Skip to main content
sharethis

'ผกก.ทองผาภูมิ' สั่งภาคทัณฑ์ พนักงานสอบสวน คดีเปรมชัย เหตุรับคำร้องทุกข์ ข้อหาทารุณกรรมสัตว์ โดยไม่ตรวจสอบข้อกฎหมาย ทำสังคมเข้าใจผิด ด้าน 'ศรีสุวรรณ' อัดการสั่งภาคทัณฑ์สะท้อนความล้มเหลวของการปฏิรูปตำรวจ

1 มี.ค. 2561 ความคืบหน้าคดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก จ.กาญจนบุรี ของเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวกนั้น ภายหลังจาก เมื่อวันรที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ได้เรียกประชุมพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดีเพื่อเร่งรัดความคืบหน้าคดี โดยที่มีประเด็น รอง ผบ.ตร. สั่งการให้พนักงานสอบสวน พิจารณาเจตนารมณ์ของผู้ที่แจ้งความในข้อหาทารุณกรรมสัตว์ว่ามีเจตนากลั่นแกล้ง หรือมีจุดประสงค์อื่นไหม นั้น

เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา  พ.ต.อ.วุฒิพงษ์ เย็นจิตร ผกก.สภ.ทองผาภูมิ มีหนังสือคำสั่ง สภ. ทองผาภูมิที่ 37/2561 ลงวันที่ 28 ก.พ.61 เรื่องลงโทษภาคทัณฑ์ร้อยเวร โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่า ตามที่ณรงค์ชัย สังวรวงศา หัวหน้าด่านกักกันสัตว์กาญจนบุรี ได้มาแจ้งความร้องทุกข์เมื่อวันที่ 7 ก.พ.61 ให้ดำเนินคดี เปรมชัย และพวก ในความผิดฐานกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร และได้รับคำร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบแล้วนั้น แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 61 ณรงค์ชัย ได้เดินทางมาพบ ร.ต.อ.สุมิตร บุญยะนิจ พนักงานสอบสวน พร้อมกับได้ให้ปากคำเพิ่มเติมว่า หลังจากตนได้มาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 61 ปรากฏว่าได้ไปตรวจสอบกับคำนิยามของคำว่าสัตว์ตามมาตรา 3 ให้หมายความรวมถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติตามที่รัฐมนตรีกำหนด และได้ตรวจสอบแล้วปรากฏว่ารัฐมนตรียังมิได้ประกาศกำหนดสัตว์ตามธรรมชาติว่าต้องเป็นสัตว์ชนิดใดจึงขอถอนคำร้องทุกข์ไปตามระเบียบนั้น

หนังสือคำสั่ง สภ.ทองผาภูมิ ระบุด้วยว่า ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าการกระทำของ ร.ต.อ. สุมิตร เป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ เนื่องจากได้มีการรับคำร้องโดยไม่ตรวจสอบข้อกฎหมายให้แน่ชัดว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ ฉะนั้นอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พุทธศักราช 2547 มาตรา 87 ประกอบกับกฎ ก.ตร. ว่าด้วยอำนาจการลงโทษข้าราชการตำรวจอัตราและการลงโทษภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม เกาะพยามกักขังหรือตัดเงินเดือนพุทธศักราช 2547 จึงให้ลงโทษภาคทัณฑ์ ร.ต.อ.สุมิตร บุญยะนิจ  ซึ่งผู้ที่ถูกลงโทษตามคำสั่งนี้มีสิทธิ์อุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชา หรือ ก.ตร. และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครอง ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง หรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวระบุ” โดยมีรายงานว่า พ.ต.อ.วุฒิพงษ์ ได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รอง ผบ.ตร. รับทราบแล้ว
 

ศรีสุวรรณ อัดสะท้อนความล้มเหลวของการปฏิรูปตำรวจ

ล่าสุดวันนี้ (1 มี.ค.61) ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์ ต่อกรณีดังกล่าวว่า การแจ้งความหรือถอนแจ้งความเป็นเรื่องปกติของประชาชนกับร้อยเวรรับแจ้งความ ซึ่งมีเกิดขึ้นทุกวันทั่วประเทศ ไม่ใช่สาระสำคัญของการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ที่จะต้องถึงขนาดมีคำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวน ถ้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเคร่งครัดในวินัยและการปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้อย่างจริงจัง ทำไมคดีความทั่วประเทศที่ประชาชนไปถอนแจ้งความในลักษณะเดียวกันนี้ พนักงานสอบสวนทั่วประเทศจึงไม่ถูกลงโทษภาคทัณฑ์เยี่ยงกรณีนี้ด้วย แต่ทำไมจึงมีคำสั่งเฉพาะแต่กรณีที่ รอง.ผบ.ตร.ออกมากล่าวถึงกรณีของเปรมชัยนี้เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ หรือที่อื่น ๆ ทั่วประเทศอาจจะตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้แจ้งความมีความประสงค์ เพราะหากเมื่อสอบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงสรุปสำนวนส่งอัยการแล้ว ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการจะพิจารณาเองว่ามูลคดีเพียงพอที่จะสั่งฟ้องในข้อหาดังกล่าวได้หรือไม่ การที่ สภ.ไกลปืนเที่ยงหรือต่างจังหวัด ต้องสนองรับเพียงคำกล่าวเปรยของ รอง ผบ.ตร.ที่นั่งอยู่ส่วนกลาง ถือว่าเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งทั่วประเทศได้ชัดเจนยิ่ง ซึ่งมีอีกหลายกรณีที่ตำรวจน้ำดีต้องถูกแป๊ก ถูกดอง เหตุเพราะไม่มีเส้นสาย ไม่ได้มีเครือญาติเป็น กตร. เป็นผู้บังคับบัญชา หรืออดีตผู้บังคับบัญชา ก็ต้องถูกโยกย้ายไปอยู่ไกลปืนเที่ยง แม้จะมีผลงานและความตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่เพียงใดก็ตามดังเช่น กรณีของ สารวัตรแรมโบ้ (พ.ต.อ.สุรโชค เจษฏาเดช ผู้กำกับสืบสวน จว.อำนาจเจริญ) เป็นต้น

"กรณีการลงโทษภาคทัณฑ์ พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการปฏิรูปตำรวจที่ล้มเหลวได้ชัดเจนยิ่ง ซึ่งถึงเวลาแล้วที่จะต้อง “แยกพนักงานสอบสวนออกมาจาก สนง.ตำรวจแห่งชาติ แล้วให้ไปขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรม” เพื่อที่จะได้มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ต้องมาคอยรอตอบสนองการสั่งซ้ายหันขวาหันจากผู้บังคับบัญชาในระบบเก่าๆของ สนง.ตำรวจแห่งชาติ และจะเป็นการถ่วงดุลในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนได้ดีกว่าระบบที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย และหากการแยกอำนาจการสอบสวนให้เป็นอิสระไม่เกิดขึ้น กรณีคดีความล่าสัตว์ในทุ่งใหญ่นเรศวรก็จะล้มเหลว การปฏิรูปตำรวจก็จะล้มเหลว และในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หน.คสช.และนายกรัฐมนตรี ก็จะล้มเหลวต่อการทำรัฐประหารในครั้งนี้อีกด้วย" ศรีสุวรรณ ระบุ

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net