ชำนาญ จันทร์เรือง
นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา ไม่เคยมีความแตกแยกในหมู่ประชาชนเป็นสองฝักสองฝ่ายที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่จะใช้ในการปกครองประเทศเหมือนกับเหตุการณ์ที่จะมีการลงประชามติในวันที่ 19 สิงหาคม 2550 นี้
ผู้ที่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่จะให้มีการลงประชามติ ก็มองว่าผู้ที่คัดค้านนั้นไม่เห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง บ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว น่าจะรับๆ ไปเสียจะได้มีการเลือกตั้งเสียที บกพร่องอย่างไรค่อยไปคิดอ่านแก้ไขในภายหลัง
ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มองว่าผู้ที่จะไปรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่รู้เท่าทันการหมกเม็ดของผู้ร่างฯ โดยถูกชักจูงและเป่าหูจากสื่อมวลชนของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
อย่างไรก็ตาม การลงประชามติที่จะเกิดขึ้นนี้ ผลที่ตามมาไม่ว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญนี้ ย่อมจะมีทั้งที่เหมือนกันและแตกต่างกัน
ผลที่เหมือนกัน
ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้จะผ่านหรือไม่ผ่านประชามติ
1) มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน กรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติก็ดำเนินการตามร่างฯต่อไป กรณีที่ไม่ผ่านประชามติรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 49 กำหนดให้ คมช.และ ครม.หยิบรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งมาปรับปรุงแล้วประกาศใช้ ซึ่งหัวใจของรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยทุกฉบับก็คือการเลือกตั้ง และเชื่อว่า คมช.และ ครม.คงไม่โง่เขลาหรือบ้าบิ่นพอที่จะหยิบรัฐธรรมนูญฉบับที่มีมาตรฐานต่ำกว่าร่างรัฐธรรมนูญปี 50 มาใช้เป็นแน่ เพราะขนาดว่าร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ที่ผู้ร่างฯ เชื่อว่าดีกว่าปี 40 ยังไม่ผ่านเลย เว้นเสียแต่ว่าอยากจะเจริญรอยตามพม่าก็เป็นเวรเป็นกรรมของประเทศไทยที่จะต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อกันอีกเป็นแน่
2) กฎอัยการศึกก็จะดำรงคงอยู่ต่อไปเพราะการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่เกี่ยวกับการยกเลิกหรือคงไว้ซึ่งกฎอัยการศึก เพราะเป็นเรื่องของการใช้อำนาจของทหารโดยเฉพาะ ใครที่หลงละเมอเพ้อพกว่าหากรับร่างรัฐธรรมนูญแล้วกฎอัยการศึกจะหมดไปจาก 35 จังหวัด หรือเกือบครึ่งประเทศนั้น คงเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ยิ่งรัฐธรรมนูญผ่านก็ยิ่งต้องคงไว้เพื่ออ้างในการควบคุมฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยที่จะมีการเคลื่อนไหวจะด้วยเหตุอันใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลการลงประชามติที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นกลางเพราะผู้ร่างฯเป็น 2 ใน 5 ของ กกต. ผู้ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการลงประชามติเสียเอง และยิ่งถ้าร่างรัฐธรรมนูญฯ ไม่ผ่านก็ยิ่งต้องยังคงกฎอัยการศึกไว้เพื่อปกป้องตัวเองอยู่ดี ด้วยเหตุผลแห่งความมั่นคงด้านการทหาร
อย่างไรก็ตาม ผลที่ตามมาภายหลังการลงประชามติมิใช่ว่าจะมีแต่ผลเสียอย่างเดียว ผลดีที่เกิดขึ้นไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านไม่ผ่านก็ตามก็คือการเรียนรู้ทางการเมืองของคนไทยมีมากขึ้น อย่างน้อยก็มีร่างรัฐธรรมนูญไว้อ่านเล่นกันครัวเรือนละหนึ่งเล่ม หากไม่ไปชั่งกิโลขายหรือใช้มวนใบยาสูบเพื่อสูบเป็นบุหรี่เล่นไปเสียก่อน
ผลที่แตกต่างกัน
กรณีร่างรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติ
1) ระบอบทหารและระบอบอำมาตยาธิปไตยจะอยู่คู่กับประเทศไทยไปอีกนานแสนนาน
2) รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะอ่อนแอตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอภิชนและขุนนางผ่านทางวุฒิสภาและศาล การเลือกตั้ง ส.ส., ส.ว. แบบใหม่ทำให้การเลือกตั้งล่าช้า ประชาชนเกิดความสับสน และสิ้นเปลืองงบประมาณ อีกทั้งการกำหนดเขตเลือกตั้ง ส.ส.เขตละ 3 คน ทำให้เกิดรัฐบาลผสม มีหลายพรรค ฝ่ายบริหารอ่อนแอ มีโอกาสที่จะถูกปฏิวัติรัฐประหารได้อีก ด้วยเหตุผลว่านักการเมืองทะเลาะกันและการบริหารบ้านเมืองไม่มีประสิทธิภาพ
3) ทำให้การปฏิวัติรัฐประหารในอนาคตเป็นเรื่องชอบธรรมเพราะมีบทบัญญัตินิรโทษกรรมในร่างรัฐธรรมนูญฯมาตรา 309 ที่เชื่อมโยงไปยังมาตรา 37 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี 49 ที่บัญญัติว่าบรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจ การปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ฯลฯ ไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดกฎหมาย ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น กรณีคาร์บอมบ์ก็อาจจะกลายเป็นคาร์บ๊องไปเลยก็ได้ หากอ้างว่าได้กระทำเนื่องในการยึดอำนาจครั้งนี้ เพราะปรากฏตามข่าวสื่อมวลชนว่าผู้ต้องหาตัวใหญ่ๆ รายหนึ่งบอกว่าหากทำคาร์บอมบ์ไม่สำเร็จแผนต่อไปก็คือการทำรัฐประหารนั่นเอง
3) กฎหมายที่ให้อำนาจฝ่ายทหารเหนือฝ่ายอื่นไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือตำรวจก็จะติดตามมาเป็นชุดๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯที่จ่อคิวพร้อมที่จะคลอดตลอดเวลา
4) งบประมาณด้านทหารและความมั่นคงจะเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เพราะเพียงระยะเวลา 2 ปี หลังรัฐประหารฯ(ปี งบฯ. 50 และ 51) งบฯทหารเพิ่มขึ้นแล้วถึง 57,064 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 66.40 เมื่อเทียบกับ งบฯปี 49 ซึ่งนอกเหนือจาก งบฯผูกพันอีก 4 ปีๆ ละไม่ต่ำกว่า 140,000 ล้านบาท
กรณีร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการลงประชามติ
1) ทำให้พัฒนาการทางการเมืองที่ต้องหยุดชะงักลงดำเนินการต่อไปได้ เพราะจะเป็นจุดเริ่มต้นของการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง
2) ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการแก้ไขปัญหาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้นต้องแก้ด้วยวิถีทางประชาธิปไตยเท่านั้น มิใช่แก้ด้วยการใช้ปืนและรถถังเข้ายึดอำนาจ
กล่าวโดยสรุปก็คือ หากท่านเชื่อว่าการปกครองบ้านเมืองนั้นต้องมาจากชนชั้นนำและข้าราชการที่เชื่อว่าเป็นผู้ที่มีวิชาความรู้สามารถปกครองบ้านเมืองแทนเราได้ ก็ไปลงมติ เห็นชอบ แต่หากท่านเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องของประชาชนทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจนทุกคนมีสิทธิ์ มีเสียงเท่ากัน ก็ไปลงมติ ไม่เห็นชอบ ก็เท่านั้นเอง ใช่ไหมครับ
-----------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 15 สิงหาคม 2550