สถาบันข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2549
เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (28 พฤศจิกายน) ที่ห้องพิจารณาคดี 1 ศาลจังหวัดปัตตานีได้นัดฟังคำสั่งศาลในคดีหมายเลขดำที่ ช. 4/2547 กรณีคดีชันสูตรพลิกศพ 32 รายในเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 ที่พนักงานอัยการจังหวัดปัตตานีและญาติผู้เสียชีวิตยื่นคำร้องขอไต่สวนการตายอันเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ โดยมีญาติของผู้เสียชีวิตมารอรับฟังคำสั่งศาลกว่า 20 คน
ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำสั่งโดยสรุปว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมด 32 คน ถูกเจ้าหน้าที่กระทำให้ชีวิตและผู้เสียชีวิตทั้งหมดมีการปะทะกันกับเจ้าหน้าที่รัฐโดยใช้อาวุธเป็นมีดและปืน ในจำนวนนี้ มี 4 คน ที่เสียชีวิตเมื่อเวลา 05.00 น. โดยเสียชีวิตที่บริเวณป้อมยาม 1 คน และเสียชีวิตบริเวณหน้ามัสยิดกรือเซะอีก 3 คน ส่วนอีก 28 คน เสียชีวิตเมื่อเวลา 14.00 น. ในมัสยิดกรือเซะ ซึ่งเป็นการเสียชีวิตภายใต้คำสั่งการของ พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความปลอดภัยภายใน (กอ.รมน.) และ พ.อ.มนัส คงแป้น ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี พ.ต.
คดีดังกล่าวเป็นผลมาจากเหตุการณ์ปะทะและถล่มมัสยิดกรือเซะในวันที่ 28 เมษายน 2547 อันเป็นเหตุให้ประชาชนเสียชีวิตจำนวน 32 คน และเจ้าหน้าที่เสียชีวิตจำนวน 4 นาย บาดเจ็บ 6 นาย และพนักงานอัยการจังหวัดปัตตานียื่นคำร้องขอไต่สวนการตายอันเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ โดยมีนายสการียา ยูโส๊ะและพวกรวม 32 คนซึ่งเป็นญาติของผู้เสียชีวิตเป็นร่วมเป็นผู้ซักค้าน
ศาลจังหวัดปัตตานีได้รับฟ้องเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2547 และเริ่มนัดไต่สวนคำร้องและรับฟังพยานมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 - กันยายน 2549 รวมทั้งหมด 14 นัด สำหรับการนัดฟังคำสั่งศาลในครั้งนี้ ถือเป็นคดีชันสูตรไต่สวนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 28 เมษายน 2547 เป็นคดีแรก จากคดีชันสูตรไต่สวนทั้งหมด 25 คดี ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดปัตตานี ยะลา และสงขลา
นาย
เขากล่าวอีกว่า กระบวนการต่อจากนี้ ศาลจะส่งสำนวนการชันสูตรไต่สวนและคำสั่งศาลดังกล่าวไปให้อัยการจังหวัดเพื่อส่งต่อให้กับพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนเดิม กระบวนการหลังจากนั้น พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่กระทำการเกินขอบเขตหรือไม่ เพื่อทำสนวนส่งฟ้องผู้ต้องหาในลำดับต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีวิสามัญฆาตกรรมจะต้องส่งสำนวนดังกล่าวให้กับอัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะส่งฟ้องต่อศาลหรือไม่
นายอนุกูล ระบุด้วยว่า หากเจ้าพนักงานสอบสวนหรืออัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ญาติผู้เสียชีวิตสามารถเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลเองได้ โดยใช้คำสั่งศาลดังกล่าวและสำนวนการชันสูตรไต่สวนซึ่งเบิกความในศาลไปแล้วมาเป็นหลักฐานสำคัญได้ อย่างไรก็ตาม การฟ้องร้องในทางอาญาเป็นสิทธิของญาติผู้เสียชีวิต ซึ่งจะต้องมีการหารือร่วมกับทนายความของศูนย์นิติธรรมสมานฉันท์ว่าจะฟ้องคดีหรือไม่ในเร็วๆ นี้
นาย
"การตายแบบไม่ธรรมชาติอย่างนี้ เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนจะต้องพิจารณาดำเนินคดีอยู่แล้ว"
ด้านนาย