Skip to main content
sharethis

ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมขณะประท้วงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินทุกรายทันที

ภาพเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว 16 แกนนำ เพื่อขออำนาจศาล จ.สงขลา ฝากขัง เมื่อช่วงสายของวันที่ 28 พ.ย.60

28 พ.ย.2560 รายงานข่าวแจ้งว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (UNOHCHR) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวและยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมทุกรายที่ถูกจับกุมขณะเดินประท้วงอย่างสันติต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินขนาด 2,200 เมกะวัตต์ที่ จังหวัดสงขลา ภาคใต้ของประเทศไทย จากกรณีเมื่อวันจันทร์ที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ชาวบ้านประมาณ 100 คนจากอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ได้ร่วมชุมนุมเพื่อยื่นหนังสือแก่นายกรัฐมนตรีที่อยู่ระหว่างการลงพื้นที่จังหวัดภาคใต้ แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ทหารในท้องถิ่น เข้าทำการสกัดการชุมนุมและจับกุมตัวชาย 17 คน ซึ่งรวมถึงผู้สื่อข่าวในท้องถิ่นและเด็กวัย 16 ปี

รายงานข่าวระบุด้วยว่า ผู้ชุมนุมทั้ง 16 คนถูกตั้งข้อหาร่วมกันเดินอันเป็นการกีดขวางการจราจรตาม พ.ร.บ. ทางหลวง และต่อสู้หรือจัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งได้กระทำการตามหน้าที่ตามมาตรา 138 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งผู้ชุมนุมอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 2 ปี หากพบว่ากระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ทั้งนี้ ผู้ชุมนุม 15 คนยังคงถูกควบคุมตัว ขณะที่เด็กวัย 16 ได้รับการประกันตัวเมื่อวานนี้

“การประท้วงอย่างสันติเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของสังคมประชาธิปไตยเพื่อก่อให้เกิดสำนึกรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมของสาธารณชน” ซินเธีย เวลิโก ตัวแทนประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าว

รายงานข่าวระบุเพิ่มเติมว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้รับรายงานหลายครั้งกรณีชาวบ้านในชุมชนและนักกิจกรรมผู้ประท้วงโครงการพัฒนาอย่างสันติเนื่องจากความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพและความเป็นอยู่ ถูกข่มขู่จากทางการและบริษัทผู้พัฒนาโครงการ สมาชิกในชุมชนและนักกิจกรรมในประเทศไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ถูกปลิดชีวิต ทำร้ายร่างกาย ตั้งข้อหาทางอาญาว่าทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และยังถูกขัดขวางไม่ให้ชุมนุมอย่างสันติหรือเข้าร่วมในการอภิปรายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาต่างๆ อีกด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนตรงข้ามกับพันธสัญญาที่ประเทศไทยทำไว้อย่างแน่นแฟ้นในเรื่องเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและหลักการชี้นำของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน

“เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยต้องดำเนินขั้นตอนสำคัญเพื่อให้เกิดการหารือกับสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ บนพื้นฐานของความสุจริตใจ และเพื่อให้ได้รับความยินยอมที่เป็นอิสระบนพื้นฐานของการได้รับข้อมูลเพียงพอและล่วงหน้าจากชุมชนผู้ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาด้วยวิธีที่มีความหมาย ตามที่รัฐธรรมนูญไทยได้รับประกันไว้” เวลิโก กล่าว

“เราขอเรียกร้องให้ทางการไทยรับประกันสิทธิในการชุมนุมอย่างสันติและสิทธิในการแสดงความคิดเห็น รวมทั้งขอให้คุ้มครองความปลอดภัยและเกียรติของสมาชิกชุมชนตลอดจนผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน ในวิถีที่สอดคล้องกับพันธะของประเทศไทยภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้วย” เวลิโก กล่าวย้ำ

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net