ประชาไท - วานนี้ (1พ.ย.2549) เว็บไซต์ผู้จัดการรายงานว่า นพ.
นพ.มงคล กล่าวต่อว่า ส่วนการหารือร่วมกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เกี่ยวกับงบประมาณอัตราเหมาจ่ายรายหัว ในปีงบประมาณ 2550 นั้น ที่ผ่านมาเงินรายหัว 1,659 บาท มีการนำเงินเดือนเจ้าหน้าที่มาร่วมอยู่ด้วยกัน เป็นสัดส่วนเงินเดือนถึง 79 % ทำให้มีเงินในการให้บริการประชาชนน้อย ดังนั้น จึงมีแนวคิดจะปรับสัดส่วนเงินเดือนข้าราชการในงบประมาณส่วนนี้ใหม่เป็น 60 % ซึ่งจะทำให้มีงบประมาณเหลือมาให้บริการประชาชนมากขึ้น โดยอาจเสนอให้แยกเงินเดือนออกจากค่าใช้จ่ายรายหัว เพื่อให้เกิดความชัดเจน ซึ่งต้องหารือกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณต่อไป
ด้านนาย
นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า เสนอให้กระทรวงสาธารณสุขสร้างระบบการบริหารจัดการงบฯ ที่ใช้ในโครงการสุขภาพดีถ้วนหน้าใหม่แทนการอุดหนุนเงินงบประมาณรายหัวไปยังสถานพยาบาลโดยตรง โดยการนำระบบประกันภัยในลักษณะประกันสุขภาพมาใช้ โดยให้จัดตั้งบริษัทประกันสุขภาพของรัฐขึ้นทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางรับประกันสุขภาพของประชาชนทั้งหมด โดยรัฐจ่ายค่าเบี้ยประกันให้ทั้งหมด ขณะเดียวกันก็สามารถประกันภัยต่อไปยังบริษัทประกันภัยหรือประกันสุขภาพทั่วไปได้ เท่ากับเป็นการยกภาระนี้ให้กับบริษัทประกันที่มีความรู้ความชำนาญในการบริการในลักษณะนี้มากกว่า
"ระบบการจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพให้กับประชาชนนี้ เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ประชาชนไม่ต้องจ่ายเงิน 30 บาท แต่ได้รับการรักษาฟรี มีคุณภาพ และทั่วถึง รัฐแทนที่จะใช้งบประมาณในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นรายหัวให้กับสถานพยาบาล ก็จ่ายเป็นเบี้ยประกันให้กับบริษัทประกันของรัฐแทน อัตราค่าเบี้ยก็จะถูกกว่าค่าอุดหนุนรายหัว ขณะเดียวกันบริษัทประกันของรัฐก็สามารถขยายฐานการประกันภัยออกไปอย่างกว้างขวาง มีรายได้เพิ่มขึ้น สถานพยาบาลก็ไม่ต้องรับภาระการบริหารความเสี่ยงและค่าใช้จ่าย ทุกคนได้หมด"นายพีระพันธุ์กล่าว
ขณะที่ นาย
ขณะเดียวกันเว็บไซต์คมชัดลึกก็รายงานว่า ดร.
ดร.วิโรจน์ กล่าวว่า หากไม่ได้งบประมาณตามที่เสนอคือ 2,089 บาทนั้น ต้องดูว่างบประมาณถูกปรับอยู่ที่เท่าไหร่ หากตัวเลขใกล้เคียงกับอัตราเดิม คือ 1,659 บาท เชื่อว่าจะ ก่อให้เกิดวิกฤตศรัทธาขึ้นกับโครงการแน่นอน ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อบริการรักษา เพราะที่ผ่านมาโรงพยาบาลและหน่วยบริการต่างมีปัญหาจากงบประมาณจำกัดมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังอาจจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการรักษาได้ เพราะงบทีมีอยู่ไม่เพียงพอ แต่หากได้งบที่ตัวเลขใกล้เคียงกับ 2,000 บาท ก็ยังสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้
อย่างไรก็ตามเห็นว่า โครงการนี้ควรทำให้คนมีความเชื่อมั่นในการเข้ารับบริการในระบบก่อน อย่างไรก็ตามตนเห็นว่า นอกจากนี้น่าจะปรับงบประมาณต่าง ๆ ให้เป็นระบบมากขึ้น แม้ ว่าในปีที่ผ่านมารัฐบาลที่แล้วจะอนุมัติอัตราค่าใช้จ่ายรายหัวที่ 1,659 บาท ตามที่ สปสช. และ สธ.เสนอ แต่กลับนำไปใส่ในงบประมาณเพียง 1,396 บาทเท่านั้น ที่เหลือให้ไปเบิกกับ งบกลาง ซึ่งขณะนี้ก็ยังเบิกไม่ครบและยังค้างจ่ายอยู่กว่า 9,000 ล้านบาท ทำให้ได้เงินมาไม่ครบ
ดร.วิโรจน์ กล่าวว่า การเปลี่ยนการเก็บ 30 บาทในโครงการหลักประกันสุขภาพเป็น 0 บาท นั้น เห็นว่าเป็นซูปเปอร์ประชานิยม ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการตอบคำถามว่า หากไม่เก็บเงิน แล้วจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แม้ว่าตนและนักวิชาการจะเชื่อว่า จะมีผู้ใช้ เพิ่มขึ้นไม่รุนแรง แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครบอกได้ สำหรับที่มีการเสนอแนวคิด การร่วมจ่ายนั้น ยอมรับว่าจะทำให้คนจนได้ประโยชน์ ซึ่งตนก็ไม่คัดค้าน เพียงแต่จะต้องมี การจัดทำระบบการร่วมจ่ายที่ดี ว่าใครเป็นบุคคลที่สมควรจะเป็นผู้ร่วมจ่ายและต้องทำให้เป็นมาตรฐาน เพราะหากดูจากภาษีจะมีปัญหาในกลุ่มผู้ที่ไม่ได้เสียภาษีในระบบ อย่างไรก็ตาม ที่มีการพูดกันมาก คือ ให้ดูการขอใช้ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เพราะจะเป็นการบ่งถึงสถานะทาง การเงินได้ แต่เป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้น นอกจากการร่วมจ่ายไม่ว่าจะมีรูปแบบใด ไม่ควร เป็นลักษณะการเก็บที่หน่วยบริการ เพราะจำทำให้เกิดปัญหาการเลือกปฏิบัติได้ และต้องมี เพดานในการร่วมจ่ายด้วย
สำหรับในส่วนของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ภายหลังจากที่มีการประกาศยกเลิกเก็บ 30 บาท หลายแห่งได้เริ่มเลิกเก็บเงิน 30 บาท จากผู้ที่มาใช้บริการแล้ว แต่บางแห่ง ยังไม่เลิกเก็บ 30 บาท เพราะยังปรับตัวไม่ทัน และบางแห่งขอรอหนังสือสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษรจากปลัดกระทรวงสาธารณสุขก่อน เนื่องจากเกรงว่าจะผิดระเบียบราชการ
นพ.
ขณะที่ นพ.
นพ.วชิระ กล่าวว่า โรงพยาบาลชุมพวง เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 60 เตียง และได้ราย ได้จากการเก็บเงิน 30 บาท ประมาณ 4-5 แสนบาทต่อปี ซึ่งถือเป็นเงินที่มากพอสมควร แต่ หากรัฐบาลหางบประมาณจากส่วนอื่นมาโปะให้ได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)