ประชุมพรรคอนาคตใหม่ เชื่อโลกใหม่ สังคมใหม่ การเมืองแบบใหม่ "เป็นไปได้"

ประชุมพรรคอนาคตใหม่ ชูคำขวัญ "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" เชื่อโลกใหม่ สังคมใหม่ การเมืองแบบใหม่ "เป็นไปได้" ลงมติเลือกกรรมการบริหารพรรค ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค "ครูจ้ย" กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ, ชำนาญ จันทร์เรือง, พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาฯ สมช. และ รณวิต หล่อเลิศสุนทร เป็นรองหัวหน้าพรรค

คลิปแถลงข่าวหลังประชุมจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ (จากซ้ายไปขวา) ปิยบุตร แสงกนกกุล, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรณิการ์ วาณิช

 

การประชุมพรรคอนาคตใหม่ในช่วงบ่าย ที่อาคารยิมเนเซียม 5 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

การประชุมพรรคอนาคตใหม่ในช่วงเช้า และช่วงลงมติเลือกกรรมการบริหารพรรค (ที่มาของภาพ: พรรคอนาคตใหม่)

27 พ.ค. 2561 ในการประชุมพรรคอนาคตใหม่ ที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงเช้า ที่อาคารยิมเนเซียม 5 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีการประชุมเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดแรก โดยมีรายชื่อดังนี้ 1. หัวหน้าพรรค ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 2. รองหัวหน้าพรรค กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ 3. รองหัวหน้าพรรค ชำนาญ จันทร์เรือง 4. รองหัวหน้าพรรค พงศกร รอดชมภู 5. รองหัวหน้าพรรค รณวิต หล่อเลิศสุนทร 6. เลขาธิการพรรค ปิยบุตร แสงกนกกุล 7. โฆษกพรรค พรรณิการ์ วาณิช 8. นายทะเบียนพรรค ไกลก้อง ไวทยากร 9. เหรัญญิก นิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์

10. กรรมการ (เครือข่ายแรงงาน) สุนทร บุญยอด 11.กรรมการ (เครือข่ายคนรุ่นใหม่) วิภาพรรณ วงษ์สว่าง 12. กรรมการ (ภาคเหนือ) เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ 13. กรรมการ (ภาคกลาง) สุรชัย ศรีสารคาม 14. กรรมการ (ภาคใต้) เจนวิทย์ ไกรสินธุ์ 15. กรรมการ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ชัน ภักดีศรี 16. กรรมการ (จากสัดส่วนที่ประชุม) จารุวรรณ ศรัณย์เกตุ 17. กรรมการ (จากสัดส่วนที่ประชุม) นิรามาน สุไลมาน

นอกจากนี้ที่ประชุมพรรคยังลงมติ 474 เสียง ต่อ 0 เสียง ใช้คำขวัญ "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" โดยมีแนวทางพรรคคือ 1. ประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด การใช้อำนาจรัฐต้องยึดโยงกับประชาชน 2. เชื่อมั่นว่ามนุษย์มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง มีสิทธิในการใฝ่ฝันถึงสังคมที่ดีกว่า มีความชอบธรรมในการกำหนดอนาคต 3. หลักการมีส่วนร่วมของสมาชิก เสริมสร้างประชาธิปไตยภายในพรรคพร้อมไปกับประสิทธิภาพในการทำงาน 4. เชื่อมั่นในความเป็นไปได้ โลกใหม่ สังคมใหม่ และการเมืองแบบใหม่

สุนทร คำยอด: เสียงจากปีกแรงงาน

ในช่วงบ่ายมีการแสดงปาฐกถาของสมาชิกพรรคในวงการต่างๆ โดยสุนทร บุญยอด กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ และตัวแทนปีกแรงงาน ปาฐกถาในงานประชุมพรรคอนาคตใหม่  กล่าวถึงปัญหาปากท้องของประชาชนเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง "การปฏิรูปที่ดินทุกวันนี้เป็นอย่างไร คนจนก็ไม่มีที่จะอยู่ พี่น้องผมร่วมประชุมอยู่ข้างบนมาจากชุมชนดอนเมือง อยู่มา 80 กว่าปี มีเลขที่อยู่เป็นที่เรียบร้อย เขตออกให้ แต่อยู่ๆ มาไล่เขาไปอยู่แฟลต แล้วแฟลตตอนนี้อยู่ไหน"

"นี่หรือคือการปฏิรูปที่ดิน แต่สุดท้ายไปสร้างบ้านพักตุลาการ" เขากล่าวด้วยว่า "ถึงเวลาแล้วหรือยังที่พี่น้องทั้งหมดจะต้องรวมกันฟันฝ่า เขียนประวัติศาสตร์ไปด้วยกัน เอาสองมือของเราเขียนว่า เราจะกำจัดเผด็จการทั้งหมดไปจากประเทศไทย" นอกจากนี้ยังทิ้งท้ายด้วยว่า "ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องมีการกระจายอำนาจให้ประชาชนปกครองกันเอง"

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร: 60 ปีถูกเสือเศรษฐกิจเอเชียแซง
แต่เจ็บปวดที่สุดคือ 10 ปีมานี้ประเทศไทยหยุดเดินหน้า

ขณะที่วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ทีมที่ปรึกษานโยบายพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า เราทราบดีว่าประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ในทางเศรษฐกิจไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าตลอด 60 ปีที่ผ่านมา ไทยถูกประเทศต่างๆ แซงไปเป็นจำนวนมาก ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย ที่พัฒนาเศรษฐกิจไล่เลี่ยกับเราในทศวรรษ 2500 แต่ตอนนี้เหลือไทยกับมาเลเซียที่ยังแข่งกัน ที่เจ็บปวดที่สุดคือในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยหยุดเดิน แต่มาเลเซียก็พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ชาวมาเลเซียมีรายได้ต่อหัวมากกว่าคนไทยสองเท่า สิงคโปร์รวยกว่าไทย 9 เท่า ทุกอย่างจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าประเทศเหล่านี้มีแต้มต่อเหนือกว่าเรา

เกาหลีใต้แทบไม่มีทรัพยากรเลย สิงคโปร์ก็เคยเป็นเมืองท่าขนาดเล็ก ประเทศเหล่านี้เริ่มออกวิ่งพร้อมกับไทย แต่ประเทศส่วนใหญ่กับก้าวพ้นไปเป็นประเทศร่ำรวย ประเทศพัฒนาแล้ว ปล่อยให้ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาเหมือนที่เราเคยเป็นเหมือนเดิม

ถ้าคุณใส่ใจกับความเป็นไปในสังคมคุณจะหยุดคิดไม่ได้เลย การเติบโตทางเศรษฐกิจสุดท้ายสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ประเทศที่พัฒนา ที่ประสบความสำเร็จ หมายถึงลูกหลานของคุณจะมีชีวิตดีกว่าคนรุ่นก่อนขึ้นไป

คนเอเชียเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือจะเสียสละ อดทนเพื่อลูกหลาน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ ดอกผลที่พ่อแม่ลงแรงมันจะตกไปอยู่กับลูกและหลานเขา เกาหลีใต้สมัยหลังสงครามทำงานโรงงาน อาศัยในห้องรูหนูซอมซ่อ แต่ลูกเขาทำงานในบริษัทท้องถิ่น มีเงินเดือนแน่นอน และมีบ้านในที่สุด หลานของเขาได้ไปเรียนต่างประเทศ เลือกที่เรียนได้ กลายเป็นพลเมืองของโลก

แต่ในไทย คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างยอมกัดฟันขับรถฝ่าควันพิษเช้ายันค่ำ เก็บเงินให้ลูกไปโรงเรียน ลูกเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน

น้องที่จากบ้านมาทำงานโรงงานที่ระยอง รับค่าแรงขั้นต่ำเพื่อเก็บเงินไปทำร้านตัวเองที่บ้านเกิด คิดว่าเขาจะเก็บเงินกันอีกกี่ปีถึงจะมีบ้าน มีร้านของตัวเอง

ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ชนชั้นกลาง ยอมอดหลับอดนอนต่อคิวไปสมัครเรียนพิเศษให้ลูก หวังให้ลูกมีงานที่ดีกว่าตัวเอง ลูกเขาจะมีโอกาสนั้นจริงหรือ

ถ้าเราไม่หลอกตัวเองจนเกินไป เราทุกคนต่างรู้ดีว่าโอกาสมันตีบตันแค่ไหนในประเทศนี้ ในเวลานี้ การลงทุนลงแรงของพ่อแม่อาจไม่ส่งผลถึงลูกหลานก็ได้ เพราะไม่มีทางเลือก และโอกาส นั่นหมายถึงต้องมีปัญหาบางอย่างในประเทศที่พัฒนามาต่อเนื่อง 60 ปี

ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจต้องมองเห็นหัวคน เราต้องยึดหลักตรงนี้ให้มั่น ขับเคลื่อนด้วยความใฝ่ฝันว่าลูกหลานสามารถมองเห็นสิ่งที่ดีกว่าในอนาคต แต่แน่นอน การทำนโยบายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่สามารถใช้ความรู้สึกอย่างเดียวได้ ต้องทำอย่างรัดกุม เป็นระบบ ในแง่หนึ่งเราอยู่ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร มีงานวิจัยและประสบการณ์จากต่างประเทศให้เราถอดบทเรียนและประยุกต์ แต่อีกด้านก็ต้องเข้าใจและยอมรับความแตกต่างเชิงพื้นที่และผู้คน เราจะไปบังคับให้คนเป็นเหมือนกันนั้นเป็นไปไม่ได้

นโยบายต้องไม่เริ่มต้นจากห้องแอร์ แต่เริ่มจากผืนดินและผู้คน นำมาร้อยเรียนงกันให้เป็นระบบ อะไรที่มีอยู่แล้วแต่ขัดขวางการพัฒนามนุษย์ก็ต้องถูกยกเลิก งบประมาณที่ถูกใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายต้องถูกตรวจสอบ ต้องปลดล็อก ปรับโครงสร้าง สร้างโอกาสแต่ละภาคส่วนไปพร้อมกัน

ไม่มีอะไรที่ทำให้ไทยพัฒนาก้าวกระโดดชั่วข้ามคืน แต่ก็ต้องเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์และกระจายอำนาจอย่างรอบด้าน ครบวงจร สามารถเปิดพื้นที่ให้แต่ละเขตได้ลองผิดลองถูก แต่ต้องมีกระบวนการสร้างความโปร่งใสไปพร้อมๆ กัน ทั้งหมดนี้ไม่ง่าย ต้องคิดเยอะ ฟังเยอะ ปรับปรุงต่อเนื่อง แต่ประเทศไทยเคยทำอะไรง่ายๆ ไร้ระบบมาเยอะแล้ว ไม่ต้องดูที่ไหนไกล ตลอด 4 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงในงบประมาณจำนวนมาก ก่อนหน้านี้งบประมาณด้านสุขภาพที่คนไทยได้ต่อหัวเคยสูงกว่างบทหารต่อหัว แต่ตอนนี้งบทหารต่อหัวสูงแซงหน้าสุขภาพไปแล้ว หมายความว่าความมั่นคงของทหารได้รับความสำคัญกว่าความมั่นคงของประชาชน

ปิยบุตร แสงกนกกุล ย้ำพรรคคู่แข่งไม่ใช่ศัตรูทางการเมือง
แต่จะแข่งขันกันทำความดีเพื่อเอาชนะใจประชาชน

ในการประชุมพรรคอนาคตใหม่ ปิยบุตร แสงกนกกุล กล่าวปาฐกถาว่า หากเราเชื่อว่าเวลาคือความเปลี่ยนแปลงและเวลาอยู่ข้างเรา สิ่งเดียวคือการตัดสินใจลงมือทำอย่างมุ่งมั่น เราชาวอนาคตใหม่เห็นว่าต้องมีพลังทางการเมืองเพื่อคืนความเชื่อมั่นต่อระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย นำมาสู่การจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ด้วยความหวังให้สังคมไทยเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และเปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทยให้ดีขึ้น

โดยพรรคอนาคตใหม่มีความมุ่งมั่น 3 ประการ หนึ่ง มุ่งมั่นทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรรค์ จะมุ่งนำเสนอนโยบายที่ก้าวหน้าสร้างสรรค์ ทั้งการกระจายอำนาจ ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สร้างสวัสดิการที่เป็นหลักประกันของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย เคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพศ สิทธิมนุษยชน การเมืองของพลเรือนอยู่เหนือทหาร

นโยบายจะเกิดจากการทำงานทางวิชาการ เก็บความเห็นจากพี่น้องประชาชน พรรคคู่แข่งไม่ใช่ศัตรูทางการเมือง แต่เป็นคู่แข่งทางการเมือง เราจะแข่งขันกันทำความดีเพื่อเอาชนะใจประชาชน ไม่ใช่ทำทุกอย่างเพื่อกำจัดให้เขาออกไปพ้นทาง

"เราต้องการขีดเส้นแบ่งระหว่างการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ออกจากกันให้เด่นชัด หากพรรคการเมือง กลุ่มบุคคลใดใช้อำนาจ อิทธิพลในการดูด ส.ส. นั่นคือการเมืองแบบเก่า หากพรรคการเมือง กลุ่มบุคคลใด ใช้เงินในการซื้อเสียง ซื้อหัวคะแนน นั่นคือการเมืองแบบเก่า หากพรรคการเมือง กลุ่มบุคคลใดมัวแต่สาดโคลน ใส่ร้ายกัน นั่นคือการเมืองแบบเก่า หากพรรค กลุ่มบุคคลใดจ้องแต่จะมีอำนาจ มีตำแหน่งโดยไม่คำนึงถึงอุดมการณ์ นั่นคือการเมืองแบบเก่า"

"พรรคอนาคตใหม่ยืนยันว่าจะไม่ทำงานการเมืองแบบเก่า เมื่อเราขีดเส้นแบ่งการเมืองเก่าและใหม่ออกจากกันอย่างชัดเจน สุดท้ายประชาชนที่เป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศจะเป็นผู้เลือกว่าจะเอาการเมืองแบบเก่าหรือแบบใหม่"

สอง พรรคอนาคตใหม่จะไม่มีใครคนหนึ่ง เป็นเจ้าของ สมาชิกเป็นเจ้าของร่วมกัน การมีส่วนร่วมร่วมกันแสดงออกจากการระดมทุนเพื่อนำเงินมาใช้ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง หากพรรคอนาคตใหม่ตั้งขึ้นเรียบร้อยจะเดินสายไปทั่วประเทศ จัดกิจกรรมอย่างหลากหลายจากผู้สนับสนุนพรรค เพื่อระดมทุนให้ได้ 350 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย นำมาใช้รณรงค์หาเสียงที่จะเกิดในต้นปีหน้า ถ้าหาก คสช. ไม่เบี้ยว

เมื่อผู้สนับสนุน สมาชิกร่วมลงขันให้พรรคมีเงินทุนในการทำกิจกรรม หมายถึงทุกคนเป็นเจ้าของพรรคนี้ร่วมกัน ความสัมพันธ์ของพรรคอนาคตใหม่ แกนนำพรรค สมาชิกพรรค จะไม่ตั้งบนฐานเจ้านาย ลูกน้อง ผู้ให้และผู้รับ แต่คือหุ้นส่วนกัน คือเพื่อนร่วมงานที่จะทำงานทางการเมืองด้วยกัน

การเป็นเจ้าของพรรคคือ สมาชิกพรรคจะมีส่วนร่วมการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เน้นการกระจายอำนาจจากทุกภูมิภาค พรรคอนาคตใหม่มีตัวแทนจากผู้ใช้แรงงาน เยาวชนคนรุ่นใหม่ ตัวแทนจากทุกจังหวัดในที่ประชุมใหญ่เพื่อกำหนดทิศทางพรรคร่วมกัน จะทำงานกับเครือข่ายในพื้นที่ ให้คนในพื้นที่ดูว่าใครจะลงแข่งขัน ไม่มีมุ้ง ไม่มีวัง ไม่มีหัวหน้ามุ้ง บรรดาผู้นำ แกนนำพรรค ไม่มีอำนาจที่จะกำหนดคนลงเลือกตั้งโดยไม่ฟังเสียงสมาชิกในพื้นที่

สาม พรรคอนาคตใหม่มุ่งมั่นทำงานการเมืองในระยะยาว ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจที่ลงเลือกตั้งเป็นครั้งคราว ไม่ใช่พรรคที่มี ส.ส. 20-30 คนไปต่อรองเอาที่นั่งรัฐมนตรี การเลือกตั้งไม่ใช่ทุกสิ่งอย่างของการเมืองไทย พรรคอนาคตใหม่ยืนยันว่าจะทำงานทางการเมืองทั้งในฤดูเลือกตั้ง และในยามที่ไม่ใช่ฤดูเลือกตั้ง ในช่วงเลือกตั้ง พรรคจะรณรงค์อย่างขยันขันแข็งให้ได้เสียง ได้ที่นั่งในสภา เราต้องการมีอำนาจ ไม่ใช่เพื่อมีอำนาจ แต่เพื่อเอาอำนาจนั้นกลับไปคืนสู่ประชาชน

เมื่อเลือกตั้งผ่านพ้นไป ใครเป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรีก็ปฏิบัติหน้าที่ แต่พรรคอนาคตใหม่ยังทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่หายตัวไป เราจะจัดกิจกรรมทั้งทางศิลปวัฒนธรรม ทางวิชาการ สร้างความสัมพันธ์กับเครือข่ายต่างๆ ในพื้นที่ เราจะตั้งมูลนิธิที่จะเป็นคลังสมองของพรรค ผลิตคนซึ่งเชื่อมั่น ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน จะตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม

ในยามที่เราออกแบบนโยบายมาแต่ยังไม่มีอำนาจ จะนำนโยบายมาผลักดัน ทดลองในนั้น นอกจากนั้นยังใช้สร้างความสัมพันธ์ต่อพี่น้องประชาชนในท้องที่ ระหว่างวิสาหกิจเพื่อสังคมและชุมชน ทำให้การเมืองไม่ผูกพันกันเรื่องหัวคะแนน งานบุญ งานบวช ใส่ซอง พวงหรีด งานแต่งงาน แต่จะผูกพันผ่านการทำงานร่วมกัน

การเอาชนะกันทางการเมืองไม่สามารถเอาชนะกันได้ด้วยจำนวนแต่เพียงอย่างเดียว หากจำนวนชี้ชะตาการเมืองไทยได้ ป่านนี้พรรคการเมืองอันดับหนึ่งของไทยต้องเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างไปแล้ว

ถ้าการเอาชนะกันทางการเมืองวัดจากจำนวน วัดจากกำลังอาวุธ ป่านนี้เผด็จการทหาร คสช. ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว

เอาเข้าจริง การเอาชนะทางการเมืองคือการเอาชนะทางความคิด พรรคอนาคตใหม่จึงมุ่งมั่นทำงานทางความคิดเพื่อยึดในอุดมการประชาธิปไตย เพื่อสร้างสังคมไทยให้ก้าวหน้า หากพรรคอนาคตใหม่สามารถดำเนินไปตามสามข้อข้างต้นได้ พรรคอนาคตใหม่จะปรับภูมิทัศน์ทางการเมืองได้

ส่วนกฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบัน เมื่ออ่านจะพบว่า นี่ไม่ใช่กฎหมายพรรคการเมือง แต่คือกฎหมายควบคุมพรรคการเมือง กฎเยอะแยะ หยุมหยิม แต่กฎหมายก็สามารถแก้ไขได้ แต่การเมืองไทยที่ทุกท่านทราบดีว่าโหดร้าย เอากันถึงตาย เข้าคุก ยึดทรัพย์ เนรเทศ ไม่แบ่งแยกเรื่องส่วนตัว การเมืองไทยที่โหดร้ายเช่นนี้ทำไมเรายังตัดสินใจตั้งพรรคอนาคตใหม่กันอีก

เราปรึกษาหารือกันอยู่นาน จนธนาธรบอกว่าให้ใช้เวลาช่วงปีใหม่แยกย้ายกันไปคิดว่าจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ ตนได้เดินทางไปยังฝรั่งเศสเพื่อพบภรรยา ระหว่างที่อยู่นั้นได้บทเรียนจากฝรั่งเศสว่า ในช่วงที่การเมืองอยู่ในสภาวะวิกฤติ จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองทางเลือกใหม่ แม้จะต้องแลกกับโอกาสที่เสียไปในทางวิชาการและชีวิตส่วนตัว แต่ภรรยาก็อนุญาตและเคารพการตัดสินใจ เมื่อกลับมาไทยก็พบกันระหว่างธนาธรและเพื่อนอีกคนเพื่อพูดคุยกัน สุดท้ายมาสู่การจัดตั้งพรรค

“หากไทยต้องการเดินหน้าไปสู่อนาคตแบบใหม่ เราจำเป็นที่จะต้องมีคนจำนวนมาก กล้าตัดสินใจที่จะออกจากพื้นที่สะดวกสบายที่ตนอยู่ แล้วมุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นด้วยกัน จากต้นเดือน ม.ค. มี 2 คน วันนี้เรามีสมาชิกพรรค 3 พันคน เดือนหน้าเราจะมีอีกหลายพันคน เดือนถัดๆ ไปเราจะมีเป็นหมื่นคน หลายๆ เดือนต่อไปจะมีอีกแสน อีกล้าน อีกหลายๆ ล้าน ถึงเวลาแล้วที่ชาวอนาคตใหม่ต้องร่วมมือกันตัดสินใจส่งเสียงออกไปดังๆ ว่า ยุติทศวรรษที่สูญหาย และเริ่มเดินหน้า กำหนดทิศทางอนาคตใหม่ไปด้วยกัน”

ปิยบุตรกล่าวด้วยว่า ตอนนี้ยังรับสมาชิกพรรคไม่ได้เพราะว่ากฎหมายยังไม่อนุญาต เมื่อจัดการตามกระบวนการเสร็จ คาดว่าเดือนกรกฎาคม กกต. จะอนุมัติจดจัดตั้ง และเดือนสิงหาคมจะมีงานใหญ่อีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มสมัครสมาชิกพรรคอนาคตใหม่

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ: ชวนเปลี่ยนโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ การเมืองแบบผูกขาด สร้างการเมืองแห่งความหวังของทุกคน

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขึ้นปาฐกถาว่า การทำงานของพรรคอนาคตใหม่นั้นมุ่งสร้างการเมืองแห่งความหวัง ให้ทุกคนมีโอกาสในการทำตามความฝัน สร้างสังคม ภูมิทัศน์การเมือง โครงสร้างสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของไทยที่ดีกว่าที่เป็น ทำให้การเมืองเป็นเรื่องน่าสนใจ ให้ทุกคนมีส่วนร่วมกับการเมือง

“นี่คือการเดินทางที่จะพาการเมืองไทยออกสู่ความขัดแย้งด้วยการสร้างฉันทามติเพื่ออยู่ร่วมกันใหม่ กลับสู่วิถีประชาธิปไตย นี่คือการเริ่มต้นของการเดินทางเพื่อพาสังคมไทยออกจากอนาคตเก่าด้วยการเมืองแห่งความหวัง แม้เราเพิ่งเริ่มต้นการเดินทาง แต่ตอนนี้ธนาธรมีความนิยมระดับชาติในอันดับสี่ ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง ล่าสุด พรรคอนาคตใหม่มีความนิยมถึงร้อยละ 11” ธนาธรกล่าว

“วันนี้มีคลิปวิดีโอเกี่ยวกับพรรคอย่างน้อย 4 คลิปที่มีคนดูเกิน 1 ล้านคน หน้าเฟซบุ๊กมีคนติดตามห้าหมื่นคน แต่ยอดปฏิสัมพันธ์ในเพจมีมากกว่านั้น ในด้านการมีส่วนร่วม พรรคเราพูดในสิ่งที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนสังคมไม่พร้อมจะรับฟัง และทำให้สังคมหวาดกลัว แต่วันนี้วาระที่เราพูดกัน คนอื่นก็พูดกัน คือการไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 และไม่ยอมรับรัฐประหาร”

“หลายคนในที่นี้และคนที่ไม่ได้มาแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยยังมีพลังการเปลี่ยนแปลง มีกองไฟหลายกองที่สว่างอยู่ บางกองกำลังหาแรงบันดาลใจใหม่ บางกองกำลังจะมืดมิด ขอให้มาร่วมสร้างฟืนแห่งกำลังใจด้วยกัน นำกองไฟมารวมกัน สร้างความสว่างไสวให้สังคมที่มืดมิดอีกครั้ง”

“การปฏิวัติสังคมทำได้ทุกวัน ถ้าเบื่อหน่ายกับการทะเลาะกับคนในเฟซบุ๊ก ในอินเทอร์เน็ต ลองคุยกับคนที่เห็นต่างทางการเมืองตัวเป็นๆ จัดเสวนาทางการเมืองกับคนใกล้ตัวดู เราสามารถทำให้การเมืองเป็นเรื่องสร้างสรรค์ มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยอุดมการณ์ได้ นั่นคือสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ต้องการจะสร้าง”

“การทำสิ่งเหล่านี้หลายครั้งจะล้มเหลว แต่ความล้มเหลวก็ทำเราให้มีประสบการณ์และเติบโต เมื่อเราทำสำเร็จมันจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบตัว วันนี้เป็นก้าวแรกของการเดินทาง เรารู้ว่าก้าวต่อไปจะเป็นก้าวของการเดินทางที่หนักกว่านี้ แต่เราพร้อม เพื่อกรรมกรที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำแต่กำลังจะเกษียณแบบไม่มีเงินเก็บ เพื่อคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ในธุรกิจใหม่ แต่ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ จ่ายค่าคุ้มครองให้เจ้าพ่อ เพื่อเยาวชนที่เกิดในครอบครัวที่เป็นหนี้ เราจะต้องไม่ทำให้เขาถูกกักขังด้วยชาติกำเนิด ให้คนสามารถเดินตามความฝันของตัวเองได้ เรากำลังพูดถึงการเมืองแห่งความหวัง”

“คนที่มาที่นี่รู้อะไรบางอย่างที่ทหาร สื่อกระแสหลักและชนชั้นนำไม่รู้ และไม่มีทางจะรู้ คือประชาชนรู้สึกเบื่อระอาเต็มที่กับการเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มน้อย ทุกคนถามคำถามเดียวกันทั่วประเทศว่าเมื่อไหร่ความเป็นอยู่จะดีขึ้น ทำไมคนที่รวยที่สุดในประเทศเพียง 5 คน ถึงมีความมั่งคั่งถึง 3 ล้านล้านบาท ทำไมคนที่รวยที่สุดเพียง 1 เปอร์เซนต์มีความมั่งคั่งกว่าคน 60 กว่าล้านคนรวมกัน ทำไมคนแค่ 10 เปอร์เซนต์ถึงครองที่ดินทำกินมากกว่า 90 เปอร์เซนต์ของประเทศ ทำไมไทยถึงมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากรัสเซียและอินเดีย คำถามเหล่านี้ไม่มีคำตอบจากชนชั้นนำ แต่ผมจะตอบให้”

“เพราะโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ การเมืองถูกออกแบบให้คนกลุ่มเดียว และคนกลุ่มนี้ต้องการยื้อมันไว้ไม่ให้ก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่ให้เปลี่ยนแปลง เพราะการก้าวหน้า เปลี่ยนแปลงหมายถึงการทำลายโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่เขาได้ประโยชน์ พวกเขาหลอกให้พวกเราเชื่อว่าเราโง่ เราขี้เกียจ และพร้อมที่จะขายสิทธิความเป็นมนุษย์ของเราเพื่อเงิน”

“แต่คนที่มาที่นี่คงเห็นด้วยกับผมว่าการที่คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้จน ไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรือโง่ แต่เป็นเพราะสิทธิและเสรีภาพของพวกเขาถูกกีดกัน ทำให้พวกเขาจน พวกเขาไม่มีสิทธิและเสรีภาพอย่างที่พลเมืองพึงมี ประชาชนทุกคนรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถคาดหวังให้รัฐมารับผิดชอบชีวิตของเขาได้หรอก แต่ประชาชนทุกคนก็รู้อยู่เช่นกันว่า เพียงให้รัฐจัดความสำคัญของการใช้งบประมาณ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เด็กๆ ทุกคนก็สามารถมีอาหารกลางวันกินและมีรถโรงเรียนที่ปลอดภัยได้”

“พวกเขายังพยายามเกลี้ยกล่อมให้เราเชื่อว่า เราเป็นคนส่วนน้อยของสังคมที่ต้องพอเพียงกับความจนเพื่อการพัฒนาของคนส่วนใหญ่ พวกเราคือคนจนเมือง พวกเราคือแรงงานนอกระบบส่วนน้อยที่ยอมเสียสละสิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐเพื่อรักษาวินัยทางการคลังของคนส่วนใหญ่ พวกเราคือใคร พวกเราคือเกษตรกร ที่ยอมทำนาจนผิวไหม้เกรียม เส้นเอ็นปูดโปนเพื่อให้คนส่วนใหญ่มีกิน พวกเราคือกรรมกร คนส่วนน้อยที่ต้องรับค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อให้คนส่วนใหญ่ส่งออกได้ พวกเราคือคนที่มีความหลากหลายทางเพศที่ต้องเสียสิทธิความหลากหลายของตนเองเพื่อรักษาจารีตประเพณีของคนส่วนใหญ่”

“สิ่งที่แบ่งแยกประชาชนตอนนี้มันชัดแล้ว คือระหว่างคนชั้นนำที่ได้ประโยชน์จากโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคมแบบนี้ กับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ลืมตาอ้าปาก ระหว่างคนส่วนน้อยที่ถือปืนไว้ กับคนส่วนใหญ่ที่ถูกปิดหู ปิดตา และปิดปาก เราต้องการการเมืองแห่งความหวัง หวังถึงสิทธิ ในการมีส่วนร่วมพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งของประชาชนพื้นบ้าน ถึงงานของคนที่ตกงาน ถึงบ้านให้กับคนที่ไม่มีบ้าน ความหวังถึงสังคมที่คนเท่ากัน ที่นวมทอง ไพรวัลย์ ไม่มีโอกาสได้เห็น”

ธนาธรปิดท้ายด้วยการเชิญชวนทุกคนมาร่วมกันเขย่าประเทศไทยและการเมืองไทย เพื่อบอกว่าการเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้คนชั้นนำเพียงไม่กี่คนนั้นหมดไปแล้ว เพื่อที่คนไทยทุกคนจะได้สิทธิและเสรีภาพที่พวกเขาพึงมีกลับคืนมา เพื่อให้พวกเขาได้สิทธิที่พึงมีกลับคืนมา เริ่มต้นวันนี้ เริ่มด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอใคร และอยากชักชวนทุกท่านสร้างพรรคอนาคตใหม่ให้เป็นพรรคของประชาชนที่ยืนเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยกัน หยุดกลัว ลุกขึ้นยืนด้วยความกล้าหาญ เผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เป็นธรรมในสังคมนี้ด้วยกัน มาร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยหวังว่า เราจะสามารถส่งต่อสังคมและสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่มากขึ้นเพื่อลูกหลานของเราต่อไป

หัวหน้า เลขาธิการ โฆษกพรรคแถลง มุ่งแก้ รธน. 60 เริ่มจาก ม.279 ธนาธรลั่น จะไปพบประยุทธ์นัดคุยพรรคการเมืองถ้ามีถ่ายทอดสด

หลังจากปาฐกถาและเปิดตัวกรรมการพรรค ได้มีการจัดแถลงข่าวโดยปิยบุตร แสงกนกกุล ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรณิการ์ วาณิช

ปิยบุตรกล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่เป็นการทำงานทางความคิด ต้องการรวมพรรคการเมืองจัดการแก้รัฐธรรมนูญชุดนี้เพื่อนำไปสู่การทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับแบบที่ทำในร่างฉบับปี 2540 แต่จะทำให้สำเร็จก็ต้องใช้การรณรงค์ทางการเมือง เพื่อทำให้คนไทยและสังคมเกิดฉันทามติว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มันไปต่อไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง ถ้าเรามีโอกาสเข้าสภาเมื่อไหร่จะทำเมื่อนั้น

เริ่มจากยกเลิกมาตรา 279 ที่คุ้มกันบรรดาคำสั่งตามประกาศ คสช. ให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญเสมอ ผลของมาตรานี้ทำให้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญสองฉบับ คือรัฐธรรมนูญและคำสั่งตามประกาศ คสช. ที่ถูกเสมอ นี่ไม่ใช่เรื่องสุดโต่ง เป็นการกลับไปสู่หลักนิติรัฐ ทำไมประเทศนี้แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ด้วยรถถัง แล้วถ้าประชาชนทั้งประเทศเห็นว่าต้องแก้ไขนั้นจะแก้ไม่ได้เลยหรือ

เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ยังกล่าวว่า ได้เรียกร้องตอนที่ไปยื่นหนังสือที่ กกต. เรียกร้องให้ คสช. ต้องยกเลิกคำสั่ง คสช. ทั้งหมดที่เป็นอุปสรรคกับการแสดงความคิดเห็น ต่อการรณรงค์ทางการเมืองที่จะเป็นอุปสรรคให้พรรคการเมืองและพี่น้องประชาชนในการแสดงความคิดเห็น เพราะเรากำลังจะมีการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งจะได้มาตรฐานสากลได้ก็ต้องมีเสรีภาพในการแสดงความเห็น ไม่เช่นนั้นก็เป็นการเลือกตั้งปลอมๆ

ธนาธรกล่าวว่า เราอยากให้มีเลือกตั้งอยู่แล้ว เพราะทุกวันที่เสียไป คือหายนะของประเทศไทย เสียไปทุกวันที่เดินไปข้างหน้า ปัญหาคือคนที่จะให้ข้อตกลง ให้ฉันทามตินั้นไม่ใช่เรา เราไม่มีอำนาจ อำนาจในการกำหนดวันเลือกตั้งอยู่ที่ คสช. เราเรียกร้องมาตลอดว่าการเลือกตั้งที่โปร่งใสและเป็นธรรมจะต้องเกิดขึ้น

ต่อประเด็นเรื่องกิจกรรมของพรรคอนาคตใหม่ที่ทำในเวลาที่ผ่านมานั้น ว่ากลัวจะขัดขืนคำสั่ง คสช. เรื่องการห้ามรณรงค์ทางการเมืองหรือไม่ ธนาธรตอบว่า ถ้ากลัวนั่นกลัวนี่ไปหมดก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว สังคมทุกวันนี้ติดกับดักความกลัว ถ้ายืนขึ้นหนึ่งคนหรือสิบคนเราก็จะกลัวเขา แต่ถ้าเรายืนขึ้นหมื่นคนเมื่อไหร่ คนที่จะต้องกลัวเราคือ คสช. อย่าไปคิดเรื่องแบบนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย ดึงการเมืองกลับมาเป็นเรื่องปรกติ ทั้งนี้เรายังคงคำนึงถึงคำสั่งของ คสช. แต่จะไม่เป็นเหตุให้เราไม่ทำอะไรเลย

ปิยบุตรกล่าวว่า ตั้งแต่ คสช. ยึดอำนาจในวันที่ 22 พ.ค. 2557 มีการใช้ประกาศคำสั่ง คสช. จำนวนมากให้เขามารายงานตัว ไม่ให้ชุมนุมเกิน 5 คน ห้ามเขาเดินทางไปต่างประเทศ เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานทั้งหมด แล้วคุณก็ไปลงโทษเขา จับกุมเขา ตอนประชามติคุณไปจับรณรงค์โหวตโน แต่คนโหวตเยสรณรงค์ได้ แม้แต่การเอากฎหมายอาญาเรื่องคอมพิวเตอร์มาใช้กัน ทั้งหมดนี้คือการที่รัฐบาลทหารเอากฎหมายมาเป็นเครื่องมือเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กำลังอาวุธ มันคือปืนที่เอากฎหมายมาห่อหุ้มไว้อีกทีหนึ่ง แบบนี้ยุติธรรมหรือไม่

ปิยบุตรกล่าวเพิ่มเติมว่า ในทางกฎหมาย ณ วันนี้พรรคอนาคตใหม่ยังไม่มีสถานะเป็นพรรค ต้องเอามติที่ประชุม ข้อบังคับ อุดมการณ์พรรคไปจดกับ กกต. กว่าจะสมบูรณ์ก็เดือน ส.ค. การให้หรือไม่ให้ตั้งพรรคไม่ได้มีเรื่องเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมาย คสช. ทั้งสิ้น เขาดูแค่ว่าข้อบังคับ กรรมการต่างๆ สอดคล้องตามข้อกำหนดไหม พ.ร.ป. พรรคการเมืองไม่ได้พูดถึง คสช. เลย ความผิดปรกติเกิดขึ้นเพราะ คสช. มีคำสั่งไม่ให้ดำเนินกิจการ จะมีเลือกตั้งปีหน้า ต้นปีหน้าแต่ไม่ให้พรรคอื่นทำอะไรเลย แต่พลเอกประยุทธ์ไปได้ทุกจังหวัด แล้วการเลือกตั้งจะสมบูรณ์เหรอ ขอยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างที่ทำคือเรื่องปรกติ มีอะไรจะมาห้ามสิทธิของคนมาทำกิจกรรมทางการเมือง พอพรรคเราทำแบบนี้ก็มีคนถามว่าล้ำเส้นไปไหม แต่ถ้าทุกพรรคร่วมกันทำ เส้นนี้จะหายไปเอง

ต่อคำถามว่าเดือนหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จะเชิญพรรคการเมืองไปพูดคุยเรื่องการเลือกตั้ง ธนาธรตอบว่าถ้ามีถ่ายทอดสดจะไปด้วยตัวเอง ถ้าไม่ถ่ายทอดสดก็ไม่ไป ให้ประชาชนรู้ว่าพูดคุยอะไรกัน ส่วนเสนออะไรนั้นไม่สามารถบอกได้ คนกำหนดวาระคือ คสช. แต่ก็ยังเห็นว่าควรเลือกตั้งให้เร็วที่สุด ส่วนประเด็นว่าประชาชนจะมองว่าเห็นด้วยกับ คสช. หรือไม่อย่างไรนั้นให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท