Skip to main content
sharethis

ภาสพงษ์ เรณุมาศ


เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 5 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ[1]


                       


ตามที่สภาร่างรัฐธรรมนูญ ประชุมเมื่อวันที่ 6 ก.ค. 50 มีมติรับร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 3 วาระ ด้วยคะแนนเสียง 98 จากจำนวนเต็ม 100 คน ซึ่ง 2 คะแนนที่หายไป ก็มิได้เกิดจากการงดออกเสียงหรือออกเสียงคัดค้านแต่อย่างใด แต่เนื่องจากสมาชิกท่านหนึ่งเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนอีกท่านหนึ่งเข้ามาร่วมประชุมไม่ทัน


 


เนื่องจากระยะเวลาลงมติ ใช้เวลาเพียง 30 นาที โดยการประชุมในครั้งนั้นมีมติให้วันที่ 19 ส.ค.50 เป็นวันลงประชามติ รับ หรือ ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ


 


จากจุดกำเนิดดังกล่าว ก่อให้เกิดปมขัดแย้งในทางสังคมและทางการเมือง ออกมาหลายฝ่าย อาทิ


 


1. ฝ่ายที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยมิต้องพิเคราะห์ถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ


ฝ่ายนี้เห็นว่า กระบวนการได้มาของรัฐธรรมนูญไม่ถูกต้อง ที่มาของสนช.ไม่ถูกต้อง ไม่เชื่อมโยงกับประชาชน บ้างก็อ้างหลักต้นไม้มีพิษ ในทางกฎหมายบ้าง บ้างก็ไม่ชอบใจนโยบายของรัฐบาล บ้างก็ไม่ชอบการรัฐประหาร


 


กลุ่มที่เสนอแนวคิดนี้ จะเห็นได้จากกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยชื่อดังบางท่าน กลุ่มอำนาจเก่า และกลุ่มที่เรียกร้องในท้องสนามหลวง จนปัจจุบันกลายเป็นกลุ่มดาวกระจาย


 


2. ฝ่ายที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องด้วยพิเคราะห์ถึงข้อดี ข้อเสีย รายมาตราแล้ว


เห็นว่ารัฐธรรมนูญที่กำลังร่างอยู่ มีลักษณะถอยหลังมากกว่าที่จะเดินหน้า อาทิเช่น การบัญญัตินิรโทษกรรมลงในรัฐธรรมนูญ อันเสมือนการยอมรับการรัฐประหารเป็นวิถีทางหนึ่งอันชอบด้วยรัฐธรรมนูญ บ้างก็อ้างว่าเป็นการร่างในลักษณะเพิ่มบทบาทให้กับภาคราชการ จนถอยหลังไปสู่ระบบเจ้าขุนมูลนาย บ้างก็อาศัยมาตราที่ฝ่ายตนเองไม่ได้รับผลประโยชน์ มาเป็นข้ออ้างในการไม่รับทั้งหมด บ้าง เช่น กรณีการไม่บรรจุพระพุทธศาสนา ในร่างรัฐธรรมนูญ


 


3. ฝ่ายที่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยมิต้องพิเคราะห์ถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ


กลุ่มนี้เห็นว่า ประเทศประสบปัญหาและทางตันมามากพอแล้ว จึงควรจะหยุดการสร้างปัญหา บ้างก็อ้างว่าเพื่อเป็นการถวายในหลวงบ้าง และก็อีกนานาจิตตัง


 


กลุ่มคนเหล่านี้ จะเห็นได้จาก กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มพรรคการเมืองบางพรรค กลุ่มที่ไม่ชอบอำนาจเก่า กลุ่มที่สนับสนุนนโยบายและการทำงานของรัฐบาล และของคมช. สุดท้าย


 


4. ฝ่ายที่รับร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องด้วยพิเคราะห์ถึงข้อดีข้อเสียแล้ว


เห็นว่ายังมีส่วนดีอยู่บ้าง ช่วยป้องกันการคอรัปชั่นได้ส่วนหนึ่ง ขจัดปัญหากระบวนการสรรหาในองค์กรอิสระ มีระบบตรวจสอบที่นำระบบศาลเข้ามาช่วยมากขึ้น สิทธิและเสรีภาพของประชาชนมีการบัญญัติครอบคลุมและแก้ปัญหาการบังคับใช้ได้มากขึ้น


 


กลุ่มนี้จะเห็นได้เป็นการทั่วไปในลักษณะทางสายกลาง


 


 


จากปมขัดแย้งดังกล่าว ทำให้การลงประชามติ รับ หรือ ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ กลายเป็นจุดสุดท้ายหรือทางเดินสุดท้ายในการชี้ขาดหรือการแสดงความต้องการของคนบางกลุ่ม จนกลายเป็นเครื่องมือในการต่อรองอย่างหนึ่ง อันบิดเบือนไปจากเจตนารมณ์ของการลงประชามติในการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ อันมีจุดประสงค์ที่ต้องการให้ประชาชนพิจารณาถึงเนื้อหาของร่างฯ ว่ามีความเหมาะสมในการปกครองหรือไม่ มิได้ให้แสดงออกถึงการเลือกข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


 


ดังนั้น จากจุดนี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงหลักการและแนวคิดในการลงประชามติ หรือ Referendum ของไทย และของต่างประเทศ ว่ามีที่มาอย่างไร และแนวคิดดังกล่าวจะตอบโจทย์ปัญหาที่เกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมให้กับบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น


 


 


1. แนวคิดเรื่องการออกเสียงประชามติ (Referendum)


ในประเทศต่างๆ ที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (Democracy System) ที่มีการปกครอง "โดยประชาชน" แล้ว จะเห็นได้ว่า ประชาธิปไตยนั้น มีอยู่ 2 รูปแบบที่แตกต่างกัน


 


รูปแบบแรก เรียกว่า ประชาธิปไตยทางตรง (Democracy Direct) และรูปแบบที่สอง เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Democracy Representative) โดยประชาธิปไตยทางตรงจะเป็นรูปแบบที่เน้นการมีส่วนร่วมทางตรงของพลเมืองทุกคนในการใช้อำนาจทางการเมือง ในขณะที่รูปแบบที่สอง คือ ประชาธิปไตยแบบตัวแทนนั้นจะเป็นรูปแบบที่อำนาจทางการเมืองถูกมอบหมายให้ตัวแทน ที่ได้รับการเลือกตั้งจากพลเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าว และจะต้องรับผิดชอบในการดำเนินการของตนเอง[2]


 


ประชาธิปไตยทางตรงนั้น มีที่มาย้อนหลังไปได้ถึงสมัยกรีกโบราณ หรือเมื่อประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเธนส์ (Athens) และรัฐอื่นๆ ของกรีก ทั้งนี้ เนื่องจากแต่ละรัฐของกรีกเป็นรัฐขนาดเล็ก มีประชาชนไม่มาก และประชาชนส่วนใหญ่มีการศึกษาในระดับค่อนข้างดี ดังนั้น จึงสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองในการกำหนดมาตรการในการปกครองตนเองได้ โดยประชาชนทั้งหมดของแต่ละรัฐจะเป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครองโดยตรง ด้วยการประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาตัดสินปัญหาต่างๆ[3] ซึ่งแนวคิดดังกล่าว ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน


 


2. ความหมายของคำว่า "ประชามติ"


คำว่า "ประชามติ" หรือ Referendum หรือบางรัฐเรียกว่า Plebiscite มีรากฐานมาจากภาษาลาติน (Latin) ที่เรียกว่า Plebiscita ซึ่งหมายถึง การลงคะแนนเสียง หรือการลงคะแนนชี้ขาด โดยประชาชนทั่วไปเป็นผู้ชี้ขาดในการยอมรับหรือปฏิเสธ ข้อเสนอใดข้อเสนอหนึ่งของรัฐ อาทิเช่น การลงประชามติรับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือการลงประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (Constitution amendment) หรือกฎหมาย หรือการลงประชามติเพื่อกำหนดแนวทางในการปกครองประเทศ


 


จึงถือได้ว่าการลงประชามติ เป็นประชาธิปไตยทางตรงแนวหนึ่ง และเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบในการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย นอกจาก การเลือกตั้งโดยทั่วไป ( General Election) การเลือกตั้งทางอ้อม (Indirect Election) หรือการเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นเพื่อจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง (Local Election)


 


3. การลงประชามติในประเทศต่าง ๆ


 


ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า การลงประชามติได้แพร่หลายไปสู่หลายประเทศ (Referendums by country) ในการจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจปกครองประเทศหรือออกกฎหมาย ซึ่งมีมากกว่า 13 ประเทศ เช่น ประเทศออสเตรเลีย แคนาดา อิหร่าน ชิลี ไอร์แลนด์ อิตาลี นิวซีแลนด์ โรมาเนีย เซอร์เบีย สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ บราซิล โครเอเชีย ฝรั่งเศส เปอร์โตริโก (Pureto Rico) อังกฤษ หรือแม้แต่กระทั่งในภาคพื้นเอเชียเอง เช่น ประเทศสิงคโปร์ [4] ซึ่งพอจะยกตัวอย่างได้ ดังนี้


 


            3.1 ประเทศบราซิล


            ในประเทศบราซิล ได้มีการนำเสนอโดยรัฐบาลให้ประชาชนลงประชามติ ในเรื่องการอนุญาตให้มีการขายอาวุธปืน (Firearms) หรือการส่งออกไปนอกประเทศ โดยมีจุดประสงค์ เพื่อลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการใช้อาวุธดังกล่าว ในประเทศตนเอง โดยใช้ชื่อโครงการว่า "โครงการปลดอาวุธ หรือลดอาวุธ" (Project disarmament) ซึ่งก็มีผู้โหวตให้ความยินยอมถึง 122 ล้านคน เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2005


            3.2 ประเทศสเปน


            ในปี ค.ศ. 1976 รัฐบาลของประเทศสเปนจัดการลงประชามติของประชาชนเรื่องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง ภายหลังที่เกิดการเสียชีวิตของ Francisco Franco ซึ่งผลการลงประชามติดังกล่าว ปรากฏว่าชาวสเปน (Spaniards) เลือกที่จะเปลี่ยนแปลง ถึง 94% และอีกครั้งหนึ่ง คือ การลงประชามติในการเข้าเป็นสมาชิกของนาโต้ (NaTo) ในปี ค.ศ. 1986


            3.3 ประเทศเวเนซูเอล่า


            ในประเทศเวเนซูเอล่าเอง ก็มีการจัดประชามติในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ Hugo Chavez ว่าจะให้ดำรงตำแหน่งต่อไปหรือไม่ เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2004 ผลการลงประชามติดังกล่าว ปรากฏว่า ชาวเวเนซูเอล่า ประมาณ 59% หรือกว่า 5 ล้านแปดแสนคน ไม่เลือก Chavez ส่วนอีก 42 % หรือกว่า 3 ล้านเก้าแสนคน ยังคงเลือก โดยมีผู้ Non-Voting ถึง 30%


            3.4 ประเทศฝรั่งเศส


            ในประเทศฝรั่งเศสเอง ก็มีการกำหนดวิธีการลงประชามติไว้ ในกรณีที่เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องได้รับฉันทานุมัติจากเสียงส่วนใหญ่ในสภา ที่เรียกว่า Super - Majority in Parliament หรือมิฉะนั้น ก็มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในการลงประชามติ


            3.5 ประเทศสหรัฐอเมริกา


            ในประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีระบบการออกเสียงประชามติมาร่วม 200 ปี โดยส่วนใหญ่จะเป็นการออกเสียงประชามติระดับมลรัฐ เนื่องด้วยสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ และประกอบด้วยมลรัฐ เป็นจำนวนมาก แต่ละมลรัฐต่างก็มีรัฐธรรมนูญเป็นของตนเอง ดังนั้น การออกเสียงประชามติของประชาชนในแต่ละมลรัฐ จึงเป็นเรื่องที่เคยชิน และมักจะมีการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญ อยู่บ่อยๆ ในแต่ละมลรัฐ


 


4. การลงประชามติในประเทศไทย


สำหรับประเทศไทยนั้น นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยก็เข้าสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งประเทศไทยเองก็เคยนำเอาระบบประชาธิปไตยโดยตรงมาใช้เป็นส่วนเสริมอยู่บ้าง


 


โดยจากรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจำนวนทั้งหมด 17 ฉบับ ปรากฏว่ามีรัฐธรรมนูญจำนวน 6 ฉบับ ที่กำหนดให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจอธิปไตยได้ด้วยวิธีการออกเสียง นั่นคือ รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2492 พ.ศ. 2511 พ.ศ. 2517 พ.ศ. 2534 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2539) พ.ศ. 2540 และฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2549 อันเป็นรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว


 


ซึ่งความหมายของ การแสดงประชามติ ตามแบบไทยๆ คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน ในการเข้าร่วมในคำเสนอที่ฝ่ายปกครองเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น แต่ความคิดเห็นจะผูกพันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ ดุลพินิจของฝ่ายปกครอง และกฎหมายบัญญัติ


 


            4.1 ประชามติในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2492 พ.ศ. 2511 และฉบับปี พ.ศ. 2517


            ทั้ง 3 ฉบับ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน โดยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติไว้ว่า หากพระมหากษัตริย์ทรงเห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำโดยรัฐสภาและนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยฯ กระทบถึงประโยชน์ได้เสียสำคัญของประเทศ หรือประชาชน และทรงพระราชดำริเห็นสมควรให้ประชาชนได้วินิจฉัย พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะให้ประชาชนทั่วประเทศออกเสียงเป็นประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบด้วยร่างรัฐธรรมนูญนั้น


            ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าว ไม่ปรากฎว่ามีการนำออกมาใช้ เพื่อให้ประชาชนออกเสียงประชามติ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ แต่อย่างใด


            4.2 ประชามติในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2534 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2539)


            การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2539 มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาทำการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยกำหนดไว้ให้ประชาชนสามารถออกเสียงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ หากรัฐสภาไม่ให้ความเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญนั้น แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ รัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญกระบวนการออกเสียงประชามติจึงไม่เกิดขึ้น


            4.3 ประชามติในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2540


            เรื่องระบบการออกเสียงประชามติ บัญญัติไว้อีกครั้งหนึ่งในมาตรา 214 โดยกำหนดเหตุที่จะต้องมีการออกเสียงประชามติไว้ว่าจะต้องเป็นกิจการในเรื่องที่อาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติหรือประชาชน โดยให้เป็นดุลพินิจของคณะรัฐมนตรีที่จะจัดให้มีการออกเสียงประชามติได้ และนอกจากนี้ ผลของการออกเสียงประชามติก็ไม่ผูกพันรัฐบาลที่จะต้องปฏิบัติตามเพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ให้ผลของการออกเสียงประชามติเป็นเพียงการให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรี เท่านั้น


            4.4 ประชามติในรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน นั่นคือ พ.ศ. 2539 (ฉบับชั่วคราว)


            กำหนดหลักเกณฑ์ ไว้ในมาตรา 29 - มาตรา 31 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญ โดยถ้าเห็นชอบก็ให้นำร่างดังกล่าวออกบังคับใช้ แต่ถ้าไม่เห็นชอบ ก็ให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี นำรัฐธรรมนูญ ฉบับใดฉบับหนึ่ง ออกมาใช้บังคับแทน


 


บทวิพากษ์ การลงประชามติในประเทศไทย ในวันที่ 19 ส.ค.50


จากแนวคิดและความเป็นมาของประเทศไทยและของต่างประเทศ จะเห็นได้ว่าการนำประชามติอันเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยทางหนึ่งมาใช้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งในต่างประเทศเอง บางครั้งการคำนึงถึงเสียงของประชาชนในการลงประชามติมากเกินไป ก็อาจเกิดผลของประชามติที่ไม่ตรงหรือไม่ถูกต้องเจตนารมณ์ของการลงประชามติในเรื่องนั้นๆ เช่น


 


- ล่าสุดกรณี ของประเทศฝรั่งเศส ในการลงประชามติครั้งที่ 10 เรื่องของธรรมนูญยุโรป เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 48 ผลปรากฏว่า มีผู้ให้ความเห็นชอบ 45.32% และมี ผู้ไม่ให้ความเห็นชอบ 54.68% ซึ่งจำนวนที่ไม่เห็นด้วยส่วนหนึ่ง มิได้มาจากการพิเคราะห์ถึงผลได้ผลเสียของการเข้าเป็นสนธิสัญญาก่อตั้งธรรมนูญยุโรป หรือ European Constitution แต่มีนัยสำคัญที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล Jacques Chirac ทั้งแนวนโยบายต่างๆ ของรัฐที่กระทบต่อส่วนได้เสียของประชาชน เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ระบบประกันสังคม การขยายระยะเวลาการทำงาน การปฏิรูประยะเวลาเกษียณอายุ ดังนั้น เมื่อมาถึงจุดที่ไม่ยอมรับในความสามารถของรัฐบาล และประจวบเหมาะกับการลงประชามติ จึงมิได้เกิดความสงสัยเลยว่า นั่นคือ ช่องทางหนึ่งที่ประชาชนจะอาศัยโอกาสนี้ ลงโทษรัฐบาลของตน ซึ่งเมื่อผลเกิดขึ้นเช่นนี้ หลังจากนั้นเพียง 2 วัน นาย Pierre Raffarin จึงลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี


 


- และเหตุการณ์ดังที่กล่าวมาในประเทศฝรั่งเศส มิได้เกิดเพียงประเทศเดียว ในอารมณ์ของการไม่เอารัฐบาล หรือไม่พอใจรัฐบาล โดยผ่านการแสดงออกทางประชามติ เพราะหลังจากนั้นเพียง 3 วันให้หลัง คือ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.48 ประเทศเนเธอร์แลนด์เอง ประชาชนก็ออกเสียงประชามติในเรื่องธรรมนูญยุโรป เช่นเดียวกัน โดยประชาชนส่วนใหญ่ไม่ให้ความเห็นชอบในการเข้าเป็นสนธิสัญญาดังกล่าว โดยส่วนหนึ่งไม่ชื่นชอบในแนวนโยบายของ Jan Peter Balkenende (Prime Minister)


 


ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การลงประชามติ บางครั้งก็เป็นการลงประชามติที่ก่อให้เกิดแนวทางในการปกครองประเทศ หรือมีผลต่อแนวนโยบายของรัฐบาล เช่น ในประเทศบราซิล ในเรื่องการขายอาวุธ สเปน ในกรณีการเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต้ และในเวเนซูเอล่า แต่อีกแนวทางหนึ่ง อาจเป็นการลงประชามติที่มิได้ตรงตามเจตนารมณ์ ในเรื่องประชามตินั้น ๆ แต่เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจผู้ปกครอง โดยการแสดงออกผ่านประชามติ จนทำให้บางประเทศใช้การลงประชามติในอีกรูปแบบหนึ่งที่ เรียกว่า Referendum Consult คือ เป็นการขอคำปรึกษาจากประชาชน โดยผลประชามติดังกล่าว ไม่ผูกพันรัฐแต่อย่างใด เช่น ในประเทศกรีก สเปน และประเทศลักซัมเบอร์ก ซึ่งประเทศไทยเองก็เคยนำมาใช้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540


 


จากประวัติศาสตร์ต่างๆ ของทั่วโลก ที่เคยผ่านการใช้วิธีการออกเสียงประชามติ จนมาถึงปัจจุบัน อันเป็นรอยต่อของประเทศไทย จึงสามารถมองเห็นถึงอนาคตได้ว่า การออกเสียงประชามติ ในการรับ หรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2550 ของประเทศไทย อาจเจริญรอยตามแบบในอารยประเทศ กล่าวคือ ปัจจัยในการรับหรือไม่รับ มิได้อยู่กับแต่เพียงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ เพียงอย่างเดียว ตามที่รัฐบาลต้องการที่จะให้เป็นอันเป็นเป้าวัตถุประสงค์ของการลงประชามติ แต่อาจมีปัจจัยที่แฝงอยู่ในการลงประชามติ ที่จะถึงนี้ในวันที่ 19 สิงหาคม 2550


 


ปัจจัยแฝงดังกล่าว อาทิเช่น


-          ความไม่พอใจในรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร


-          ความไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาล ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เช่น มาตรการกันสำรองค่าเงินบาท 30 % เพื่อสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่ก่อให้เกิดการเสียหายทางบัญชีของรัฐ อัตราการว่างงานของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจากเดิม หรือในเรื่องการแก้ปัญหาทางภาคใต้


-          ความไม่พอใจในการร่างรัฐธรรมนูญที่มิได้ร่างตามความต้องการของคนบางกลุ่ม เช่น นักการเมือง พระภิกษุ หรือองค์กร NGO บางส่วน


-          ความไม่พอใจในตัวรัฐมนตรี หรือบุคคลในรัฐบาล อันมาจากความไม่เชื่อมั่นในความสุจริต และท่าทีที่มีลักษณะกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน


-          กลุ่มอำนาจเก่า หรือกลุ่มที่ประชาชนยังนิยมชมชอบในรัฐบาลทักษิณ โดยในปี พ.ศ. 2548 มีผู้มาจดทะเบียนเป็นสมาชิกพรรคถึง 14 ล้านคน และในปี พ.ศ. 2549 ที่มีการจัดการเลือกตั้ง มีผู้เลือกพรรคไทยรักไทย ถึง 16 ล้านคน


 


เหตุต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยแฝงที่อาจเกิดขึ้นในการลงประชามติในครั้งนี้ ดังนี้ ผู้เขียนจึงเห็นเป็นอย่างยิ่งว่า การลงประชามติในวันที่ 19 ส.ค.50 อาจจะเป็นทางที่บ่งบอกถึงอนาคตของประเทศ หรือสะท้อนนัยสำคัญอย่างหนึ่ง ว่า "จะเป็นการรับ หรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ฤาไม่เอารัฐบาล (เผด็จการ)" สิ่งเหล่านี้ จะมีคำตอบและเห็นประจักษ์ในไม่ช้า และจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ที่จะถูกบันทึก เช่นเดียวกับต่างประเทศ


 

           




[1] บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิได้เกี่ยวข้องกับองค์กรแต่อย่างใด



[2] นันทวัฒน์ บรมานันท์ ,การออกเสียงประชามติที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ฯ (ตอนที่ 1),www.Pub-Law.net เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2545.



[3] กมล สมวิเชียร ,ประชาธิปไตยกับสังคมไทย (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพาณิชย์,2520) หน้า ก.



[4] http://en.wikipedia.org/wiki/Referendum. วันที่ 9 กรกฎาคม 2550

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net