1 เมษายน 2550 เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ศาลหลักเมือง ตัวแทนกลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว๊อทช์) และตัวแทนเครือข่ายต่างๆ อาทิ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย, เครือข่ายผู้บริโภค, เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก กว่า 40 คน ได้ทำพิธีบวงสรวงสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองที่ศาลหลักเมือง โดยมี นายสันติสุข โสภณศิริ จากมูลนิธิสุขภาพไทยเป็นผู้ทำพิธี จากนั้นได้มีการอ่านคำประกาศคว่ำบาตรรัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ กรณีทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ไทย-ญี่ปุ่น โดยไม่ฟังเสียงประชาชน มีสาระสำคัญดังนี้
0 0 0
คำประกาศคว่ำบาตร
รัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
กรณีทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ไทย-ญี่ปุ่น โดยไม่ฟังเสียงประชาชน
เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นรัฐบาลชั่วคราวที่มิได้มาตามครรลองประชาธิปไตย หากมาจากการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 เมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ ประชาชนต่างคาดหวังว่า รัฐบาลจะดำเนินการตามสัญญาประชาคมเฉพาะกิจที่ให้คำมั่นไว้กับประชาชน นั่นคือ
ชำระสะสางปัญหาทุจริตประพฤติมิชอบในยุคของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
สร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นกับชนทุกหมู่เหล่า
นำแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
แต่แล้วในช่วงระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา นอกจากรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ จะขาดความเอาจริงเอาจังในการผลักดันพันธกิจดังกล่าวให้สำเร็จลุล่วง ยังกลับทำให้ปัญหาต่างๆลุกลามบานปลายมากยิ่งขึ้น
กรณีที่รัฐบาลทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น โดยไม่ฟังเสียงประชาชน นับได้ว่าเป็นกรณีที่ขาดความชอบธรรม เพราะ
เป็นการกระทำที่ปราศจากหลักธรรมาภิบาล ปิดบังข้อมูลความเป็นจริง ขาดความโปร่งใส หมิ่นเหม่ต่อการทุจริตประพฤติมิชอบในทางนโยบาย เฉกเช่นเดียวกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่ถูกคณะทหารโค่นล้มไปแล้ว
เป็นการกระทำนอกลู่นอกทางจากกรอบพันธกิจที่เคยประกาศเป็นพันธสัญญาไว้กับประชาชน อันจะนำมาซึ่งความไม่สมานฉันท์ระหว่างประชาชนกับรัฐบาลอย่างแน่นอน
การเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น เป็นเรื่องใหญ่ รัฐบาลที่จะทำข้อตกลงระหว่างประเทศเช่นนี้ได้ จะต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น การศึกษาวิจัยอย่างละเอียดถึงผลประโยชน์ ผลกระทบทุกๆด้านจากนักวิชาการอิสระ และมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียม เป็นจริง และกว้างขวาง
การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่มุ่งแต่ผลประโยชน์ตัวเลขทางเศรษฐกิจจากเรื่องการส่งออก โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกรและผู้บริโภค ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ย่อมขัดกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่รัฐบาลชั่วคราวชุดนี้เคยประกาศไว้
ผลกระทบของข้อตกลงนี้จะทำให้ญี่ปุ่นนำขยะและของเสียอันตรายเข้ามาทิ้งในประเทศไทย เปิดช่องให้ต่างชาติยึดครองทรัพยากรชีวภาพและผูกขาดพันธุ์พืช จำกัดมาตรการบังคับใช้สิทธิทำให้ยามีราคาแพง ลิดรอนอำนาจอธิปไตยของรัฐจากข้อบัญญัติในการคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนทำให้คนต่างชาติเข้ามาแย่งชิงการใช้บริการด้านสาธารณสุขในประเทศไทยและส่งผลกระทบต่อคนยากจนโดยไม่มีมาตรการและกระบวนการใดๆมารองรับผลกระทบ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว พวกเรา ซึ่งเป็นประชาชนจากหลายภาคส่วนทั้งที่เป็นเกษตรกร ผู้บริโภค ผู้รับบริการด้านสาธารณสุข พี่น้องสลัมในเมือง และองค์กรที่ติดตามการเจรจาการค้าระหว่างประเทศจึงมาชุมนุมกัน ณ ที่นี้ เพื่อทำพิธีสักการะบวงสรวงต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง อันมี พระแก้วมรกต พระสยามเทวาธิราช ศาลหลักเมือง เทพยาดาทุกชั้นฟ้า และ ดวงวิญญาณแห่งบรรพชน
ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้โปรดคุ้มครองป้องกันประเทศไทยปลอดพ้นจากภัยพิบัติอันเกิดจากโลภาคติ และโมหาคติของรัฐบาล ข้าราชการ และกลุ่มผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่นโดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายใหญ่หลวงที่จะเกิดแก่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้ โปรดประทานกำลังกาย กำลังใจ และสติปัญญาในการต่อสู้ด้วยพลังจิตใจที่บริสุทธิ์ ช่วยดลให้ผู้บริหารประเทศกลับใจ ยกเลิกการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น ช่วยดลให้กลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์อย่าได้เพียงแต่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แต่ให้มองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ที่จะได้รับผลกระทบและความเสียหายต่อส่วนรวมในระยะยาวด้วย
เราขอประกาศว่า จะเดินหน้าคัดค้านข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่นและไม่ยอมรับความชอบธรรมของรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ที่จะลงนามในวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2550 อย่างถึงที่สุด
1 เมษายน 2550
ศาลหลักเมือง
0 0 0
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ สมาชิกเอฟทีเอ ว็อทช์ กล่าวภายหลังการทำพิธีบวงสรวงว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นมีความจำเป็น ที่ต้องเร่งลงนาม เพราะจริงๆแล้วผลกระทบตามที่รัฐบาลและภาคธุรกิจกล่าวอ้างนั้น เป็นผลประโยชน์ของไม่กี่บริษัทที่ขายกุ้ง-ไก่ และอาหารทะเล
"จากข้อมูลของสภาหอการค้าไทย รัฐมนตรีบางคน และ สนช.บางคนที่อ้างว่าไทยต้องรีบลงนามเพราะมีผลกระทบต่อภาคเกษตรของไทยนั้น เอฟทีเอ ว็อทช์ยืนยันว่า ผลประโยชน์ที่จะได้รับเกือบทั้งหมด เป็นการส่งออก กุ้ง ไก่ และอาหารทะเล โดยแยกออกเป็นไก่ปรุงสุก 18,938 ล้านบาท (40%) กุ้งแปรรูป 8172 ล้านบาท (17%) ปลาทูน่า 4,355 ล้านบาท (9%) และปลาหมึก 3,487 ล้านบาท (7%) รวมทั้ง 3
รายการผลประโยชน์จะตกอยู่กับบริษัทการเกษตรขนาดใหญ่คิดเป็นมูลค่า 73% ของมูลค่าการส่งออกไปยังญี่ปุ่น เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีผู้ที่เสียโอกาสจากการลงนามล่าช้าก็จะไม่ใช่เกษตรกรรายย่อย ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่สำคัญ สิ่งที่รัฐบาลและกลุ่มอุตสาหกรรมไม่ได้อธิบายต่อประชาชนคือ การได้ผลประโยชน์เหล่านี้ต้องแลกกับการยอมถอนสินค้าข้าวซึ่งชาวนาไทยมีขีดความสามารถมีในการแข่งขันสูงกว่า และผลกระทบอื่นๆที่สังคมไทยทั้งสังคมต้องแบกรับ"
สมาชิกเอฟทีเอ ว็อทช์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากนั้น ขณะนี้ทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ซึ่งอุตสาหกรรมของไทยคิดว่าเป็นคู่แข่งนั้นก็ยังมิได้ลงนามกับญี่ปุ่นแต่ประการใด ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องเร่งรีบลงนามเพียงเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ระยะสั้นของอุตสาหกรรมกุ้งไก่และอาหาร
ทะเล
รัฐบาลสามารถยืดระยะเวลาการทบทวนเพื่อปรับปรุงความตกลงฯ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งนี้บทวิเคราะห์ของเอฟทีเอ ว็อทช์ ชี้ว่า ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA)
จะทำให้ญี่ปุ่นนำขยะและของเสียอันตรายเข้ามาทิ้งในประเทศไทย เปิดช่องให้ต่างชาติยึดครองทรัพยากรชีวภาพและผูกขาดพันธุ์พืช จำกัดมาตรการบังคับใช้สิทธิทำให้ยามีราคาแพง ลิดรอนอำนาจอธิปไตยของรัฐจากข้อบัญญัติในการคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนทำให้คนต่างชาติเข้ามาแย่งชิงการใช้บริการด้านสาธารณสุขในประเทศไทยและส่งผลกระทบต่อคนยากจนโดยไม่มีมาตรการและกระบวนการใดๆมารองรับผลกระทบ อีกทั้งการจัดทำความตกลงนี้ ยังไม่มีการรับฟังความคิดเห็นประชาชนอย่างแท้จริงแม้แต่น้อย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)