15 มี.ค.2560 กรณีความพยายามเรียกเก็บภาษี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีขายหุ้นชินคอร์ป ให้กับเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ เมื่อปี 2549 คิดเป็นมูลค่า 16,000 ล้านบาท นั้น นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการประเมินภาษีจากเงินได้ส่วนใด จากธุรกรรมตอนใด และจะอาศัยกฎหมายข้อใด ซึ่งในเบื้องต้นตนเห็นว่า เคยมีคำพิพากษาซึ่งสรุปความตอนหนึ่งได้ว่าหุ้นในชิน คอร์ปจำนวนที่รวมขายให้กลุ่มเทมาเส็กในปี 2549 นั้น ทักษิณ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ บุคคลอื่นๆ เป็นเพียงผู้ถือหุ้นแทน ไม่ใช่เจ้าของหุ้น, การขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็กได้ขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ตามกฎหมายไทย เงินได้จากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นได้รับยกเว้นภาษีตามกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ข้อ 23 ที่ออกตามประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งกฎกระทรวงดังกล่าวนี้ใช้มานานแล้วและใช้บังคับเป็นการทั่วไปกับทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นการขายหุ้นชิน คอร์ปผ่านตลาดหลักทรัพย์ก็อยู่ภายใต้กฎกระทรวงฉบับเดียวกันนี้ ตราบใดที่ไม่มีการแก้ไข
นพดล กล่าวว่า ตนหวังว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและดำเนินการเรื่องนี้ตามกฎหมายและหลักนิติธรรม และยึดหลักความเท่าเทียมเสมอภาคกับทุกคน เชื่อว่า ถ้าทุกฝ่ายทำเช่นนั้น ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับการค้าและการลงทุนในประเทศได้
วิษณุย้ำใช้กม.ปกติดำเนินคดีภาษีหุ้นชิน
วันนี้ (15 มี.ค.60) วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายได้เรียก ประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร มาพบที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อหารือเรื่องการเรียกเก็บภาษี ทักษิณ กรณีขายหุ้นดังกล่าว จากนั้น วิษณุได้เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษารความสงบแห่งชาติ(คสช.)
วิษณุ เปิดเผยภายหลังเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า กรมสรรพากร ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการ ซึ่งทุกอย่างไปด้วยความเรียบร้อย โดยกรมสรรพากรจะประเมินภาษีก่อนอายุความหมดในวันที่ 31 มี.ค.นี้ จากนั้นจะแจ้งให้ ทักษิณทราบว่าต้องชำระเสียภาษีจำนวนเท่าใด แต่หากไม่มาเสียภาษีต้องเสียค่าปรับ
“ส่วนการส่งหนังสือให้ทักษิณรับทราบเพื่อเสียภาษี ขอไม่เปิดเผยว่าจะส่งไปที่ไหน แต่ถ้าทักษิณไม่ยอมจ่าย ในชั้นนี้รัฐบาลยังไม่ฟ้องศาล เพราะทักษิณยังมีโอกาสยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการประเมินภาษีได้ภายใน 30 วัน ซึ่งขณะนี้กรมสรรพากรพร้อมประเมินภาษีแล้ว ขณะเดียวกันรัฐบาลไม่อยากจะตั้งธงว่าต้องชนะคดี แต่ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย พร้อมเตรียมใจรับกับการถูกฟ้องกลับ ผมเคยถูกฟ้องในคดีอื่นมาก่อน จะไม่ออกกฎหมายคุ้มครองเจ้าหน้าที่รัฐไม่ไห้ถูกฟ้องกลับเหมือนคดีจำนำข้าวที่ใช้มาตรา 44 ช่วยเจ้าพนักงานในการปฎิบัติหน้าที่ เรื่องการประเมินภาษีทักษิณต้องทำให้เสร็จในวันที่ 31 มีนาคมนี้ และต้องส่งคำประเมินไปให้ทักษิณให้ถูกต้องตามกฎหมาย จากนั้นกระบวนการเรียกเก็บภาษีนับหนึ่งใหม่ไปอีก 10 ปี” วิษณุ กล่าว
วิษณุ กล่าวว่า ขณะนี้ตัวเลขที่ทักษิณต้องเสียภาษี ยึดตามที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) แจ้งมาว่าประมาณ 1.6หมื่นล้านบาท ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่าทักษิณถูกยึดทรัพย์ไปแล้ว 4.6 หมื่นล้านบาท จึงไม่ควรจะเสียภาษีอีกนั้น เป็นคนละส่วนกัน เพราะ 4.6 หมื่นล้านบาท เป็นผลมาจากคดีอาญาที่ชี้ว่าทุจริต ส่วนเรื่องการเสียภาษีเป็นอีกเรื่อง
“การซื้อขายหุ้นของทักษิณเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เช่นเดียวกับกรณีการค้ายาเสพติดที่ถูกยึดทรัพย์และต้องเสียภาษี เหมือนกัน ซึ่งรัฐบาลใช้กฎหมายปกติดำเนินการ ไม่ได้ใช้อภินิหารทางกฎหมาย แต่เป็นการใช้ช่องทางที่พอจะเสี่ยงและหาทางออกได้ โดยทำตามกระบวนการที่มีอยู่ด้วยความรอบคอบ” วิษณุ กล่าว
ส่วนกรณีกระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการสอบเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่ไม่เรียกภาษีนั้น วิษณุ กล่าวว่า ตั้งคณะกรรมการสอบตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 แล้ว การสอบสวนต้องใช้เวลา เพราะต้องรอฟังข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ปี 2550-2555 แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่ปฎิบัติหน้าที่ถือว่าไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้รับทราบเหตุผลที่กรมสรรพากรไม่ประเมินภาษี มี 3 เรื่อง แต่ไม่ขอเปิดเผย
'สรรพากร' ยันเสร็จก่อนหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.นี้ แน่นอน
ประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึงกรณีเรียกเก็บภาษีจาก ทักษิณ ดังกล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลและรายละเอียดต่างๆได้ แต่ยืนยันว่า กระบวนการต่างๆ นั้นจะพิจารณาอย่างรอบคอบ และทุกอย่างจะแล้วเสร็จก่อนหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค. 2560 นี้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ กระบวนการ หรือขั้นตอนในรายละเอียดคงไม่สามารถเปิดเผยในที่นี้ได้ รวมถึงจำนวนเงินทั้งหมดที่จะรวมค่าเรียกปรับด้วย แต่ยืนยันข้าราชการทุกคนทำทุกอย่างโดยยึดกฎหมาย และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
สตง.พร้อมร่วมประเมิน หากกรมสรรพากรไม่พร้อม
ขณะที่ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวว่า หลังจากวิษณุ ประชุมร่วมกับสำนักงานกฤษฎีกา อัยการสูงสุด กรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สตง. เห็นชอบร่วมกันว่าการออกหมายเรียกเก็บภาษี พานทองแท้ และพิณทองทา ชินวัตร ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่ากรมสรรพากรไม่ได้ออกหมายเรียกโดยตรงกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถือเสมือนว่าเป็นหมายเรียกเก็บภาษีจากทักษิณ ด้วยเช่นกัน เพราะเป็นตัวการในการซื้อขายหุ้น เนื่องจากศาลตัดสินแล้วว่า บุตรทั้ง 2 เป็นเพียงตัวกลาง ผู้รับประโยชน์จากการขายหุ้น คือ ทักษิณ ยืนยันว่า ไม่ได้ใช้แท็กติกทางกฎหมายแต่อย่างใด แต่เป็นช่องทางของกฎหมายสามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้
ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปจึงเริ่มใช้มาตรา 61 แห่งประมวลรัษฎากรในการตั้งคณะกรรมการประเมินภาษีเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นของนายทักษิณ ทำให้การนับอายุความการเรียกเก็บเวลา 10 ปี สิ้นสุดลง และขั้นตอนการประเมินเรียกเก็บภาษีใช้เวลาเพียง 2-3 วัน จึงคาดว่าดำเนินการได้ทันสิ้นเดือนมีนาคมนี้
โดย สตง.พร้อมร่วมเป็นเจ้าหน้าที่ประเมินภาษีหากสรรพากรไม่พร้อมดำเนินการ เมื่อประเมินภาษีแล้ว สามารถนำเอกสารปิดหน้าบ้านตามภูมิลำเนา แม้นายทักษิณ ไม่อาศัยอยู่สามารถตั้งทนาย หรือตัวแทนดำเนินการได้ ตั้งการอุทธรณ์ และดำเนินการชั้นศาล หากยังไม่ต้องการเสียภาษี จากกรณีการขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น (SHIN) ให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ (พีทีอี) จำกัด ผ่านบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ รวมเป็นเงินการซื้อหุ้นกว่า 73,000 ล้านบาท เพื่อประเมินมูลค่าภาษีเบื้องต้น 16,000 ล้านบาท
ที่มา : สำนักข่าวไทย สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น และผู้จัดการออนไลน์
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)