23 เม.ย.50 - กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอว็อทช์) กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม, กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโครงการยุทธศาสตร์ฐานทรัพยากรธรรมชาติ
ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ร่วมกันแถลงข่าวตั้งข้อสังเกตต่อการแก้ไขพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ที่ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปอย่างเงียบเชียบเมื่อ 13 มี.ค. ที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยเนื้อหาสาระของการแก้ไขมีหลายประเด็นที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเมื่อเชื่อมโยงกับข้อกังวลเรื่องการเปิดให้นำเข้าของเสียอันตรายจากญี่ปุ่นในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือ JTEPA ที่เพิ่งลงนามไป
นางสาว
กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรมยังนำเสนอสาระสำคัญของการแก้ไขที่จะยิ่งเป็นช่องโหว่มากขึ้น ได้แก่ กำหนดให้ผู้กล่าวหาแบกรับภาระการพิสูจน์ความผิดทางอาญาของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งแต่เดิมไม่มีการบัญญัติมาตรานี้, ให้เอกชนผลิต นำเข้า ครอบครองวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัยได้โดยต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ ซึ่งฉบับเดิมวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 นั้นจะห้ามประกอบการเด็ดขาด, การอนุญาตให้หน่วยงานรับผิดชอบจ้างเอกชนเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบและจัดทำรายงานผลการตรวจสอบแทนได้ และผู้ประกอบการจ้างบุคคลจัดทำรายงานหรือเอกสารประจำสถานประกอบการแทนได้
"พ.ร.บ.นี้ทั้งฉบับเดิมและฉบับแก้ไขไม่ได้พูดถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนแม้แต่มาตราเดียว ไม่พูดถึงการเข้าถึงข้อมูล ในทางตรงกันข้าม ร่างนี้กลับไปบั่นทอนกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่จะเข้ามาติดตามตรวจสอบวัตถุอันตราย โดยมีการระบุในมาตรา 15กำหนดให้ผู้กล่าวหาแบกรับการพิสูจน์ความผิดทางอาญาของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งภาระในการพิสูจน์เป็นปัญหาใหญ่ในสังคมบ้านเราอยู่แล้ว ภาระการพิสูจน์ในเรื่องวัตถุอันตรายเป็นเรื่องยากมาก ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมากมาย การแก้ไขที่ผลักภาระแบบนี้จะยิ่งซ้ำเติมความเดือดร้อนของชาวบ้าน" เพ็ญโฉมกล่าว
ข้อเรียกร้องครั้งนี้ต้องการให้กระทรวงอุตสาหกรรมชะลอเรื่องนี้ก่อน และให้ภาคส่วนต่างๆ มาร่วมแสดงความเห็นในการปรับปรุงกฎหมายนี้เพื่อรองรับกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทางด้านนาย
แล้วก็วิพากษ์ข้อบกพร่างของกฎหมายวัตถุอันตรายว่ามีปัญหาเรื่องการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ เพราะคำจำกัดความของของเสียอันตรายยังไม่ชัดเจน และของเสียอันตรายที่อยู่ในบัญชีในกฎหมายก็ไม่สอดคล้องกับรายชื่อของของเสียอันตรายที่อยู่ในอนุสัญญาบาเซล อย่างไรก็ตาม การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ กลับไม่ได้เอาข้อสังเกตจากหน่วยราชการด้วยกันมาพิจารณาและปรับปรุงด้วยเลย
ทั้งนี้ นาย
นางสาวทัศนีย์ วีระกันต์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรทางเลือกเปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (24 เม.ย.) สถาบันสุขภาพแห่งชาติ จะจัดประชุมเป็นการเร่งด่วนเพื่อขอความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องต่อร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ประเด็นที่ฝ่ายสาธารณสุขเป็นห่วงมากคือ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ของบริษัทเคมีการเกษตร ที่ผ่านมา
สมัชชาสุขภาพได้ผลักดันการจำกัดการโฆษณาและการส่งเสริมการขายสารเคมีทางการเกษตรจนเป็นมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 30 พ.ค.49 และมีมติครม.ออกมาในการควบคุมดูแลสารเคมีการเกษตร
และส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ แต่พ.ร.บ.วัตถุอันตรายที่แก้ไขเพิ่มเติมไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเคมีด้านการเกษตรเลย ดังนั้น สถาบันสุขภาพแห่งชาติจึงจะมีการพิจารณาเรื่องนี้ และเพื่อวิเคราะห์จุดอื่นๆ ด้วย