Skip to main content
sharethis

 







หมายเหตุ -  บทความชิ้นนี้เคยได้รับการเผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไทครั้งหนึ่งแล้ว แต่เนื่องในโอกาสที่ช่วงนี้อยู่ระหว่างการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งภาครัฐ และภาคประชาชน โดยวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการนำบทความชิ้นนี้ขึ้นเว็บไซต์ thaipood.com "ประชาไท" จึงขออนุญาตนำบทความชิ้นนี้กลับมานำเสนออีกครั้งเพื่อประโยชน์แก่ผู้อ่าน


 


กมล กมลตระกูล


 การต่อสู้ทางการเมืองภาคประชาชนในประเทศเวเนซูเอลลา เป็นบทเรียนที่การเมืองภาคประชาชนในประเทศไทยน่าเก็บบทเรียนมาศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาเนื้อหาในรัฐธรรมนูญใหม่ ที่สภาร่างรัฐธรรมนูญที่ตั้งขึ้นโดยประธานาธิบดีชาเวซได้ร่างขึ้น และเสนอให้ประชาชนทั้งประเทศลงมติรับหรือไม่รับ


รัฐธรรมนูญฉบับนี้้ได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยอย่างท่วมท้น เพราะมีเนื้อหาปกป้องผลประโยชน์ของชาติไว้อย่างชัดเจน มีเนื้อหาปกป้องการรุกล้ำของลัทธิเสรีนิยมใหม่ (การล่าอาณานิคมยุคใหม่ ที่มีกติกาขององค์การค้าโลก มีองค์การไอเอ็มเอฟ  ธนาคารโลก สถาบันไอเอฟไอ ธนาคารเอดีบีและไจก้า เป็นผู้กำหนดเงื่อนไขและสร้างกติกาเพื่อปล้นสดมภ์ได้อย่างถาวร) อย่างชัดเจน มีเนื้อหาปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน  มีเนื้อหาระบุถึงความรับผิดชอบต่อสิทธิในดำรงชีพ และมาตรฐานการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างชัดเจน


ในการลงประชามติเมื่อเดือนสิงหาคม 2547 ที่ผ่านมานี้ ประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ ของประเทศเวเนซูเอลา ได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น ด้วยคะแนนเสียง ประมาณ 5 ล้านคะแนน โดยได้รับคะแนนมากกว่าเมื่อครั้งที่เขาชนะการเลือกตั้งในปี 2541 ถึง 1.2 ล้านคะแนน คิดเป็นร้อยละ 58


การเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2006 ชาเวซได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเป็นวาระที่ 3 ทั้งๆ ที่มีประเทศมหาอำนาจพยายามและแทรกแซง โดยการหนุนนักการเมืองฝ่ายเสรีนิยมขึ้นมาโค่นเขา แต่ประชาชนรู้เท่าทันจึงไม่เอาด้วย


ระบบการเลือกผู้นำทางตรงเช่นนี้เท่านั้น ที่คะแนนเสียงหรืออำนาจของประชาชน จึงสามารถเป็นตัวชี้ขาด เลือกผู้นำที่มีนโยบายรับผิดชอบต่อสิทธิในดำรงชีพ และมาตรฐานการดำรงชีวิตของประชาชนได้อย่างแท้จริง  เพราะยากที่จะมีใครสามารถซื้อคะแนนเสียงของประชาชนได้ทั้งประเทศ อำนาจอธิปไตยจึงเป็นของปวงชนอย่างที่ไม่มีใครสามารถ ช่วงชิงเอาไปได้ มิใช่ระบบการเลือกตั้งทางอ้อมอย่างที่เป็นอยู่ของไทย ประเทศโบลิเวีย ประเทศชิลี ประเทศบราซิล และล่าสุด ประเทศนิคารากัว เป็นอีกกลุ่มประเทศในลาตินอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่สามารถเลือกผู้นำที่มีนโยบายชาติประชานิยมของแท้ อย่างเช่น ชาเวซ ซึ่งเป็นผู้นำในการปฏิเสธลัทธิเสรีนิยมใหม่ที่นำความยากจนมาให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ


การเลือกตั้งผู้ว่ากทม. เป็นเครื่องยืนยันว่า อำนาจของประชาชนที่ใช้ผ่านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทางตรงนั้น มีความเป็นไปได้ การเลือกนายกรัฐมนตรีทางตรง และคณะรัฐมนตรีทางตรง จึงน่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของการปฏิรูปทางการเมือง ของภาค ประชาชน


การเมืองภาคประชาชน จึงมิใช่การไล่จับปูใส่กระด้ง แต่เป็นการเมืองที่ต้องเลือกและสร้างระบบใหม่ที่ยั่งยืน มีการถ่วงดุลที่ชัดเจน มีการตรวจสอบที่ชัดเจน และมีกลไกให้ภาคประชาชนสามารถฟ้อง หรือ ตรวจสอบฝ่ายบริหารได้อย่างง่ายๆ และในกฎหมายหรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญๆ จะต้องให้ประชาชนทั้งประเทศลงประชามติ อันเป็นการเคารพในเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งรัฐธรรมนูญของเวเนซูเอลลาเรียกว่า อำนาจที่ 4


ก่อนจะไปกล่าวถึงรัฐธรรมนูญฉบับสิทธิมนุษยชนและชาติประชานิยม อยากให้มาทำความรู้จักกับประเทศเวเนซูเอลลาสักเล็กน้อย


คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้เดินทางมาถึงประเทศเวเนซูเอลลาเมื่อปี ค.ศ. 1498 พื้นที่ตรงนี้มีคนพื้นเมืองหลายเผ่าอาศัยอยู่ เช่นเผ่า อาราวัก คาริบ และชิบชา


โคลัมบัสได้ยึดดินแดนแห่งนี้เป็นเมืองขึ้นของสเปน และตั้งชื่อดินแดนที่เดินทางมาถึงนี้ว่า เวเนซูเอลลา ซึ่งแปลว่า เวนิสน้อย เพราะมีภูมิประเทศคล้ายกับเมืองเวนิส 


เมืองหลวงคาราคัส ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1567  ซิมอน โบลิวาร์เกิดในเมืองหลวงนี้ เมื่อปี ค.ศ. 1783 และเขาเป็นบุคคลแรกในทวีปอเมริกาใต้ ที่จับอาวุธลุกขึ้นสู้ เพื่อกู้เอกราชของชาวลาตินอเมริกา จากแอกของนักล่าอาณานิคมชาวสเปนในปี ค.ศ. 1818 และได้รับเอกราชในปี 1821 โดยใช้เวลาเพียง 11 ปีเท่านั้น


เมื่อได้รับเอกราช เขาได้ประกาศเป็นสหภาพมหาโคลัมเบีย โดยรวมประเทศเข้ากับประเทศโคลัมเบีย และ เอควาดอร์  แต่ต่อมาในปี 1830 ก็แยกประเทศออกมา เป็นประเทศสาธารณรัฐต่างหากมาจนถึงทุกวันนี้


ประเทศสาธารณรัฐเวเนซูเอลลา มีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยเกือบ 1 เท่า  โดยมีเนื้อที่ 912,050 ตารางกิโลเมตร (ประเทศไทยมีเนื้อที่ 514,000 ตารางกิโลเมตร) มีพื้นที่ครอบคลุมชายฝั่งทะเลภาคเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ด้านทะเลแคริเบียนเกือบทั้งหมด พรมแดนด้านตะวันตกติดกับประเทศโคลัมเบีย ด้านตะวันออกติดกับประเทศกัวเตมาลา ด้านใต้ติดกับประเทศบราซิล


ประชากรมีประมาณ 25 ล้านคนในการสำรวจปี 2004 เมืองหลวงชื่อคาราคัส  ร้อยละ 96 ของประชากรนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันแคธอลิก


รายได้ประชาชาติต่อหัวประมาณ 2 แสนบาท จากรายได้น้ำมันของประเทศ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน เพราะว่ารายได้น้ำมันนั้น ไปเข้ากระเป๋านักการเมือง นักบริหารมืออาชีพ และบริษัทข้ามชาติเสียเป็นส่วนใหญ่


สถานการณ์ก่อนชาเวซได้รับการเลือกตั้ง


 


ชาเวซได้รับการเลือกตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตยอย่างขาวสะอาด ด้วยการนำเสนอนโยบายประชานิยม (Populism) เมื่อปี  2541 โดย ชูนโยบาย "กอบกู้คนจน โค่นล้มกลุ่มผูกขาดเศรษฐกิจการเมือง" เพราะว่ารัฐบาลก่อนหน้านี ้ที่มีนายคาร์ลอส อังเดร เปเรซ และนาย คาลเดอรา โรดิเกซ ซึ่งแม้ว่าจะได้รับการเลือกตั้งมา แต่ก็บริหารงานโดยการฉ้อราษฏรบังหลวง และละเลยคนจน ทำให้มีคนว่างงาน คนไร้ที่อยู่อาศัย และขาดโอกาสการศึกษา อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้มากมายเต็มประเทศ ราคาสินค้า ค่ารถโดยสาร และอาหาร แพงหูฉี่ ช่องว่างรายได้ของคนรวยกับคนจน ห่างกันอย่างฟ้ากับดิน ทั้งๆ ที่เป็นประเทศร่ำรวยด้วยน้ำมันเป็นอันดับ 5 ของโลก


 


นาย ซี พี แพนได และจัสติน พอเดอร์ นักหนังสือพิมพ์ผู้เกาะติดข่าวในลาตินอเมริกา ประเมินว่าการคอรัปชั่นในยุคของรัฐบาลเปเรซ มียอดไม่ต่ำกว่า 1 หมื่น  1 พันล้านเหรียญอเมริกัน หรือ แสน 4 หมื่นล้านบาท ( ดูใน Venezuelaanalysis.com , 22 January 2004)


ไม่เพียงแค่นั้น นายเปเรซได้เดินตามนโยบายเสรีนิยมใหม ่โดยการเปิดเสรีให้โอกาสบริษัทข้ามชาติเข้ามาตักตวง ยึดครอง และผูกขาดอุตสาหกรรมน้ำมันของชาติ ในลักษณะของการคอรัปชั่นทางนโยบาย ด้วยการตั้งบริษัทไปร่วมทุนกับบริษัทน้ำมันอเมริกัน ซื้อโรงกลั่นในอเมริกา บริษัทจัดจำหน่ายน้ำมันชื่อซิทโก ( CITGO) รับซื้อน้ำมันในราคาถูกจากเวเนซูเอลลา ไปขายปลีกในอเมริกา บริษัทนี้มีนักการ เมืองและนักบริหารระดับสูงของ PDVSA ( Petroleos de Venezuela, S.A.) พีดีวีเอสเอ (ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ) เข้าถือหุ้นด้วยเป็นจำนวนมาก


ผลกำไรของบริษัทที่ตั้งขึ้นนี้ไม่เคยส่งกลับมาเข้าประเทศเลย


พีดีวีเอสเอ กลายเป็น รัฐซ้อนรัฐ เพราะว่าผู้บริหารส่วนใหญ่มาจากกรรมการผู้บริหารของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก คือ เชลล์ เอ๊กซอน บีพี นักบริหารมืออาชีพเหล่านี้ จึงพยายามกำหนดให้องค์กรของตนมีอิสระ และไม่ต้องเดินตามนโยบายของกระทรวงทรัพยากรและพลังงาน


กรณีนี้ ก็คล้ายๆ กันกับกรณีของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (ก.ฟ.ผ.) และ ป.ต.ท. นั่นเอง ไม่รู้ว่าใครเลียนแบบใคร


วิธีการนี้ คือการปล้นสดมภ์รายได้น้ำมันของประเทศ ซึ่งควรจะต้องนำไปใช้พัฒนาด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านสาธารณูปโภคที่จำเป็น หรือที่พักอาศัยของคนจน ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในสลัม


นโยบายเสรีนิยมใหม่ในด้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การตัดลดงบประมาณ การเปิดเสรี และการยกเลิกกฎกติกาควบคุมบริษัทข้ามชาติ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศในยุคเปเรซ ลดลงร้อยละ 8.6  คนยากจนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 43.9 ของประชากรทั้งประเทศในปี 1988 และเพิ่มเป็นร้อยละ 66.5 ในปี 1989


นายเปเรซ แก้ปัญหาด้วยการบากหน้าไปกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ เป็นจำนวน 1 หมื่น 4 พันล้านเหรียญ โดยมีเงื่อนไขต้องเปิดเสรีประเทศ ให้บริษัทต่างประเทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น


ประชาชนทั้งประเทศ จึงได้ลุกฮือขึ้นประท้วงในสมัยของนายเปเรซมื่อเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1989  เปเรซได้สั่งให้ใช้กำลังทหารปราบปรามอย่างเด็ดขาด มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3,000 คน ในระหว่างเวลา 15 วันที่มีการประท้วง


ความไม่พอใจต่อรัฐบาลฉ้อราษฏรบังหลวงนี้เอง ที่เป็นเงื่อนไขให้ชาเวซก่อการรัฐประหารถึง 2 ครั้งในปี 1992 แต่ไม่สำเร็จทั้ง 2 ครั้ง


อย่างไรก็ตาม เมื่อชาเวซเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ มาใช้หนทางการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยทางตรง เมื่อชาเวซได้รับการเลือกตั้ง แทนที่จะลืมคำมั่นสัญญา เหมือน กับนักการเมืองในประเทศกำลังพัฒนา ชาเวซกลับเดินหน้า นำนโยบายประชานิยมมาใช้อย่างเต็มที ่โดยได้แต่งตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อรองรับนโยบาย ประชานิยมและสิทธิมนุษยชน


รัฐธรรมนูญใหม่ที่มีมาตรามากถึง 350 มาตรา มากกว่ารัฐธรรมนูญเก่าถึง 98 มาตรา และมากกว่ารัฐธรรมนูญไทย ฉบับปี 2540  ถึง 14  มาตรา โดยของเรามีอยู่ 336 มาตรา  ซึ่งเคยเป็นรัฐธรรมนูญ ที่มีมาตรามากที่สุดในโลก แต่บัดนี้ถูกแซงหน้าไปแล้ว


รัฐธรรมนูญของเวเนซูเอลลา ได้รับการลงประชามติรับรองจากประชาชนด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น จึงเรียกได้ ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง และชัดเจนโดยไม่ต้องตีความ อาจจะเรียกได้ว่า เป็น รัฐธรรมนูญฉบับสิทธิมนุษยชน ได้อย่างเต็มปาก  เช่น


ในมาตรา 1 สาธารณรัฐโบลิวาเรียนของเวเนซูเอลลา เป็นประเทศเสรีที่มีอิสระภาพที่ละเมิดมิได้ ยึดถือในมรดกที่เป็นหลักการทางจริยธรรม ในด้านคุณค่าของอิสระภาพ ความเท่าเทียมกัน ความยุติธรรมและ สันติภาพโลก ของซิมอน โบลิวาร์ ผู้กู้อิสรภาพของประเทศ อิสรภาพ เสรีภาพ อธิปไตยของชาติ สิทธิในการปกป้องประเทศ ปกป้องอาณาเขต และสิทธิในการกำหนดตนเองของชาต ิเป็นสิทธิที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้


มาตรา 2 ประเทศเวเนซูเอลลา เป็นรัฐที่ยึดถือเอาสังคมและประชาธิปไตย เป็นคุณค่าพื้นฐานของกฎหมาย ความยุติธรรม และการบังคับใช้ต่อชีวิต เสรีภาพ ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน ความสมานฉันท์ ประชาธิปไตย ความรับผิดชอบต่อสังคม โดยให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน จริยธรรม และความแตกต่างทางการเมือง


มาตรา  9 ระบุว่า ภาษาสเปน เป็นภาษาราชการ แต่ การใช้ภาษาท้องถิ่นของชนกลุ่มน้อยในท้องถิ่น ถือว่าเป็นภาษาราชการสำหรับคนท้องถิ่น ที่ต้องยอมรับในขอบเขตทั่วอาณาเขต ในฐานะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาต ิและของมนุษยชาติ


มาตรานี้ เป็นการยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการของชนกลุ่มน้อยและคนพื้นเมือง เช่น ชาวอินเดียนที่มีอยู่จำนวนมากบนเทือกเขา ถ้ารัฐธรรมนูญไทยเขียนไว้ชัดเจน เช่นนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข ให้เป็นไปตามกฎหมายอื่นๆ ที่ล้าหลัง และขัดแย้งกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล ปัญหาไฟใต้ก็คงไม่ลุกลามมาถึงระดับนี้ อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่สายเกินไป ที่จะปรับนโยบายและกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล


มาตรา 12 รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า แร่ธาตุ น้ำมัน และทรัพยากรธรรมชาติทั้งปวง ในอาณาเขตของชาติ ทั้งที่อยู่ ใต้ดิน ใต้ทะเล พื้นที่ชายฝั่งทะเล และในอากาศ เป็นทรัพย์สินของสาธารณะชนดังนั้นจึงห้ามโอน กรรมสิทธิ์ให้เป็นของเอกชนหรือชาวต่างชาติ


มาตรานี้ เป็นการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเลย ในการห้ามการให้สัมปทานและแปรรูปรัฐวิสาหกิจทรัพยากรของแผ่นดินอย่างสิ้นเชิง ซึ่งตรงกันข้ามกับของรัฐธรรมนูญไทย ที่อ้างกันนักหนาว่า ดีที่สุดในโลก


มาตรา 13 กำหนดว่า กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ เป็นของชาวเวเนซูเอลลาเท่านั้น ห้ามโอนกรรมสิทธิให้กับต่างชาติ ที่ดินว่างเปล่า เกาะ แก่งในแม่น้ำ เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ และห้ามออกเอกสารสิทธิ์ให้กับเอกชน นอกจากการให้เช่าใช้ประโยชน์เท่านั้น


ประเทศเวเนซูเอลลา เป็นดินแดนแห่งสันติภาพ จึงห้ามต่างชาติเข้ามาตั้งฐานทัพทางทหาร


มาตรา 21  ตำแหน่ง  หรือ ยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้าง เพื่อแสดงอภิสิทธิ์ หรือเรียกร้องการปฏิบัติที่แตกต่างจากคนทั่วไปได้


มาตรานี้ เป็นการเคารพหลักการสิทธิมนุษยชนสากลขั้นพื้นฐาน ที่มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่ว่าเขาจะมีฐานะ สีผิว เชื้อชาติ ชนเผ่า หรือ นับถือศาสนาใด หรือ$มีความเชื่อทางการเมืองใดก็ตาม จะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน


มาตรา 23 สนธิสัญญา อนุสัญญา และกติการะหว่างประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน ที่มีผลบังคับใช้ และรัฐบาลเวเนซูเอลลาได้ลงนาม หรือ  ให้สัตยาบรรณ ถือว่าเป็นกฏหมายที่มีสถานะเท่าเทียมกับรัฐธรรมนูญ และมีอำนาจบังคับใช้เหนือกว่ากฎหมายภายในประเทศ


ถ้าหากว่ากฎหมายระหว่างประเทศข้างต้น มีข้อความให้สิทธิและยอมรับการใช้สิทธิมากกว่าที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หรือกฎหมายอื่น  ก็ให้ถือว่ามีผลบังคับใช้ทันท ีโดยศาลและหน่วยงานของรัฐทุกหน่วย 


มาตรานี้  แสดงความจริงใจของประเทศในการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริงโดยไม่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะการยอมรับสถานะของกติการะหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ให้มีผลบังคับใช้เทียบเท่ากับรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ


มาตรา 29 รัฐมีพันธกรณี ต้องสอบสวนและลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน การลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน จะไม่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมายฉบับอื่นๆ รวมทั้งกฏหมายการให้อภัยโทษหรือการนิรโทษกรรม


มาตรา 30 รัฐมีพันธกรณีในการจ่ายชดเชยค่าเสียหายอย่างเต็มที่ให้กับผู้ที่เสียหาย หรือผู้ที่ได้รับฉันทะตามกฏหมาย ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ


ใน 2 มาตรานี้ เป็นการตอกย้ำถึงความจริงใจของรัฐบาลของนายชาเวซ ที่ให้การเคารพในสิทธิมนุษยชนอย่างสูง โดยไม่มีการหมกเม็ดแต่อย่างใดทั้งสิ้น


มาตรา 73  ระบุว่า การทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ข้อตกลง หรือการให้สัตยาบรรณกติการะหว่างประเทศ ที่อาจจะมีผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติ หรือการโอนอำนาจให้กับองค์กรเหนือรัฐ (รัฐวิสาหกิจ และการแปรรูป) จะต้องผ่านการลงประชามติโดยประชาชนทั้งประเทศ


ชาติประชานิยมในรัฐธรรมนูญ


รัฐธรรมนูญของเวเนซูเอลลา เป็นรัฐธรรมนูญที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และสวนทางกับกระแสของระบอบทุนครอบโลก (Globalization) การค้าเสรีที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมีทุนมากกว่า มีเทคโนโลยี่สูงกว่า มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการมากกว่า และได้ผูกขาดกลไกการตลาด สื่อมวลชน และการโทรคมนาคม ไว้ทุกด้าน จึงได้เปรียบและผลักดันให้ทุกประเทศเปิดเสรี (ยอมให้ขูดรีดอย่างเสรี)


มาตราต่อไปนี้ เขียนไว้อย่างชัดเจนและรัดกุม ในการปกป้องไม่ให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาปล้นสดมภ์ทรัพยากรของชาติ ด้วยข้ออ้างของลัทธิตลาดเสรี มาเอาเปรียบชาวเวเนซูเอลลา


มาตรา 301 รัฐสงวนสิทธิในการใช้นโยบายการค้าเพื่อปกป้องเศรษฐกิจของสาธารณะ และธุรกิจของชาวเวเนซูเอลลา การลงทุน ธุรกิจ บริษัท และเอกชนชาวต่างชาติ จะไม่ได้รับอนุญาต หรือได้รับสิทธิใดๆ มากกว่าที่ประชาชนชาวเวเนซูเอลลาได้รับ


มาตรานี้ บัญญัติไว้เพื่อไม่ให้กติกาขององค์การค้าโลก สามารถบังคับใช้ในประเทศเวเนซูเอลลา ในหัวข้อเรื่อง National Treatment หรือการปฏิบัติเหมือนคนชาติ ที่บังคับให้ทุกประเทศ ต้องให้สิทธิต่อคนต่างชาติ และธุรกิจข้ามชาติ ไม่น้อยกว่าคนในชาติ ซึ่งตีความได้ว่า ธุรกิจข้ามชาติและนักธุรกิจต่างชาติ มีสิทธิที่จะได้รับอภิสิทธิ์มากกว่าบุคคลในชาติ มิใช่เพียงแค่มีสิทธิเท่ากันเท่านั้น


มาตรา 302 รัฐสงวนสิทธิตามที่กฎหมายกำหนด ด้วยเหตุผลของผลประโยชน์ของชาติ อุตสาหกรรมน้ำมัน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการผลิต  ด้านตัวสินค้า และด้านการบริการ เป็นสมบัติของชาติ และเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ความมั่นคงโดยธรรมชาติ รัฐมีหน้าที่สนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตจากอุตสาหกรรมข้างต้น ให้คนในชาติได้มีงานทำ ได้สร้างสรรค์พัฒนาเทคโนโลยี่  พัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโต พัฒนาชาติให้มั่งคั่ง เพื่อความอยู่ดีกินดีของคนส่วนใหญ่


มาตรา 303 เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจ การเมือง และยุทธศาสตร์ รัฐจะเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของกิจการน้ำมันของรัฐ ที่มีชื่อว่า PDVSA ( Petroleos de Venezuela, S.A.หรือบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อบริหารงานกิจการข้างต้น ยกเว้นบริษัทร่วมทุนทางธุรกิจ


มาตรา 304 ทรัพยากรน้ำทั้งหมด เป็นสมบัติสาธารณะ เพราะมีความสำคัญต่อชีวิตและการพัฒนา และต้องกำหนดในกฎหมาย ให้คุ้มครองการใช้ประโยชน์ และป้องป้องไม่ให้มีการทำลาย วงจรธรรมชาติของน้ำ


มาตราทั้ง 3 น ี้บัญญัติไว้เพื่อป้องกันไม่ให้นักการเมืองหัวใส จัดการแปรรูปกิจการเหล่านี้เพื่อให้พรรคพวกของตัวเอง เข้าไปถือหุ้นยึดเอาทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นสมบัติของสาธารณะ มาเป็นสมบัติส่วนตน เหมือนบางประเทศ เช่น ประเทศไทย เป็นต้น


มาตรา 305  รัฐต้องสนับสนุนการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน โดยยึดถือเป็นยุทธศาสตร์พื้นฐานในการพัฒนาชนบท เพื่อเป็นหลักประกันให้ประชาชนมีอาหารกินอย่างเพียงพอ รัฐมีหน้าที่จัดหาเงินทุน ตลาด เทคโนโลยี่ ที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การฝึกอบรมอาชีพ และมาตรการที่จำเป็นอื่นๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้


อาชีพชาวประมงตามชายฝั่งทะเล ต้องได้รับการคุ้มครอง รวมไปถึงเขตประมงนอกชายฝั่งทะเล และป่าชายเลนด้วย


มาตรา 307 การถือครองที่ดินขนาดใหญ่ เป็นการขัดผลประโยชน์ของสังคม มาตรการทางภาษี ต้องนำมาใช้เพื่อขัดขวางการถือครองประเภทนี้ รวมทั้งมาตรการอื่นๆ เพื่อนำที่ดินเหล่านี้มาทำประโยชน์  เกษตรกรมีสิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดินทำกิน


มาตรานี ้บัญญัติขึ้นเพื่อป้องกันการกักตุนที่ดินกันคนละเป็นพันเป็นหมื่นไร ่โดยไม่ได้ทำประโยชน์ให้คุ้มค่า และทำให้เกษตรกรไร้ที่ดินทำกิน


มาตรา 308 รัฐจะปกป้องและสนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ขนาดกลาง สหกรณ์ ธุรกิจของครอบครัว และธุรกิจของชุมชน เพื่อเป็นการสร้างงาน เพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ และสร้างความเข้มแข็งให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ  รัฐมีหน้าที่จัดหาเงินทุนให้


มาตรา 311  รัฐมีหน้าที่นำรายได้ทั้งหมดที่ได้มาจากทรัพยากรธรรมชาติ นำมาใช้ในการลงทุนที่มีประโยชน์ สนับสนุนการศึกษา และสาธารณสุขของประชาชน


มาตรา 333 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ในกรณีที่มีการยุติการใช้ด้วยอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องต่อสู้เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่


มาตรานี้ เป็นการมอบหมายหน้าที่การปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ให้ประชาชนเป็นผู้ปกป้อง


ตัวอย่างของมาตราบางมาตราที่ยกมาอ้างข้างต้น ในรัฐธรรมนูญที่ประธานาธิบดีฮูโก ซาเวซเป็นผู้ผลักดันให้ร่างนี้ และส่งให้ประชาชนทั้งประเทศลงประชามติรับรองนเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นต่อนโยบายชาติประชานิยม ที่คำนึงถึงผลประโยชน์ และความอยู่ดีกินดีของประชาชน และประเทศชาติเป็นตัวตั้งในการดำเนินนโยบาย โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นฐานรองรับ


แต่อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญนี้ และกฏหมายอีก 49 ฉบับที่ออกตามมา เช่น กฏหมายปฏิรูปที่ดิน และกฏหมายว่าด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมันของชาติ ได้ทำให้มีกลุ่มผลประโยชน์หลายกลุ่ม เช่น นักการเมืองเก่า ข้ารัฐการเก่า  นักเทคนิคบริหาร และนายทหารบางกลุ่ม เสียผลประโยชน์อันได้มาอย่างไม่ชอบธรรม โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมน้ำมัน และการจัดจำหน่ายน้ำมัน ที่เคยได้อภิสิทธิ์ผูกขาดจากการจ่ายเงินสินบนใต้โต๊ะ และแบ่งผลประโยชน์ในหมู่พวกพ้อง วงศาคณาญาติ ดังนั้นกลุ่มเหล่านี้ จึงรอจังหวะที่จะหาทางโค่นประธานาธิบดีชาเวซลงให้ได้


การก่อกวนของกลุ่มการเมืองเก่าที่เป็นศัตรูของประชาชนผู้ยากไร้


แม้ว่าประเทศเวเนซูเอลลา จะเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันเป็นอันดับ 5 ของโลก รายได้จากน้ำมันซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งรัฐถือหุ้นทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 26.4 ของจีดีพี หรือผลผลิตรวมของชาติ  คิดเป็นร้อยละ 80.20 ของรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ และคิดเป็นรายได้ร้อยละ 45.6 ของรายรับของรัฐ


กระนั้นก็ตาม ประชาชนร้อยละ 67 ในปี 1997 จากจำนวน 25 ล้านคน มีรายได้ต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจน คือมีรายได้ต่ำกว่าวันละ 2 เหรียญอเมริกัน หรือ 80 บาท  ทั้งนี้ เพราะรัฐบาลทหารและนักการเมืองในรอบ 40 ปีที่ผ่านมาก่อนหน้าเข้าได้รับการเลือกตั้ง ต่างฉ้อราษฏรบังหลวงอย่างสะบั้นหั่นแหลก กิจการน้ำมันของรัฐที่มีชื่อว่า PDVSA (Petroleos de Venezuela)  ถูกนักการเมืองเข้าควบคุม และส่งเงินเข้ารัฐน้อยมาก ( คล้ายๆกับกฟผ. และ ปตท.)


นาย คาร์ลอส อังเดร เปเรซ  ซึ่งครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 1961 ได้นำนโยบายเสรีนิยมใหม่มาใช้อย่างเต็มขั้น โดยการยุติการให้การอุดหนุนสินค้าอาหาร เชื้อเพลิง ที่อยู่อาศัย การศึกษา การรักษาพยาบาล ค่าโดยสารรถประจำทาง โดยปล่อยให้เป็นไป ตามกลไกการตลาดที่กำหนดโดยนายทุน ประชาชนจึงเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า คนจนเพิ่มขึ้นนับจำนวนไม่ถ้วน


กลุ่มนักการเมือง นักเทคนิกบริหาร กลุ่มสื่อสารมวลชน  และทหาร ที่นำโดยรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่มีนาย คาร์ลอส อังเดร เปเรซ  ซึ่งครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 1961 สูญเสียผลประโยชน์ เมื่อชาเวซได้รับการเลือกตั้ง จึงร่วมมือกับกลุ่มผูกขาดน้ำมันข้ามชาติอเมริกัน ทำการก่อกวน ตั้งแต่การยุยงให้คนงานบริษัทน้ำมันหยุดงาน ทำลายเครื่องจักร กักตุนอาหาร ไม่ยอมส่งออกไปจำหน่าย ทำให้อาหารขาดแคลนและมีราคาแพง สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างแสนสาหัส ลอบส่งเงินออกนอกประเทศ เพื่อทำลายเสถียรภาพของค่าเงินมากถึง  3.2 หมื่นล้านเหรียญ


เมื่อใช้วิธีการข้างต้นทุกประการแล้วยังไม่สำเร็จ กลุ่มของนายเปเรซที่เสียผลประโยชน์ ก็ร่วมมือกับทหารกลุ่มหนึ่ง ก่อการรัฐประหาร และจับตัวประธานาธิบดีชาเวซควบคุมตัวไว้ 2 วันในเดือนเมษายน 2002  และแต่งตั้งนายเพโดร คาร์โมนา เอสแทนกา ประธานกลุ่ม Fedcameras ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีได้ แค่ 2 วัน 


Fedcameras เป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด และเป็นผู้นำในการสั่งให้คนงานหยุดงานและหยุดขายสินค้า ร่วมกับ Consecomercio ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจผู้ค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุด แต่ก็ต้องปล่อยตัวชาเวซออกมาเมื่อ ประชาชนทั้งประเทศที่เลือกชาเวซ ลุกฮือร่วมกันเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขา


อันที่จริง กลยุทธนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยในทวีปลาตินอเมริกา ในปี 1973 หรือ 30 ปีที่แล้ว ประธานาธิบดีอัลเยนเด้ ของประเทศชิลี ซึ่งได้รับการเลือกตั้งมาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น และดำเนินนโยบายชาติประชานิยม โดยการโอนกิจการอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ คือ เหมืองทองแดง และกิจการโทรคมนาคมเข้ามาเป็นของรัฐ


อัลเยนเด้จึงถูกก่อกวนด้วยการสร้างสถานการณ์ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมให้ปั่นป่วนด้วยวิธีการข้างต้น เช่นสหภาพกรรมกรรถขนส่งหยุดงานประท้วง ไม่ยอมส่งสินค้าและอาหารไปเข้าร้านค้า มีการกักตุนอาหาร ส่งเงินออกนอกเพื่อทำลายเสถียรภาพของค่าเงิน และก่อการรัฐประหารในที่สุด โดยการสนับสนุนของรัฐบาลอเมริกัน และบริษัทอเมริกันหลายบริษัท ที่เด่นๆ  คือ บริษัทไอทีที


อัลเยนเด้ถูกสังหารในทำเนียบ เพื่อรักษาอุดมคติว่าเขาไม่ทอดทิ้งประชาชน โดยไม่ยอมหลบหนีออกไปตามคำแนะนำของกองกำลังรักษาความปลอดภัยของทำเนียบ นายพลปิโนเชต์ ผู้ก่อการรัฐประหาร หลังจากครองอำนาจได้กว่า 25 ปี ปัจจุบันกำลัง ถูกฟ้องในข้อหาคอรัปชั่น หลายคดี


กลยุทธต่อมาที่กลุ่มนายเปเรซและบริษัทน้ำมันอเมริกันใช้ คือ การล่ารายชื่อได้จำนวนมากพอให้มีการลงประชามติขับประธานาธิบดีชาเวซออกจากตำแหน่ง หลังจากการเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 2 ปีเศษ


แต่ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ก็ได้รับคะแนนเสียงยืนยันจากประชาชนทั้งชาติ มากถึงร้อยละ 58 ต่อ 42 ให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป


การก่อกวนของกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเสียหายยับเยินมากถึง 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในภาคการผลิตน้ำมัน จีเอ็นพีลดลงร้อยละ 27.6 ในปี 2003  หรือร้อยละ  76.7 ของภาคการผลิตที่ไม่ใช่ภาคน้ำมันรัฐ และคิดเป็นร้อยละ 17.5 ของภาคการผลิตน้ำมันของรัฐ


อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในระหว่างปี 1999-2001 รัฐบาลควบคุมไว้อยู่แล้ว ได้ถูกก่อกวนให้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38.7 หรือ ประมาณ ร้อยละ 1.56  ต่อเดือนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2003


อัตราว่างงาน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 และ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2003 ได้เพิ่มเป็น 20.7จากแรงงานทั้งหมด จำนวน 2.4 ล้านคน 


เนื่องจากชาเวซเป็นประธานาธิบดีที่มีฐานมาจากประชาชนส่วนข้างมากที่ยากจน  เขาจึงสามารถ ตอบโต้และ ใช้มาตรการต่างๆ ที่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนมาช่วย เช่น การยึดโกดังคลังกักตุนอาหาร ของกลุ่มธุรกิจที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีเปเรซ ให้นำออกมาจำหน่ายในตลาด จัดตั้งประชาชนเป็นสมาคมผู้บริโภค เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการกำหนดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น  รวมทั้ง การสร้างเครือข่ายตลาดจัดจำหน่ายสินค้าแบบตลาดนัดทั่วทุกชุมชน ทั่วประเทศ เพื่อจำหน่ายสินค้าราคาถูกให้ประชาชน


นอกจากนี ้ชาเวซยังออกกฏหมายมาควบคุมค่าเช่าไม่ให้ขึ้นสูงจนเกินไป และสั่งควบคุมการลอบส่งเงิน ตราออก นอกประเทศด้วย และจำกัดการใช้จ่ายของชาวเวเนซูเอลลา ที่เดินทางออกนอกประเทศไม่ให้ใช้เกินคนละ 2000 เหรียญต่อปีเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินด้วย


เส้นทางไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ


ประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ เฟรียส์ เกิดที่เมือง ซาบานีตา รัฐบารินาส์ เมื่อวันที่ 28 กรกฏาคม 1954  หรือ พ.ศ. 2497 พ่อแม่เป็นครูทั้งคู่ เมื่อเขาเรียนจบโรงเรียนชั้นมัธยมปลาย   พ่อแม่ก็ส่งเขาเข้าเรียนต่อโรงเรียนนายร้อย ตามธรรมเนียมของกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ที่ทหารเป็นผู้ปกครองประเทศด้วยการปฏิวัติและรัฐประหารมาโดยตลอด ดังนั้น ถ้าต้องการเห็นลูกหลานก้าวหน้า ก็ต้องส่งเข้าโรงเรียนทหาร (ค่านิยมเดียวกับของไทย ไม่รู้ว่าใคร่ลอกเลียนแบบใคร…….?.)


หลังจากเรียนจบ และเข้ารับตำแหน่งในกองทัพแล้ว ในปี 1982 เขาได้ก่อตั้ง ขบวนการปฏิวัติชาวโบลิวาร์ขึ้นมาดำเนินการทางการเมือง และระหว่างปี 1989-1990 สมัครเข้าเรียนสาขาวิชารัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย ซีมอน โบลิวาร์ ( ตั้งตามชื่อนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ของลาตินอเมริกา) ในเมืองคาราคัส


ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ในปี 1992 ชาเวซ  ได้นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลของประธานาธิบดี คาร์ลอส อันเดร เปเรซ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าคอรัปชั่น และไม่ใส่ใจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน  การยึดอำนาจครั้งนี้ล้มเหลวและเขาถูกจับติดคุก 2 ปี


ในระหว่างติดคุก ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 1992  เขาได้ลอบอัดวิดิโอเทปตัวเอง เรียกร้องทหารให้ลุกขึ้นมาก่อการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง ในการลุกฮือครั้งนี้ เกิดการต่อสู้กัน มีผู้บาดเจ็บจำนวนหนึ่ง และเสียชีวิต 230 คน แต่ก็ล้มเหลว


ประธานาธิบดีคนต่อมาของเวเนซูเอลลา ชื่อ คัลเดอราได้ประกาศนิรโทษกรรมชาเวซในปี 1994


เมื่อออกจากคุกแล้ว ชาเวซได้ก่อตั้งพรรคการเมืองชื่อ ขบวนการสาธารณรัฐที่ 5 หรือ MVR ขึ้นมา และในปี 1998 พรรคการเมืองแนวร่วมฝ่ายซ้ายที่มีพรรคเอ็มวีอาร์ของชาเวซ เป็นผู้นำได้รับคะแนนเสียง ร้อยละ 34 ของรัฐสภาแห่งชาติ และเสนอชื่อเขาเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี


เขาได้รับชัยชนะ ด้วยคะแนนเสียงมากถึงร้อยละ 56 ของผู้ลงคะแนนเสียงทั้งหมด ด้วยการชูคำขวัญ "กอบกู้คนจน โค่นล้มกลุ่มผูกขาดเศรษฐกิจการเมือง" ซึ่งมากที่สุดในรอบ 4 ศตวรรษ


ชัยชนะของชาเวซ เป็นการสิ้นสุดและทำลายระบอบพรรคการเมือง 2 พรรค อันได้แก่ พรรคกิจประชาธิปไตย ( Democratic Action)-AD)   และ พรรคสังคมนิยมคริสเตียน (Christian Socialist Party-COPEI) ที่ล้วนปกป้องผลประโยชน์ของคนรวย ด้วยการปล้นสดมภ์ผลประโยชน์ของชาติและคนจนตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา


นโยบายชาติประชานิยม


นโยบายของประธานาธิบดี ชาเวซ คือ การเลือกทางสายกลาง ระหว่างระบบคอมมิวนิสม์และระบบทุนนิยม โดยยึดถืออุดมการณ์ของซีมอน โบลิวาร์ นักปฏิวัติทวีปนิยมที่ยิ่งใหญ่ของลาตินอเมริกา


ชาเวซได้ปฏิรูปทางการเมืองใหม่ โดยสร้างกระบวนประชาธิปไตยใหม่ โดยการจัดตั้งองค์กรประชาสังคมที่มีสมาชิกไม่เกิน 30 ครอบครัว เรียกว่า องค์กรชีวิตชุมชน หรือ Community Living Organization -OCVs ในทุกชุมชน ทุกเขต ทุกจังหวัด รวมทั้งในเมืองหลวง แล้วจัดสรรงบประมาณจากภาษีอากร และจากรายได้จากน้ำมัน ให้องค์กรเหล่านี้ไปดำเนินการในเรื่องการสุขอนามัย การศึกษา การฝึกอาชีพ  สร้างสถานอนุบาลเด็กอ่อน


ชาเวซ ได้ตั้งกระทรวงใหม่ขึ้นมาอีก 3 กระทรวง คือ กระทรวงการเคหะ เพื่อจัดการแก้ปัญหาคนไร้บ้านให้มีบ้านอยู่กันทุกคน  กระทรวงอาหาร เพื่อแก้ปัญหาความอดอยากของประชาชน โดยเฉพาะเด็ก และกระทรวงพลังเศรษฐกิจรากหญ้า เพื่อประสานงานกับกระทรวงและหน่วยงานของรัฐอื่นๆ เพื่อปล่อยสินเชื่อรายย่อยให้ประชาชนรากหญ้า บริษัทขนาดเล็ก และขนาดกลาง ให้ตั้งตัวได้   


นอกจากนี ้ยังได้จัดสรรงบประมาณอีก 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.6 แสนล้านบาท สำหรับดำเนินการโครงการเร่งด่วน 10 โครงการ ที่เรียกว่า "พันธกิจของรัฐให้ความช่วยเหลือด้านปัจจัยดำรงชีพ เช่น อาหาร บ้าน การศึกษา และสาธารณสุข ให้กับประชาชนระดับรากหญ้าจำนวนหลายล้านคน ที่มีมาตรฐานชีวิตต่ำกว่าเส้นความยากจน ได้มีบ้านและสามารถอ่านออกเขียนได้


คนแก่ทุกคนได้รับเงินบำนาญเลี้ยงดูประจำเดือน  นอกจากนี้ ประธานาธิบดีชาเวซยังได้ผูกมิตรกับประเทศคิวบา โดยการขายน้ำมันให้ในราคาพิเศษวันละ 53,000 บาเรล แลกกับหมออาสาสมัครชาวคิวบาจำนวน 3 พันคน ที่เข้ามาประจำการ 24 ชั่วโมง เพื่อดูแลคนป่วย คนแก่ และเด็ก โดยรัฐไม่คิดเงิน แม้แต่ค่ายาก็ไม่ต้องจ่าย


โครงการนี ้ใช้รายได้จากการขายน้ำมันของประเทศ มาเป็นค่าใช้จ่าย  นับเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ที่ผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีมากที่สุด คือ น้ำมัน ได้กลับคืนมาให้ประชาชนเจ้าของประเทศ ผู้เป็นเจ้าของ ทรัพยากร ที่แท้จริงได้


จากนโยบายข้างต้น ในเวลา 4 ปี ชาเวซสามารถลดอัตราการตายของทารกกแรกเกิด จาก 24  ต่อ 1,000 คน ลงเหลือ 17 คนต่อ 1,000 คน หรือร้อยละ 30 เพราะว่าแม่ลูกอ่อนคนจน มีโอกาสได้รับการดูแลในโรงพยาบาล และทารกได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงครบทุกประเภท โดยเฉพาะโรคไวรัสลงตับ บีที่ลดลงร้อยละ 15


ประชากรจำนวน 1 ล้านคนที่เคยอ่านหนังสือไม่ออก ก็สามารถอ่านออกเขียนได ้ด้วยนโยบายทุ่มเทงบประมาณ ให้การศึกษาทั้งในระบบ และนอกระบบ


ผลผลิตน้ำมันของเวเนซูเอลลา ได้ส่งออกให้ตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา คิดเป็นร้อยละ 15 ของยอดใช้น้ำมัน ของ สหรัฐอเมริกา ดังนั้น อเมริกาจึงมีบทบาทอย่างมากในการร่วมมือกับพรรคการเมืองและนักการเมืองหน้าเก่า 2 พรรค ร่วมกันบ่อนทำลายเสถียรภาพของประธานาธิบดีชาเวซในทุกด้าน


ประธานาธิบดีชาเวซ ไม่ยอมให้ผลประโยชน์น้ำมันของชาติถูกนักการเมืองฉกฉวยเอาไปเข้ากระเป๋าตนเองและสมัครพรรคพวก หรือขายให้ต่างชาติในราคาถูกๆอีก โดยการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเลยว่า ส่วนแบ่งผลประโยชน์จากน้ำมัน จะให้เอกชนได้รับในสัดส่วนที่มากกว่ารัฐไม่ได้ ตรงกันข้ามกับของไทยซึ่งรัฐวิสาหกิจ ที่มีกำไรมักจะส่งรายได้เข้าคลังน้อยมาก


แต่เดิม น้ำมันที่ขุดได้ จ่ายภาษีเพียงร้อยละ 16.6 แต่ในปี 2001 ชาเวชได้ขึ้นเป็นร้อยละ 30 ของราคาน้ำมันที่ขายปลีกในแต่ละบาเรล (คิดที่ปลายทางจากยอดปริมาณการขายต่อบาเรล ซึ่งทำให้หลีกเลี่ยงได้ยากกว่าคิดจากผลกำไรรวม ซึ่งมักจะบวกค่าใช้จ่ายให้สูงไว้ เพื่อจะได้มีกำไรน้อยๆ) อันเป็นการอุดช่องโหว่การ รั่วไหลของรายได้ของรัฐ แล้วนำรายได้มา เป็นค่าใช้จ่ายด้าน การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


นอกจากนี้ ประธานาธิบดีชาเวซ ยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดประชุมกลุ่มประเทศผลิตน้ำมันโอเปกที่เมืองหลวงคาราคัสของตน เพื่อจำกัดปริมาณการผลิตของแต่ละประเทศ ทั้งนี้เพื่อรักษาราคาน้ำมันของโลก ให้เจ้าของบ่อน้ำมันมีกำไร ซึ่งตรงกันข้ามกับนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมา ที่ดำเนินนโยบายตามคำสั่งของกลุ่มบริษัทน้ำมันข้ามชาติที่ต้องการทำให้โอเปกแตกแยก โดยการให้เวเนซูเอลลา ไม่ปฏิบัติตามนโยบายการจำกัดการผลิต เพื่อรักษาราคาน้ำมันโลกให้สูงไว้ ทั้งๆ ที่เวเนซูเอลลา เป็นหนึ่งในประเทศผู้ร่วมก่อตั้งโอเปก ซึ่งประเทศเจ้าของบ่อน้ำมันจะได้ประโยชน์มากกว่า การเพิ่มปริมาณการผลิต แล้วทำให้ราคาน้ำมันลดลง ทำให้ประเทศอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันจะได้ประโยชน์ โดยเฉพาะอเมริกาที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของเวเนซูเอลลา


ในปี 2007 ชาเวซประกาศซื้อกิจการโทรคมนาคมของชาติ ชื่อ Compania Anonima Nacional  de Telefonos - CANTV ซึ่งเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ด้วย (เหมือนกับบริษัทชิน ที่เป็นเจ้าของไอทีวีด้วย) คืนจากบริษัทต่างชาติ=Verizon ของอเมริกา


Electriccidad  de Caracas ซึ่งเป็นบริผู้ให้บริการไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของเวเนซูเอลลา ซึ่งบริษัท AES Corp. ที่มีบริษัทแม่อยู่ในมลรัฐ Virginia ของอเมริกาเป็นเจ้าของ  และถูกแปรรูปไปในสมัยรัฐบาลฉ้อฉล ทำให้ชาวเวเนซูเอลลาต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงมาเป็นเวลานาน


ที่ดินต้องเป็นของผู้ไถหว่าน


ในประเทศเวเนซูเอลลา ที่ดินร้อยละ 60 อยู่ในการถือครองของเจ้าที่ดินจำนวนร้อยละ 2 ของประเทศ คือ ประชากรร้อยละ 2 ถือครองที่ดินมากถึงร้อยละ 60 ของประเทศ (ไม่ต่างจากประเทศไทยมากนัก)


นโยบายของชาเวซ คือ การใช้ระบบภาษีเข้ามาแก้ปัญหา โดยการออก พ.ร.บ.ภาษีที่ดินใหม่ มาเก็บภาษีผู้ที่กักตุนที่ดินโดยไม่ทำประโยชน์ในผืนดินนั้น นอกจากนี้ เมื่อพ้นระยะเวลากำหนดแล้ว ยังไม่ทำอะไร รัฐบาลก็จะยึดที่ดินกลับคืนมาทำประโยชน์


นอกจากนี้ ที่ดินที่เอกชนรุกล้ำยึดมาอย่างผิดกฎหมาย ก็จะถูกยึดคืนมาให้กับเกษตรที่ยากจนได้ทำกินในรูปของสหกรณ์ที่รัฐยังเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ แต่รัฐเป็นผู้จัดหาเงินทุน เครื่องมือ รวมทั้งสร้างบ้านและโรงเรียนให้กับสหกรณ์


ชาเวซได้ปฏิรูปที่ดินโดยการแจกจ่ายที่ดินจำนวน 7.5 ล้านเอเคอร์ หรือ 18.75 ไร่ให้กับเกษตรกรที่ไร้ที่ดินทำกินจำนวน 1 แสน 2 หมื่นคน ให้มีที่ทำกิน (ที่ดินที่ได้รับมานี้ห้ามขายต่อ ถ้าเลิกทำก็ต้องคืนกลับให้รัฐ)


รัฐบาลยังได้จัดหารถแทรกเตอร์อีกจำนวน 2,000 คันจากประเทศจีนและบราซิลซึ่งมีราคาถูกมาให้กับ สหกรณ์เหล่านี้ด้วย


นอกจากนี้ ชาเวซยังกำหนดนโยบายเกษตรกรรมของชาติ ห้ามการปลูกพืชจีเอ็มโอทุกประเภท ในผืนดินของ เวเนซูเอลลา โดยยกเลิกข้อตกลง ซึ่งรัฐบาลก่อนหน้าเขาได้ไปทำสัญญากับบริษัทมอนซานโต ยักษ์ใหญ่ด้านเมล็ดพันธุ์ของอเมริกัน ให้ใช้เนื้อที่ 1.25 ล้านไร่ในประเทศเวเนซูเอลลาปลูกถั่วเหลือง


นอกจากนี้แล้ว ชาเวซยังได้ก่อตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชพื้นเมือง เพื่อรักษาเมล็ดพันธุ์พืชพื้นเมืองไว้เป็นมรดก สำหรับเกษตรกรทั่วโลกอีกด้วย


การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


ประธานาธิบดีชาเวซได้ปล่อยนักโทษจำนวนมาก โดยเฉพาะนักโทษการเมือง เพราะว่าในระหว่างที่เขาติดคุก เขาได้ข้อมูลว่า มีนักโทษจำนวนมาก ที่ติดคุกโดยไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาคดีของศาลสถิตยุติธรรม เขาติดตั้งคอมพิวเตอร์ในคุกให้นักโทษเรียนรู้ หรือเขียนเรื่องราวชีวิตของตนออกเผยแพร่ ปล่อยกู้ให้นักโทษเปิดกิจการขนาดเล็กในคุกขายกันเอง เช่น ร้านขนมปังและคุกกี้


นักโทษชั้นดีจะได้รับการปล่อยตัวออกไปทำงานในเวลากลางวัน และกลับมาติดคุกในเวลากลางคืน


ประธานาธิบดีชาเวซได้สร้างโรงเรียนใหม่ 3,000 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 10 ของโรงเรียนที่มีอยู่เดิม เด็กนัก เรียนทุกคนจะได้รับอาหารเช้าก่อนเข้าห้องเรียน ชาเวซกล่าวว่า หากเด็กท้องหิวแล้ว ก็คงจะเรียนไม่รู้เรื่อง จึงมีนโยบาย ให้กินอาหารอิ่มก่อนเข้าห้องเรียน นอกจากอาหารเที่ยงแล้ว เด็กยังได้รับน้ำผลไม้และคุกกี้ในตอนบ่ายอีกด้วย


้จำนวนนักเรียนที่เข้าสู่ระบบได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 30


สนามกีฬาและโรงละครเกิดขึ้นใหม่มากมายทั่วทุกชุมชน เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสใช้สิทธิทางวัฒนธรรมตามหลักการสิทธิมนุษยชนสากล เด็กคนไหนอยากเล่นกีฬาอะไรก็ได้เล่น โดยมีเครื่องมือ และอุปกรณ์พร้อม ในศูนย์กีฬาชุมชน


จากนโยบายข้างต้น นายมาซา ซาวาลา ผู้อำนวยการธนาคารกลางแห่งชาติได้ประเมินตัวเลข อัตราการเติบโต ทางเศรษฐกิจไว้ที่ร้อยละ 12 ในปี 2004 เพราะว่าในไตรมาสแรกอัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 29.8 เมื่อเทียบกับ ไตรมาสของปีที่แล้วซึ่งมีการยุยงให้ผละงานทำให้ จีดีพีลดลงถึงร้อยละ 27.8 ส่วนภาคการผลิตน้ำมันและอุต สาหกรรม เกี่ยวเนื่องลดลงถึงร้อยละ 47 ประเทศทั้งประเทศเกือบจะเป็นอัมพาต


ในไตรมาสแรกของปี 2004 ภาคอุตสาหกรรมอื่นๆเติบโตมากถึงร้อยละ 48 การก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 การค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.9 ส่วนด้านการขนส่งและการโกดังสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.3


นโยบายชาติประชานิยมแท้ ถ้าหากว่านำมาใช้จริง ก็สามารถพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตและ ยั่งยืนอย่างพอดีและเป็นธรรม มากกว่านโยบายเสรีนิยมใหม่ ซึ่งหลีกไม่พ้นที่จะสร้างปัญหาสังคม ในด้านคนว่างงานเพิ่มขึ้น ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยเพิ่มขึ้น ปัญหาอาชญากรรมเพิ่มขึ้น การขาดดุลการค้า การขาดดุลชำระเงิน เงินเฟ้อ และหนี้ต่างประเทศเพิ่ม ในที่สุดก็ต้องกู้เงิน จาก ไอเอ็มเอฟมาแก้ปัญหา และต้องรับเงื่อนไขขายชาติ ขายประชาชน ขายทรัพย์สิน และทรัพยกร ของแผ่นดินให้ต่างชาติไปหมด


 


 -----------------------------------------------------


หนังสืออ้างอิง


DeRosa, Mike. 2003. " The Bush-Venezuelan Coup: One Year Later". The Connecticut Green Party. 28 March 2003.


Ellsworth, Brian. 2004. "Chavez"s Social Reforms Impress American Liberals U.S."" . Sun-Sentinel. 6 October 2004.


Marquez, Humberto. "Chavez to Further Strengthen Social Reforms". Third World Resurgence 169-170 : pp. 42-43.


 


Web site:


 


http://www.alternet.org


http://www.ctgreens.org


http://www.embavenez-us.org


http://www.globalpolicy.org


http://www.handsoffvenezuela.org


http://www.infoplease.com


http://www.marxist.com


http://www.redpepper.org.uk


http://www.venezuelanalysis.com


http://www.vheadline.com


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net