บทความชำนาญ จันทร์เรือง : ตุลาการมิใช่ผู้วิเศษ

ชำนาญ จันทร์เรือง

                       

ผมเชื่อว่าระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งผู้พิพากษาตุลาการ น่าจะมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมมากกว่าหน่วยงานอื่น ผมเชื่อว่าผู้พิพากษาตุลาการน่าจะมีระบบการควบคุมจริยธรรมและคุณธรรมที่เข้มข้นมากกว่าวงการอื่น ผมเชื่อว่าผู้พิพากษาตุลาการน่าจะมีความรู้ความเชี่ยวในตัวบทกฎหมายกฎหมายดีกว่าผู้อื่น แต่ผมไม่เชื่อว่าผู้พิพากษาตุลาการจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องการเมืองการปกครองมากกว่าผู้อื่น จนต้องมีบทบาทหน้าที่ในร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังร่างๆ อยู่นี้อย่างมากมาย นอกเหนือจากหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษา อรรถคดีตามปกติ

 

บทบาทที่ว่านี้ มีทั้งการสรรหาองค์กรอิสระทั้งหมด ที่โดยหลักแล้วถือได้เป็นองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารประเภทหนึ่ง เพียงแต่ไม่ขึ้นการบังคับบัญชาต่อนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง มิใช่อำนาจอธิปไตยใหม่หรืออำนาจอธิปไตยที่สี่แต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และแม้กระทั่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่อำนาจการสรรหาอยู่ในมือของคณะบุคคลเพียงห้าคน คือ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอัตราส่วนของตุลาการสามในห้าเข้าไปแล้ว และสองรายหลังนี้ลืมไปได้เลย หากมีการยุบสภาหรือครบวาระการดำรงตำแหน่งแล้วรอเลือกตั้งใหม่ อำนาจทั้งหมดจึงตกอยู่กับฝ่ายตุลาการล้วนๆ

 

ที่น่าทึ่งมากก็คือ ผู้พิพากษาตุลาการยังเป็นคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ คณะกรรมการที่ว่านี้ประกอบไปด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาในศาลฎีกาฯ จำนวน 1 คน และตุลาการในศาลปกครองสูงสุดฯ จำนวน 1 คน

 

และที่น่าตกใจก็คือ ผู้พิพากษาตุลาการยังเป็นกรรมการในองค์กรเทวดาตามมาตรา 68 วรรคสอง ที่บัญญัติว่าในกรณีที่ประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤติ เหตุการณ์คับขัน หรือเกิดสถานการณ์จำเป็นอย่างยิ่งทางการเมือง ให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธาน ศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด และประธานองค์กรอิสระ ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาหาทางป้องกันหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งประเด็นที่ว่าแล้วมันจะได้ผลหรือไม่เพียงใดนั้น มีผู้วิพากษ์ไว้มากแล้ว แต่ในที่นี้จะพิเคราะห์ในประเด็นที่เป็นการนำ ผู้พิพากษาตุลาการเข้าไปทำหน้าที่ตัดสินปัญหาทางการเมือง ซึ่งมิใช่ปัญหากฎหมายที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของฝ่ายตุลาการว่ามีความถูกต้องหรือเหมาะสมตามหลักของการแบ่งแยกอำนาจเพียงใด

 

นอกเหนือจากความรู้พื้นฐานทั่วๆ ไปที่เราเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาว่า อำนาจอธิปไตยนั้นเราสามารถจำแนกการใช้ได้ เป็นอำนาจบริหารที่ผู้ใช้อำนาจคือคณะรัฐบาล อำนาจนิติบัญญัติที่ผู้ใช้อำนาจคือรัฐสภา และอำนาจตุลาการที่ผู้ใช้อำนาจคือศาลแล้ว ในการบริหารราชการบ้านเมืองของประเทศประชาธิปไตยนั้นจำเป็นจะต้องใช้หลัก "นิติรัฐ" ซึ่งมีสาระสำคัญคือ

 

(1) บรรดาการกระทำทั้งหลายขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร จะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหารจะมีอำนาจสั่งการให้ราษฎรกระทำการหรือละเว้นไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ ต่อเมื่อ มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจไว้อย่างชัดแจ้งและจะต้องใช้อำนาจนั้นภายในกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้

 

(2) บรรดากฎหมายทั้งหลายที่องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติได้ตราขึ้น จะต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่ให้อำนาจแก่องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร ล่วงล้ำเข้าไปในแดนแห่งสิทธิเสรีภาพของราษฎรนั้น จะต้องมีข้อความระบุไว้อย่างชัดเจนพอสมควรว่า ให้องค์กรของรัฐฝ่ายบริหารองค์กรใดมีอำนาจล่วงล้ำเข้าไปในแดนแห่งสิทธิเสรีภาพของราษฎรได้ในกรณีใด และภายในขอบเขตอย่างใด และกฎหมายดังกล่าวจะต้องไม่ให้อำนาจแก่องค์กรของรัฐฝ่ายบริหารล่วงล้ำเข้าไปในแดนแห่งสิทธิเสรีภาพของราษฎร เกินขอบเขตแห่งความจำเป็นเพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์สาธารณะ

 

(3) การควบคุมไม่ให้การกระทำขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารขัดต่อกฎหมายก็ดี การควบคุมไม่ให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญก็ดี จะต้องเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ ซึ่งมีความเป็นอิสระจากองค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร และองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ

 

จะเห็นได้ว่าในสาระสำคัญของหลัก "นิติรัฐ"ได้มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ของแต่ละองค์กรไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า แต่ละฝ่ายมีอำนาจหน้าที่อย่างไร ฉะนั้น การยกร่างรัฐธรรมนูญให้อำนาจและบทบาทหน้าที่ของฝ่ายตุลาการด้วยการก้าวล่วงไปยังอำนาจอธิปไตยอื่น อันได้แก่อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารนอกเหนือจากการใช้อำนาจตุลาการของตนดังเช่นที่กล่าวมาในตอนต้นนั้น จึงไม่ชอบด้วยหลักนิติรัฐอันเป็นหัวใจของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง

 

อย่าลืมว่า ผู้พิพากษาตุลาการก็คือปุถุชนคนธรรมดา ย่อมมีรัก โลภ โกรธ หลง และแน่นอนว่าว่าย่อมมิใช่เทวดาหรือผู้วิเศษที่จะดลบันดาลให้การเมืองการปกครองเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดังที่บางคนคาดหวัง

 

น่าเสียดายที่ตามมาตรา 26 ของรัฐธรรมนูญฯ ฉบับชั่วคราวปี 49 กำหนดให้ 12 องค์กรและคณะบุคคลที่เสนอความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญในส่วนขององค์กรตุลาการนั้น มีเพียงศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุดเท่านั้น ซึ่งน่าจะเปิดกว้างรับฟังความเห็นไปยังศาลในลำดับล่าง หรือแม้กระทั่งสำนักงานศาลฯ ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นองคาพยพขององค์กรตุลาการเช่นกันด้วย ว่าเขาเหล่านั้นมีความคิดเห็นต่อบทบาทของผู้พิพากษาตุลาการในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้อย่างไร

 

บางทีความเห็นที่ได้ อาจจะทำให้ใครหลายคนหน้าแตกเป็นริ้วชนิดที่หมอไม่รับเย็บ ต้องรีบเข้าเกียร์ถอยหลังจนแทบไม่ทันก็เป็นได้ ดังบันทึกความเห็นของศาลฎีกาเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญนี้เมื่อ 1 พ.ค. ที่ผ่านมาก็คงเป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดี

 

 

 

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 9 พ.ค.50

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท