ศุภวรรณ ชนะสงคราม
"...ตาคู่นั้นสบตอบมา กลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ...ฉันรับรู้ได้ถึงความมั่นใจ มุ่งมั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องและดีงาม หลังจากนั้นดวงตาฉันกลับพร่าเลือนเมื่อกวาดตาไปเห็นเด็กหนุ่มอีกคนเลือดอาบศีรษะ เอนกายพิงเพื่อนของเขาเพราะไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้อีกต่อไป..."
รุ่งเช้าของวันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน 2546 ฉันขับรถออกจากบ้านแล้วแวะรับพี่ๆ น้องๆ ซึ่งร่วมงานกันมานานหลายปี วันนี้เรามีนัดพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันอีกครั้งถึงเรื่องของงานพัฒนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อกำหนดอนาคตของตัวเอง ทำอย่างไรให้คำว่า "สิทธิชุมชน" ซึ่งเขียนไว้สวยหรูในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ออกมาโลดแล่นอย่างมีชีวิตชีวาได้ในโลกของความเป็นจริง
เราแวะเวียนระหว่างทางจนกระทั่งบ่าย ใกล้เวลานัดหมายจึงมุ่งหน้าตรงไปยังชายทะเล แล้วเลี้ยวเข้าไปจอดในลานกว้างซึ่งผู้คนละแวกนี้รู้จักกันดี ในนาม "ลานหอยเสียบ" ลงจากรถได้สักครู่กลับได้ยินเสียงรถยนต์หลายคันวิ่งมาหยุดบนถนนระหว่างลานหอยเสียบกับมัสยิดมูสาฟิรีน พร้อมๆ กับเสียงอึกทึกสลับเสียงตะโกนโหวกเหวก และเสียงวิ่งของคนจำนวนมาก
พวกเราหยุดนิ่งมองหน้ากันด้วยความงุนงงและตกใจ ก่อนที่ฉันจะตรงเข้าไปถามบังที่ยืนอยู่แถวนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น ได้คำตอบว่า "มีรถแปลกๆ ขับผ่านมัสยิดเข้าไปทางป่าพรุ กลุ่มเด็กอนุรักษ์ฯ สงสัยก็เข้าไปถามว่าพวกเขามาทำอะไรกัน" "แต่ตอนนี้ นาย[1] แห่กันมาเกือบสิบคันรถ...ไม่รู้เหมือนกันว่า นี่มันอะไรกัน"
เสียงจากฝั่งตรงข้ามถนนยังคงดังต่อเนื่อง ฉันเก็บความกังวลไว้ไม่ไหว เดินตามขึ้นไปบนเนินสูงของถนนเพื่อมองผ่านรถเจ้าหน้าที่ตำรวจลงไปหน้ามัสยิด
เสียงเงียบลงแล้ว คนในเครื่องแบบพร้อมอาวุธทยอยเดินกลับขึ้นรถกระบะ กลุ่มที่ถือกระบองยังคงแสดงอาการให้รู้ว่าพร้อมที่จะจัดการหากมีประชาชนหน้าไหนกล้าขัดขืน
เด็กกลุ่มอนุรักษ์ฯ 3 คน ถูกจับโยนขึ้นท้ายรถกระบะ ผู้ใหญ่หลายคนยืนเก้ๆ กังๆ ด้วยความงุนงงต่อเหตุการณ์ที่ปรากฏต่อสายตา มันรวดเร็ว รุนแรง และไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะล้อมกระหน่ำตีเด็กที่ไม่มีทางต่อสู้ได้ถึงเพียงนั้น บางคนเริ่มขยับตัวตาม ขอร้องให้ปล่อยลูกหลานของเขาลงจากรถ บางคนเอาชายผ้าฮิญาบที่คลุมผมอยู่ซับน้ำตา
อะไรกัน นี่มันอะไรกัน! ฉันสาวเท้าตามไปที่ท้ายรถกระบะคันนั้น "ได้โปรด! ขอลูกหลานของเราคืนมา จะเอาเขาไปไหน เขาทำอะไรผิด..."
ผู้ชายคนนั้นยกกระบองขึ้นชี้หน้าแล้วตวาดว่า "ถอยไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากมีปัญหาถึงโรงพัก ถึงโรงถึงศาลอีก ถอยออกไป ไป!" ฉันมองเห็นชัดเจน ตัวหนังสือที่หน้าอกเขาเขียนว่า "อธิชัย สมบูรณ์"
ฉันยังคงเดินตามไปที่รถกระบะคันนั้น แม้จะรู้สึกคอแห้ง หวาดกลัว...
มองตรงไปยังเด็กวัยรุ่นที่พี่น้องลานหอยเสียบเรียกเขาว่ากลุ่มเด็กอนุรักษ์ ...ตาคู่นั้นมองตอบมา กลับไม่มีความกลัวเจือปนแม้แต่น้อย ...มันบอกให้ฉันรู้ถึงความมั่นใจ มุ่งมั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องและดีงาม ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้างก็ตาม หลังจากนั้นดวงตาฉันกลับพร่าเลือนเมื่อกวาดตาไปเห็นเด็กหนุ่มอีกคนเลือดอาบศีรษะ เอนกายพิงเพื่อนของเขาเพราะไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้อีกต่อไป...
พี่น้องหลายคนเริ่มขยับเข้ามาขอร้องคนถือกระบอง.. "ตีเขาทำไม เขาทำอะไรผิด ปล่อยพวกเขาเถอะ ให้เราพาเขาไปหาหมอ..." รถกระบะหลายคันเริ่มทยอยเคลื่อนออกไป "จะเอาเขาไปไหน เด็กเจ็บหนักต้องส่งโรงพยาบาล" ผู้ชายคนเดิมยังคงถือกระบองตรงเข้ามาขวาง แล้วสั่งให้ออกรถโดยเร็ว ไม่สนใจไยดีต่อประชาชนผู้ที่ถูกรัฐธรรมนูญกล่าวถึงในความหมายของสิทธิมนุษยชน และมิพักต้องกล่าวถึงว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จักต้องได้รับการคุ้มครอง
ผู้เป็นแม่ร้องไห้โฮ! เมื่อหมดหนทางปกป้องลูกของตน คร่ำครวญขอความเป็นธรรมอยู่บนพื้นถนนเหมือนจะบอกให้ฟ้าดินรับรู้... "พวกเขาเข้าไปถามว่า เข้าไปป่าพรุทำไม พวกมันไม่ตอบ แต่ที่พื้นรถมีปืนกองอยู่ เด็กพวกนี้ก็เลยจะถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน...แล้วบอกให้รอคุยกับพวกผู้ใหญ่ก่อน
แค่นั้นมันผิดตรงไหน พวกมันตีทำไม ตีลูกทำไม ตีลูกทำไม บอกมา บอกมา ผิดตรงไหน..."
รุ่งเช้าวันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2549 ฉันขับรถตรงไปศาลจังหวัดสงขลา เพื่อฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 2752/2546 โดยโจทก์คือ พนักงานอัยการจังหวัดสงขลา ส่วนจำเลยคือ นายหวันหมุด หวัน สะเม๊าะ นายอัปดุลรามาน บูบาสอ และพวก .............
โดยมีฐานความผิดในคำฟ้องคือ "มั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยผู้ร่วมกระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ ไม่เลิกมั่วสุมตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยมีอาวุธและร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่นให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีหรือใช้อาวุธ หรือร่วมกันกระทำความผิด
ความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือไม่มีเหตุอันสมควร"
ระหว่างทางที่ขับรถไป ภาพของพวกเขาก็เข้ามา... หลังเหตุการณ์วันนั้นเรามีโอกาสถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดกันอีกหลายครั้ง เสียงของเด็กอนุรักษ์ฯ กลุ่มนั้นยังคงก้องอยู่ "...ถ้าเราเกะกะเกเร ไปตีรันฟันแทงกับใคร หรือติดผงติดยาก็ว่าไปอย่าง เป็นแบบนี้ใครมาห้ามปรามเราก็จะฟังและเปลี่ยนใจ แต่สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้คือการรักษาบ้านเกิด ทำตามหลักการศาสนา ทำเพื่อความดีงาม จะมาข่มขู่ ห้ามปรามยังไง ก็ไม่มีผลกับหัวใจของเราหรอก"
.......................
.......................
จำเลยลุกขึ้นยืนฟังคำพิพากษา
"...พิพากษาว่า..... รวม 3 กระทง จำคุกคนละ 3 ปี และปรับคนละ 16,100 บาท...
พิเคราะห์พฤติกรรมการกระทำผิดของจำเลย แล้วเห็นว่าจำเลยเป็นกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวคัดค้านการก่อสร้างโครงการท่อส่งก๊าซ และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ไทย-มาเลเซีย ซึ่งก่อผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ และการที่จำเลยได้กระทำผิดลงไปสืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวคัดค้านดังกล่าว แต่ได้กระทำการแสดงออกอันเป็นการล่วงล้ำเกินขอบเขตแห่งกฎหมายไปบ้าง โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการกระทำดังกล่าวเป็นส่วนตน ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลย กลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป โทษจำคุกจึงรอการลงโทษได้มีกำหนด 2 ปี ...."
ข้อเท็จจริงยังคงรอการพิสูจน์ต่อไป ก่อนประกันตัวพวกเขาถูกนำตัวกลับไปที่ "คอกหมี"[2] อีกครั้ง เขามองผ่านกรงขังออกมา
ฉันสบตาเขาอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นยังคงสื่อความหมายดังเดิมตอบกลับมาอย่างหนักแน่น มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง.....
-----------------------------------------
1 นาย คำเรียกในภาษาถิ่น หมายถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ
2 คอกหมี คำเรียกห้องขังชั่วคราวที่ศาล
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)