ประชาไท
นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการจัดการทางสังคม เสนอว่า ให้ยกเลิกการจัดการชุมชนที่นโยบายรัฐเป็นการรวมศูนย์ หรือโครงสร้างการพัฒนาแบบการกระจายอำนาจจากบนลงล่าง เพราะการพัฒนาจากส่วนกลางหรือรัฐ นั้น เกิดปัญหาว่ารัฐไม่เข้าใจวิถีชีวิต และยังแย่งชิงทรัพยากร ควรต้องทำให้ชาวบ้านเป็นอิสระ ไม่ถูกกำกับโดยโครงสร้างเหล่านี้ เสนอให้ลดอำนาจส่วนกลาง เพิ่มอำนาจท้องถิ่นให้มากขึ้น เปลี่ยนเป็นการพัฒนาจากฐานของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ยึดแผนท้องถิ่นเป็นหลักในการพัฒนา และควรจัดให้มีสภาประชาชนในทุกระดับ เพื่อเพิ่มอำนาจให้ประชาชนและท้องถิ่นสามารถกำหนดทิศทางพัฒนาตัวเองได้อย่างสอดคล้องและเหมาะสม ให้มีสภาประชาชนหรือสภาชุมชน
นายบันฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผู้อำนวยการโครงการยุทธศาสตร์นโยบายฐานทรัพยากร คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนักวิชาการจากกลุ่มเอฟทีเอวอทช์ กล่าวว่า การถ่วงดุลอำนาจนิติบัญญัติโดยภาคประชาชนเป็นสิ่งดี โดยใช้กลไก 3 ส่วน คือ เกื้อหนุน ตรวจสอบ และถ่วงดุลชุมชนท้องถิ่น ทั้งนี้ อาจจะให้อยู่ในรูปแบบสภาประชาชนหรือ สภาชุมชนก็ได้ เขาเสนอเพิ่มเติมว่า ควรมีศาลสิ่งแวดล้อมด้วย
พิธาน ทินวงษ์ ตัวแทนเครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมภาคอีสานกล่าวว่า การจัดสรรทรัพยากร ไม่ใช่การให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม รัฐต่างหากที่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับประชาชน เพราะประชาชนดำเนินการจัดสรรทรัพยากรอยู่แล้ว นายบำรุง คะโยธา ตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก กล่าวว่า องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ตัวแทนจากเครือข่ายชุมชนภาคเหนือ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมามีข้อจำกัดในการนำไปปฏิบัติจริง ซึ่งกลายเป็นข้อจำกัดหลักในการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ทั้งกฎหมายลูกก็มีความล้าหลัง จึงเสนอให้ นายสำราญ กสิคุณ ตัวแทนเครือข่ายชุมชนฟื้นฟูเกาะลันตา กล่าวว่า รัฐต้องกำหนดสิทธิและบทบาทหน้าที่ของชุมชนให้ชัดเจน ทั้งนี้ การที่รัฐเป็นฝ่ายจัดการทรัพยากรในพื้นที่ ได้กระทบต่อสิทธิของประชาชน ทำให้ผู้ที่ประกอบอาชีพทางทะเลได้รับผลกระทบในการใช้ทรัพยากรในชุมชนของตนเอง ด้านนายศักดิ์ดา จรรย์รังษี ตัวแทนศูนย์ประสานงานบ้านน้ำเค็มกล่าวว่า งบประมาณที่รัฐนำไปใช้จ่าย ประชาชนควรมีส่วนร่วมได้รู้ว่าภาษีที่ตนเสียไปนั้นได้ถูกนำเอาไปใช้อะไร โดยที่ภาคประชาชนสามารถตรวจสอบการใช้งบประมาณได้ โดยตั้งองค์กรภาคประชาชนเพื่อตรวจสอบงบประมาณตั้งแต่การจัดทำแผน และมีกฎหมายรองรับ รวมทั้งตรวจสอบการจ้างงานและการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐด้วย เสนอตั้งศาลสิทธิมนุษยชน
นายสุทิน กิ่งแก้ว รองประธานเครือข่ายการแก้ปัญหาคืนสัญชาติคนไทย กล่าวว่า ต้องการให้มีศาลสิทธิมนุษยชน ที่ประชาชนมีสิทธิเข้าถึง และมีส่วนร่วม ที่มีการรับฟังปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง
ตั้งองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม
นายวิชาญ อุ่นอก ศูนย์ประสานประชาชนกาญจนบุรีกล่าวว่า ต่อปัญหาสิทธิชุมชน และการจัดการทรัพยากรนั้น เสนอให้มีองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม จัดตั้งกองทุนด้านพลเมือง ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของประชาชนต้องมีงบประมาณสนับสนุนจากรัฐ ส่วนสิทธิด้านการสื่อสารนั้น ชุมชนควรมีสิทธิจัดการสื่อสารเอง
สลัมสี่ภาคเสนอ เครือข่ายสลัมสี่ภาค สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในการดำรงชีวิต โดยยื่นข้อเสนอ ส่งเสริมสิทธิสตรีตั้งแต่ระดับตำบล
นางสาวจิราภรณ์ เอื้อเฟื้อ ตัวแทนจากเครือข่ายผู้หญิง เสนอในประเด็นสิทธิชุมชนและการกระจายอำนาจว่า 1.นโยบายและโครงการของรัฐที่จะลงสู่ท้องถิ่นต้องทำประชาพิจารณ์ และให้ผู้หญิงมิบทบาทอย่างเหมาะสม 2.การจัดสรรงบประมาณต้องส่งเสริมสิทธิและความเสมอภาคของผู้หญิง เช่น สินเชื่อการประกอบอาชีพ กองทุนการศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม
3. ชุมชนมีสิทธิจัดการศึกษาได้เท่าเทียมกับรัฐ
นางรัชนี ธงไชย ตัวแทนจากมูลนิธิเด็ก เสนอว่า ต้องปฏิรูปการศึกษาภาคประชาชน ให้ภาคประชาชนต้องมีสิทธิจัดการศึกษาเอง และต้องได้รับการส่งเสริมสนับสนุนเท่าเทียมกับของภาครัฐด้วย เพื่อให้คนในชุมชนรู้จักใช้ทรัพยากรของท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการจัดการศึกษาโดยมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิของชุมชน โดยมีหลักสูตรสอดคล้องกับท้องถิ่น