เป็นเรื่องปกติที่คนจะมีความขัดแย้งทางความคิด แต่ต้องพิจารณาความคิดเห็นที่แตกต่าง และอยู่ร่วมกันได้ แต่ปัจจุบันความขัดแย้งได้มีการแบ่งฝ่ายเนื่องจากมีการใช้อารมณ์ ทำให้ไม่เคารพสิทธิและความคิดแต่ละฝ่าย ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ทำให้เกิดความรุนแรง อีกทั้งองค์กรต่างๆที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งได้รับผลกระทบในเรื่องความศรัทธาและความเชื่อมั่น ทั้งนักวิชาการองค์กรตรวจสอบ โดยเฉพาะนักวิชาการที่แสดงความเห็นทางการเมือง ส่วนใหญ่เสนอมุมมองด้านเดียว ทั้งที่ควรนำเสนอข้อมูลให้ครบรอบด้าน รวมทั้งมีแนวทาง กรอบการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่เสนอเพียงแค่สร้างภาพลักษณ์ นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนควรมีการวิเคราะห์ในมุมมองความไม่เหมาะสม นอกจากนี้ เหตุการณ์ในขณะนี้ขอให้ประชาชนใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้น ในการติดตามบริโภคข่าวสาร ทั้งสื่อรัฐ สื่อเอกชน รวมทั้งสื่อบางประเภทที่อาจสร้างความแตกแยกเสียหายให้เกิดขึ้นได้


นายสุระกล่าวต่อไปว่า ประชาชนที่ทำมาหากินตามปกติวิสัย ต้องได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งภาวะเศรษฐกิจในเรื่องรายได้ รวมทั้งด้านภาวะสุขภาพจิต เกิดความเครียด คนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้น หากคนกลุ่มใหญ่ได้รับผลกระทบ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมกับฝ่ายที่สร้างความเดือดร้อนต่อสังคมส่วนรวม เพื่อเป็นแบบอย่างในการเคารพกฎหมาย ลดการเผชิญหน้าหลีกเลี่ยงความรุนแรง โดยไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึก


นายสุระกล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะบอกว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ คงพูดยาก เพราะกลุ่มมวลชนที่เคลื่อนไหวก็อ้างประชาธิปไตย แต่ก็ควรคำนึงและเคารพสิทธิของฝ่ายต่างๆด้วย โดยเฉพาะตัวแทนของประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง การกดดันให้รัฐบาลยุบสภาหรือลาออก เท่ากับเป็นการปฏิเสธประชาชน เพราะการยุบสภาหรือลาออกควรเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งยังมีปฏิเสธการทำหน้าที่ ปฏิเสธอำนาจของรัฐบาลทั้งๆที่เจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ทหาร ถือเป็นมือไม้ของรัฐบาลในการทำงาน เป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมาย และการที่ประชาชนเลือกรัฐบาลมาทำหน้าที่ เมื่อรัฐบาลมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานต่อ หากมีการปฏิเสธการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐเพิกเฉย ไม่ทำอะไรเลย จะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับประเทศ และถือเป็นการปฏิเสธประชาชน จองจำอำนาจประชาชน ฉะนั้นผู้ปฏิเสธอำนาจประชาชน ควรเปิดโอกาสให้รัฐบาลปรับเปลี่ยนผู้ทำหน้าที่ เพื่อทำงานให้กับประชาชน


 


ที่มา: ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 1 ธ.ค. 255


 


ปิดไฟขนเครื่องหนี'สุวรรณภูมิ'


พันธมิตรฯ ร่อนหนังสือจี้ ทอท.ดูแลเครื่องบิน ด้าน ผอ.ทอท.ร้องขอเครื่องเปล่าออกจากสุวรรณภูมิรับคนตกค้าง   ขณะที่ "อิหร่านแอร์"   ส่งเครื่องมารับมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจญ์แล้ว ต่างชาติโวยชาวสเปนเตรียมม็อบหน้าสถานทูต


เมื่อวันที่   30 พฤศจิกายน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ทำหนังสือถึงนายเสรีรัตน์   ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โดยใจความในหนังสือระบุว่า เรามิได้ชุมนุมในพื้นที่ที่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการขึ้น-ลงของเครื่องบิน    ทั้งในส่วนของลานบิน หลุมจอด   หอบังคับการบิน   ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขึ้นหรือลงเครื่องบินของสนามบินทั้ง 2 แห่ง ทั้งนี้ ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลการขึ้น-ลงเครื่องบิน    และดูแลรักษาความปลอดภัยของเครื่องบิน   ซึ่งเป็นพื้นที่ความรับผิดชอบโดยตรง


หนังสือระบุด้วยว่า เพื่อป้องกันผู้ประสงค์ร้ายต่อเครื่องบินและสนามบิน ขอให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการป้องกันรักษาความปลอดภัยต่อเครื่องบินและสนามบินที่สนามบินดอนเมือง ประสานงานกับนายสมศักดิ์ โกศัยสุข และขอให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบที่สนามบินสุวรรณภูมิ ประสานงานกับนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์


พล.ต.จำลอง   กล่าวว่า   ในการระวังรักษาเครื่องบินที่จอดอยู่บนรันเวย์สนามบิน ทางพันธมิตรฯ ทำความตกลงกับ ทอท.เป็นหนังสือลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่า การรักษาและปกป้องเครื่องบินเป็นหน้าที่ของ   ทอท.   ซึ่งพันธมิตรฯ   จะเข้าไปทำหน้าที่นี้ไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้และไม่สามารถพกอาวุธได้ อย่างไรก็ตามขอให้   ทอท.ดูแลเครื่องบินตลอดเวลา เพราะทราบว่ามีผู้ต้องการทำให้อาคารสถานที่ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นทรัพย์สินของทางราชการได้รับความเสียหาย


ด้านนายเสรีรัตน์   กล่าวว่า   ขณะนี้มีเครื่องบินเปล่าของสายการบินต่างๆ   จอดทิ้งไว้เป็นจำนวนมากถึง   88 ลำ ซึ่งทางสายการบินต้องการนำเครื่องเปล่าเหล่านี้ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิโดยเร็วที่สุด เนื่องจากเกรงว่าตัวเครื่องบินจะไม่ได้รับความปลอดภัย   และต้องการนำเครื่องบินไปใช้รับผู้โดยสารชาวต่างประเทศที่ตกค้างอยู่ ให้สามารถเดินทางกลับประเทศได้    หากแกนนำพันธมิตรฯ ยินยอมก็พร้อมให้นำเครื่องเปล่าออกจากสนามบินได้ทันที


ผู้สื่อข่าวรายงานจากสนามบินสุวรรณภูมิว่า   เมื่อเวลา   14.30   น. เจ้าหน้าที่ ทอท.ได้นำขบวนรถบัส   15   คันมารับชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์   แต่เกือบปะทะกับการ์ดของพันธมิตรฯ เพราะคิดว่าเป็นกลลวงของตำรวจที่จะมาสลายการชุมนุม    แต่สุดท้ายทั้งหมดก็สามารถออกมาเพื่อพักรอขึ้นเครื่องที่สนามบินอู่ตะเภาได้


นางสุนันทา   วุฐิสกุล   ผู้จัดการทั่วไปบริษัทอิหร่านแอร์   ยืนยันว่า ในเวลา 24.00 น.จะพาผู้โดยสารไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินอู่ตะเภา เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยสายการบินอิหร่านแอร์   เที่ยวบินไออาร์ 809 ในเวลา 03.00 น.เพื่อไปร่วมประกอบพิธีฮัจญ์ ทั้งนี้ จะมีผู้โดยสารขึ้นเครื่องไปทั้งหมด 460 คน


สำนักข่าว   "ยูโรปาเพรส" ของสเปน   รายงานว่า สเปนเตรียมส่งเครื่องบินทหาร 2 ลำ และเครื่องบินเช่าเหมาลำของเอกชนอีก   1 ลำมายังประเทศไทย เพื่อรับพลเมืองชาวสเปนประมาณกว่า 300 คนที่ติดอยู่ตามสนามบินในกรุงเทพฯ   โดยขณะนี้มีชาวต่างชาติติดอยู่ที่สนามบินประมาณ   1 แสนคน และมีรายงานด้วยว่า   ชาวสเปนจำนวนหนึ่งมีแผนจะไปประท้วงที่หน้าสถานทูตไทยประจำประเทศสเปนในวันจันทร์ เพื่อเรียกร้องให้ช่วยเหลือในการส่งชาวสเปนกลับประเทศ


นายเอดูอาร์โด    เออร์มิตา   หัวหน้าคณะที่ปรึกษาประธานาธิบดีกลอเรีย   มากาปากัล อาร์โรโย   ของฟิลิปปินส์   เปิดเผยว่า   ประธานาธิบดีอาร์โรโยได้ขอให้นายราฟาเอล เซกิส เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย   นำชาวฟิลิปปินส์ที่ติดอยู่ที่กรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ และจัดสรรงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายให้พวกเขาเดินทางกลับไปยังกรุงมะนิลาด้วย   โดยเชื่อว่ามีชาวฟิลิปปินส์ติดค้างอยู่กว่า 1,200 คน


สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานด้วยว่า เที่ยวบินพิเศษรอบแรกของจีนได้เดินทางถึงกรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ และเมืองกว่างโจวแล้วเมื่อช่วงเช้าตรู่ที่ผ่านมา คาดว่าขณะนี้ยังมีชาวจีนตกค้างอยู่ในประเทศไทยอีกกว่า 3,500 คน


ขณะที่สถานทูตสหรัฐเรียกร้องด้วยว่า รัฐบาลไทยต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับชาวอเมริกันที่ต้องตกค้าง เช่นเดียวกับสหภาพยุโรปที่ออกแถลงการณ์กังวลต่อสถานการณ์ในไทย    พร้อมกันนี้เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมถอนตัวออกจากสนามบินโดยทันที


นายสตีเฟน   สมิธ รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าโมโหอย่างยิ่งสำหรับรัฐบาล และยิ่งน่าโมโหหนักขึ้นไปอีกสำหรับชาวออสเตรเลียที่ติดอยู่ที่นั่น รัฐบาลได้เรียกร้องให้สายการบินของไทยและการท่องเที่ยวไทย จัดเที่ยวบินพิเศษออกจากประเทศไทยและอำนวยความสะดวกให้พวกที่ติดอยู่ที่สนามบินด้วย


นายนิพนธ์    พัวพงศ์กร    ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)   กล่าวว่า หากปัญหาพันธมิตรฯ ยึดสนามบินสุวรรณภูมิยืดเยื้อจากนี้ออกไปเป็นเวลาอีก   9-10   วัน   จีดีพีไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะเหลือเพียง   1%   และฉุดจีพีดีเฉลี่ยทั้งปี 2551 ต่ำกว่าระดับ 4% ขณะที่ในปีหน้าทีดีอาร์ไอประเมินว่าการเติบโตจะอยู่ที่ระดับ   1.9% ซึ่งยังไม่รวมผลกระทบจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และในปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการทำงบประมาณขาดดุล 100,000   ล้านบาทเป็นแรงสนับสนุนเพียงตัวเดียว ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงที่มีมากกว่า


ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการขนาดเล็กในพื้นที่ ต.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ มีแนวโน้มเสี่ยงต่อการเลิกจ้างงานหรือปิดกิจการ   ซึ่งมีผลต่อแรงงาน 3-4 หมื่นคน จากตัวเลขโรงงานกว่า 10,000 แห่ง


นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยระหว่างวันที่   28-29   พ.ย.ถึงจำนวนตัวอย่าง 2,404 ตัวอย่าง พบว่าประชาชนร้อยละ 76.5 ระบุว่า เหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้ทำให้รู้สึกน่าละอาย และถูกชาวต่างชาติมองว่าประเทศไทยไม่น่าอยู่ระดับมากถึงมากที่สุด   ที่น่าเป็นห่วงประมาณครึ่งหรือร้อยละ   51.0 รู้สึกน้อยถึงไม่รู้สึกเลยว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีความสงบสุขและสันติมากที่สุด


นายสุรินทร์   พิศสุวรรณ เลขาธิการสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เข้าใจที่ไทยลังเลเรื่องจะเลื่อนการประชุมผู้นำอาเซียน   ครั้งที่ 14 เพราะเกรงจะกระทบอาเซียน โดยให้ความมั่นใจกับไทยว่า การเลื่อนประชุมจะไม่กระทบอาเซียนเท่าใดนัก


ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์เทเลกราฟของประเทศอังกฤษ   ได้ทำการจัดลำดับ   20 ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก ทั้งนี้ ประเทศไทยติดอันดับที่ 7 ซึ่งอันตรายกว่าประเทศกัมพูชา


เมื่อเวลา   19.40   น.   บรรดาสายการบินต่างๆ   อาทิ   สายการบินสยามซีเอส   ซึ่งเป็นสายการบินที่ให้บริการเครื่องบินเล็กเช่าเหมาลำ จากสุวรรณภูมิไปหัวหิน ได้นำเครื่องบินขึ้นออกจากสนามบิน จากนั้น   เมื่อเวลา 20.00 น. สายการบินบางกอกแอร์เวย์ เส้นทางสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา บินออกตามไป ซึ่งสายการบินต่างๆ ได้ทยอยนำเครื่องออกจาสนามบินด้วยการปิดไฟขณะขึ้นบิน เพื่อไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯ รู้ว่านำเครื่องบินขึ้น   ซึ่งขณะนี้เครื่องบินที่ยังค้างอยู่ในสนามบินทั้งหมด   88 ลำ


ที่มา: ไทยโพสต์


 






ต่างประเทศ


 


มือมืดถล่มมุมไบหวังสังหาร5,000ศพ


อินเดียเผยกลุ่มติดอาวุธตั้งเป้าสังหารประชาชน 5,000 คน หลังพบกระสุนปืน-ระเบิดหลงเหลือเพียบ


อาร์.อาร์. พาติล ผู้ช่วยรัฐมนตรีแห่งรัฐมหาราษฏระ ในนครมุมไบ สถานที่เกิดเหตุกลุ่มติดอาวุธบุกกราดยิง ปาระเบิด และจับตัวประกันกว่า 10 จุดทั่วเมือง เปิดเผยระหว่างแถลงข่าว ภายหลังสามารถยุติสถานการณ์ดังกล่าวว่า พบ กระสุนปืน ระเบิดมือ และวัตถุระเบิดจำนวนมากในสถานที่เกิดเหตุ


"เราพบทั้งกระสุนปืน ระเบิดมือ และวัตถุระเบิด และจากการสืบสวนเบื้องต้น เราเชื่อว่ากลุ่มติดอาวุธนี้ตั้งเป้าสังหารผู้คนมากถึง 5,000 คน" พาติล กล่าว


เหตุก่อการร้ายในนครมุมไบ เมืองท่าและศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งหนึ่งของอินเดียอย่างอุกอาจในครั้งนี้ ยังผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 195 คน และได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 300 คน โดยมีผู้เสียชีวิตเป็นชาวต่างชาติราว 30 คน


สำหรับความคืบหน้าการสืบสวนหาตัวผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ พบว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนของอินเดียยังอยู่ระหว่างการสืบหาตัวผู้กระทำผิด ซึ่งอาจจะหลบหนีไป โดยปะปนไปกับชาวอินเดียในนครมุมไบ ซึ่งมีประชากรมากถึง 18 ล้านคน   ขณะที่สมาชิกกลุ่มติดอาวุธที่ ทางการอินเดียจับกุมได้คนหนึ่งเป็นชาวปากีสถาน ทำให้อินเดียเชื่อว่ากลุ่มก่อการร้ายในปากีสถานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงในครั้งนี้


อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดี อาซิฟ อาลี ซาร์ดารี แห่งปากีสถาน ได้ให้คำมั่นว่าจะให้ความร่วมมือกับอินเดียในการสืบสวน จับกุม และ ติดตามผลอย่างเต็มที่ พร้อม ทั้งใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดจัดการ กับผู้ก่อการร้าย หากพบว่ากลุ่ม ติดอาวุธดังกล่าวมีฐานที่มั่นในปากีสถานจริง ตามที่ทางการอินเดียตั้งข้อสังเกต


รายงานแจ้งว่า เจ้าหน้าที่สืบ สวนของอินเดียพบโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์นำร่องถูกทิ้งไว้บนเรือต้องสงสัย ที่ลอยเคว้งอยู่นอกชาย ฝั่งนครมุมไบ โดยจากการตรวจสอบประวัติการโทรศัพท์ พบว่าโทรศัพท์ดังกล่าวมีการต่อสายไปยังปากีสถาน


นอกจากนี้ ซาร์ดารี ซึ่งเป็นสามีของ เบนาซีร์ บุตโต อดีตนายกรัฐมนตรีปากีสถาน ผู้ล่วงลับจากเหตุระเบิดลอบสังหารเมื่อเดือน ธ.ค. 2550 ประกาศด้วยว่า ตนเองจะทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้เพื่อกำจัดกลุ่มก่อการร้าย เพราะกลุ่มก่อการร้ายเป็นภัยต่อทั้งตนเองและประเทศปากีสถานเช่นกัน


"พวกเขาอาจจะไม่ได้มาจากกลุ่มเดียวกัน แต่แน่นอนว่าพวกเขามาจากกองกำลังและผู้ที่มีความเชื่ออย่างเดียวกัน" ผู้นำปากีสถานกล่าว


ขณะเดียวกัน ชีวราช พาติล รมว.มหาดไทย และ เอ็ม.เค. นารายานัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของนายกรัฐมนตรี มันโมฮัน ซิงห์ แห่งอินเดีย ได้ยื่นหนังสือลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อ เหตุโศกนาฏกรรมในครั้งนี้แล้ว ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชน ที่เห็นว่ารัฐบาลประสบความล้มเหลวในการเตือนภัยก่อการร้ายแก่ประชาชน


ที่มา: โพสต์ทูเดย์


 






เศรษฐกิจ


นัด กรอ.ถกด่วนกู้วิกฤติชาติ


นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยในระหว่างการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 51 ว่า ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลลบต่อประเทศอย่างมาก ทำให้รัฐบาลสั่นคลอน ขาดเสถียรภาพในการบริหารงาน ส่วนปัญหาเศรษฐกิจก็ขาดการดูแลจากรัฐบาล ทำให้ การแก้ปัญหาไม่มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญกระทบต่อการทำงานของระบบข้าราชการที่ทำงานไม่เต็มที่ เพราะหวั่นเกรงการเปลี่ยนแปลง กลัวความเสียหาย กลัวถูกฟ้องร้องจนทำให้การทำงานล่าช้า ขาดประสิทธิภาพ ขณะที่ภาคธุรกิจพบว่ามียอดขายลดลงแล้วทุกอุตสาหกรรม ทั้งภาคการผลิต อาหาร สิ่งทอ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ หรือภาคบริการท่องเที่ยว ขนส่ง โรงแรม ค้าปลีก



นายประมนต์กล่าวว่า   วันที่   1   ธ.ค.นี้   นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรียังได้เชิญประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) เป็นการด่วน ที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อหารือถึงผลกระทบของการปิดสนามบิน และแนวทางการแก้ปัญหา โดยนอกจากความเสียหายในการท่องเที่ยว และการขนส่งทางอากาศแล้ว ภาพพจน์ของประเทศก็เสียหายไปด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงการลงทุนในอนาคต เพราะต่างชาติจะมองว่า เมื่อไทยปล่อยให้คนกระทำไม่ถูกกฎหมาย ก็จะขาดความเชื่อถือ


ด้านนายสุรินทร์ โตทับเที่ยง รองประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าวว่า   การปิดสนามบิน ส่งผลให้การตกลงทางธุรกิจกับต่างชาติต้องเลื่อน ออกไปหลายสัญญา   โดยเฉพาะลูกค้าใหม่อาจขาดความมั่นใจ และเลิกการสั่งซื้อได้ แต่หากเป็นลูกค้าเก่าอาจไม่เสียหายมาก   แค่ชะลอการสั่งซื้อสินค้าเท่านั้น สิ่งที่น่าห่วงคือ การส่งออกผักผลไม้   ที่ตกค้างอยู่ที่สนามบินจำนวนมาก และเน่าเสียง่าย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 1 ธ.ค.นี้ นอกจากนายโอฬารจะเชิญประชุม กรอ.เป็นการด่วนแล้ว ยังได้เชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุกกลุ่มมาหารือ เพื่อออกแพ็กเกจท่องเที่ยวครั้งใหญ่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เชื่อมั่นและกลับมาเที่ยวเมืองไทยเช่นเดิม หลังพบว่าผลกระทบจากการปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรรณภูมิ ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเสียหายหนัก อีกทั้งยังเกิดขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ที่สร้างรายได้ให้ประเทศถึง 60-70% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด


ทั้งนี้ หากไม่เร่งวางแนวทางและให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ เพื่อวางแผนดึงดูดนักท่องเที่ยวแบบมีประสิทธิภาพแล้ว จะทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวปี 52 ลดลงจนทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้มาก จนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะรายได้จากการส่งออกซึ่งเป็นรายได้ หลักของประเทศ มีแนวโน้มชัดเจนว่าลดลงจากปี 51 กว่าเท่าตัว โดยล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกปี 52 จะขยายตัวเพียง 7%


ดังนั้น จึงต้องเร่งวางแนวทางช่วยกันทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อกู้วิกฤติกลับคืนมาให้ได้ โดยนายโอฬารจะรับฟังปัญหาและความต้องการของเอกชนว่าจะให้ภาครัฐเข้าไปช่วยเหลือด้านใดเป็นกรณีเร่งด่วน รวมทั้งช่วยกันกำหนดรูปแบบของแพ็กเกจท่องเที่ยวให้ดึงดูดนักท่องเที่ยว เพราะฤดูท่องเที่ยวไทยยังคาบเกี่ยวไปถึงไตรมาสแรกของปี 52 หากไม่วางแผนรองรับเมื่อสถานการณ์คลี่คลายจะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสและรายได้อย่างหนัก


 


ที่มา: http://www.thairath.co.th


 


ดาหน้าลดเครดิตไทย


ทริสฯ หวั่นวิกฤตการเมือง ส่งผลให้สถาบันจัดอันดับโลกจ่อลดเครดิตประเทศลงมา เป็นลบ


นายวรภัทร โตธนะเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถาบันจัดอันดับระดับโลกได้ทยอยปรับลดอันดับของไทยลงไปบ้างแล้ว และมีแนวโน้มว่าผลของความขัดแย้งทางด้านการเมืองที่ยังรุนแรงเพิ่มขึ้น จะทำให้คะแนนและเครดิตประเทศถูกปรับลดลงไปอีกในปี 2551


บริษัท เอส แอนด์ พี ซึ่งได้ จัดอันดับเครดิตของไทยไว้ที่ "BBB-" ก็ได้ระบุเมื่อไม่นานนี้ว่าอาจปรับ แนวโน้มเป็น "ลบ" ได้ ถ้าสถานการณ์ทางการเมืองของไทยเริ่มกระทบกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในวงกว้าง


"เหตุการณ์ในขณะนี้ผมมองว่ามีโอกาสสูงที่ไทยจะถูกปรับลดเครดิตลง เพราะปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมได้เสื่อมถอยลงไปอย่างมาก" นายวรภัทร กล่าว


ผู้บริหารของทริสเรทติ้งให้ข้อมูลว่า นอกจากบริษัท อาร์ แอนด์ ไอ ของญี่ปุ่น ได้ปรับลดแนวโน้มเครดิตของไทยจากเป็นบวกมาเป็นมีเสถียรภาพแล้ว เพิร์ก (PERC) ก็ได้จัดอันดับความเสี่ยงทางการเมืองและสังคมของไทยให้สูงเป็นอันดับสองรองจากอินเดียแล้ว


ธนาคารโลกที่เคยให้คะแนนเสถียรภาพทางด้านการเมืองของไทยเพียงแค่ 16.8 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ก็อาจลดคะแนนของไทยลดต่ำลงเหลือต่ำกว่า 10 ก็เป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้คนไทยมีต้นทุนที่สูงขึ้นในแทบทุกด้าน


นายวรภัทร กล่าวว่า จากการตรวจสอบธุรกิจภาคเอกชนกว่า 100 บริษัท พบว่าที่ผ่านมายังพอประคองตัวไปได้ดีพอสมควร และส่วนใหญ่ยังพอทำกำไรได้ ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบทางการเมืองกว่า 3 ปี


อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งได้ติดตามลูกค้าทุกรายอย่างใกล้ชิดทุกเดือนโดยเฉพาะความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ปรากฏว่าส่วนใหญ่ยังชำระหนี้ระยะสั้นได้ แม้บางรายมีปัญหา แต่ถ้าการเมืองยังเลวร้ายและรุนแรงอย่างที่เป็นอยู่ อีกไม่นานภาคเอกชนจะค่อยๆ หมดแรงลง ประชาชนจะได้รับผลกระทบกันทั่วหน้าแน่


"ถ้ายังรุนแรงโอกาสที่สถาบันจัดอันดับต่างๆ จะปรับลดเครดิตประเทศลงไปอีกมีมาก" นายวรภัทร กล่าว


ที่มา: โพสต์ทูเดย์


"พาณิชย์"ตั้งศูนย์ช่วยพัฒนาธุรกิจ


 นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดี กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมได้เตรียมมาตรการรองรับกรณีที่ภาคธุรกิจอาจมีการปลดคนงานในปีหน้าจำนวนมาก จากภาวะเศรษฐ กิจถดถอย โดยได้ตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาทางธุรกิจ ซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่ประชาชนที่สนใจทำธุรกิจ


ทั้งนี้ ยังจะเน้นการจัดฝึกอบรมประชาชนให้ทำธุรกิจเป็น เริ่มตั้งแต่ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรจนสามารถทำธุรกิจได้ ตลอดจนให้คำแนะนำสำหรับ ผู้ต้องการเริ่มต้นในธุรกิจแฟรนไชส์ด้วย เนื่องจากเป็นโอกาสที่ดีในภาวะปัจจุบันสำหรับผู้ที่ต้องการมีกิจการของตัวเอง โดยสอบถามได้ที่สายด่วนกรม 1570


นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายกระตุ้นให้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ให้ปรับตัวรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเน้นให้มีการปรับตัวด้านการบริหารจัดการ ลดค่าใช้จ่าย และลดต้นทุนด้านต่างๆ รวมถึงการจัดทำบัญชีอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะ ทำให้รู้ว่าค่าใช้จ่ายส่วนใดที่ไม่จำเป็นและประหยัดได้


ทั้งนี้ ในเบื้องต้นผู้ประกอบการควรต้องปรับปรุงสินค้าให้ทันสมัย มีดีไซน์แปลกแตกต่างจากผู้อื่น และมี นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้า และทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้


"กรมเคยให้ความรู้กับผู้ประกอบการรายหนึ่ง โดยให้จัดสต๊อกสินค้าใหม่ ซึ่งช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้ถึง ปีละ 25 ล้านบาท จากยอดขายประมาณ 80 ล้านบาท หรือ 1 ใน 3 ทำให้มีเงินเพิ่มขึ้นมาก รวมถึงสอน ให้จัดทำบัญชีใหม่ เพราะเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ไม่สนใจการทำบัญชี หาก ทำได้ดีจะรู้ว่าค่าใช้จ่ายส่วนใดตัดทอนได้ ทำให้มีเงินทำธุรกิจเพิ่มขึ้น" นาย คณิสสร กล่าว


สำหรับผู้ประกอบการทั่วไป หากยังปล่อยให้ทำธุรกิจแบบเดิมๆ ต่อไปจะอยู่ไม่รอด โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ต้องวางแผนรับมือกับภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น หากไม่รู้จะ ทำอย่างไรก็มาปรึกษากรมได้ทันที


อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าส่งผลให้มีการจดแจ้งยกเลิกบริษัทเพิ่มขึ้น หรือจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ลดลงหรือไม่ ซึ่งต่างจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจไทยเมื่อปี 2540-2541 ที่มีการแจ้งยกเลิกบริษัทเพิ่มขึ้นสูงมาก และจดทะเบียนจัดตั้งใหม่แทบไม่มีเลย ซึ่งคาดว่าภาพที่ชัดเจนจะปรากฏในช่วงปีหน้ามากกว่า


ทั้งนี้ แม้หลายฝ่ายจะมองว่า กลุ่มเอสเอ็มอีจะได้รับผลกระทบก่อนธุรกิจรายใหญ่ แต่กรมเห็นว่ากลุ่มเอสเอ็มอีเป็นกลุ่มที่สามารถปรับตัวได้เร็ว และผันไปทำธุรกิจอื่นได้เร็วกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ที่จะได้รับผลกระทบจริงๆ อาจมีเพียงบางส่วนเท่านั้น


ที่มา: โพสต์ทูเดย์


ททท.เบรกโรดโชว์นอกประเทศยาว


นายสันติชัย เอื้อจงประสิทธิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จะหยุดการเดินสายนำเสนอข้อมูลสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว (โรดโชว์) และการร่วมงานขายสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว (เทรดโชว์) ในต่างประเทศ ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 51 จนถึง ก.พ. 52 สำหรับงานที่ยังไม่ได้ตกลงจ่ายเงินจองสถานที่จัดไว้ เช่น ที่อิหร่าน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา เพราะเห็นว่าหากเดินสายโรดโชว์และเทรดโชว์ช่วงนี้คงไม่ได้ประโยชน์ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจดจำกับภาพการปิดสนามบินในไทย ทำให้ไม่กล้าเดินทาง ส่วนงานโรดโชว์ เทรดโชว์ที่ ททท. ตกลงจองสถานที่ไว้แล้ว ก็ยังต้องไป เช่น งานลักเซอรี่ ทราเวลมาร์ท ซึ่งจัดที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส


นอกจากนี้ ยังสั่งให้หยุดจัดทำป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ รวมทั้งสื่อโฆษณาประเภทอื่นที่ใช้สำหรับทำตลาดต่างประเทศ เพราะถ้าออกโฆษณาช่วงนี้คงไม่ได้ผลเช่นกัน ทั้งนี้ ททท.จะมั่นใจเริ่มเดินสายโรดโชว์และเทรด โชว์ต่อเมื่อสถานการณ์ไม่สงบทุกอย่างจบลง มีรัฐบาลใหม่ที่มีความมั่นคง มีแนวทางการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ชัดเจน ทำให้เกิดความมั่นใจได้ในสายตาต่างชาติ


นายสันติชัยยังกล่าวว่า ปกติช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) เดือน พ.ย.-มี.ค. จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเฉลี่ยเดือนละ 900,000 คน แต่เมื่อมีเหตุการณ์ปิดสนามบินเกิดขึ้น เชื่อว่ายอดนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นจะหายไป 50% เมื่อเทียบกับช่วงปกติ โดยเดือน พ.ย.คงไม่หายมากนัก แต่เดือน ธ.ค. ถึงแม้จะมีการเปิดสนามบินตามปกติแล้ว แต่นักท่องเที่ยวจะยังหยุดเดินทางแน่นอน ซึ่งน่าจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวหายไปไม่ต่ำกว่า 70% ส่วนที่เคยชักชวนให้ตระกูลแซ่ต่างๆของจีนมาจัดประชุมตระกูลในไทย และมีบางตระกูลวางแผนมาประชุมเดือน ธ.ค.นี้ ก็คาดว่าจะยกเลิกมาแน่นอน


ที่มา: http://www.thairath.co.th

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net